บทที่ 3 เริ่มแผนการ
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าร่วมกันแล้ว ซูเว่ยหงก็รีบเดินออกไปในทันทีโดยที่เขาไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดท่ามกลางโต๊ะอาหาร
ซูจินเยว่จึงรีบเดินตามเขาออกมาในทันที
“ท่านพี่”
ซูจินเยว่ที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งด้วยเพราะท่อนขาที่สั้นกว่าผู้เป็นพี่ชายอยู่หลายส่วนนั้น ทำให้นางต้องรีบจ้ำเพื่อตามเขาให้ทัน แต่ร่างสูงเบื้องหน้านั้นรีบสาวเท้าราวกับว่ากำลังแกล้งให้นางต้องเหนื่อย
ร่างเล็กจึงหยุดอยู่กับที่ก่อนจะย่อตัวลงเพื่อก้มลงกอบโกยหิมะบนพื้นเป็นก้อนกลมแล้วจัดการปาออกไปเบื้องหน้าในทันที ด้วยระยะสายตาที่แม่นยำพาให้หิมะลูกกลมของนางปะทะเข้ากับศีรษะของซูเว่ยหงในทันที เป็นดังที่นางคาดเอาไว้ร่างสูงหยุดชะงักกับที่ในทันที
ก่อนจะหันมาส่งสายตาที่เหี้ยมเกรียมให้กับนาง
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าร้ายกาจเกินไปแล้วกระมัง”
หมับ
ว้าย
ร่างระหงถูกท่อนแขนแกร่งช้อนขึ้นแนบอก ด้วยความกลัวว่าจะตกซูจินเยว่จึงโอบรอบคอของเขาเอาไว้เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยว ก่อนที่
ซูเว่ยหงจะพานางเดินไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางหิมะที่เริ่มจะโปรยปรายไปพร้อมกับกลีบดอกเหมยที่ปลิวว่อนไปทั่วทั้งจวน
“ตามข้ามาด้วยเหตุใด ทั้งที่เมื่อคืนเจ้าไล่ข้า!”
ใบหน้าได้รูปโน้มลงมาจนเกือบจะประชิดหน้าของนางลมหายใจที่อุ่นร้อนของเขาฟืดฟาดราวกับไม่พอใจ และแอบแฝงไปด้วยความแง่งอนเล็กน้อย
“ก็ข้าเหนื่อย” ซูจินเยว่ทำเสียงสลดพร้อมกับใบหน้าที่รู้สึกผิด
‘ข้าขอโทษ หากข้าไม่ทำเช่นนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไรให้ท่านเข้าสู่แผนการของข้า’ แม้ว่านางจะอยากออกห่างจากเขามากเท่าไร แต่เพราะหน้าที่ที่ค้ำคอ กับบุญคุณที่อยู่ท่วมหัว บังคับให้นางต้องทำทุกอย่างให้เป็นไปตามแผนด้วยความจำนน
“อ้อนข้าเช่นนี้ อยากไปที่ใดเล่า”
ซูเว่ยหงยกยิ้มขึ้นด้วยความรู้ทัน นางและเขาเติบโตมาด้วยกันด้วยความผูกพัน ทำให้เขารับรู้ความต้องการของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
“ข้าอยากไปเดินตลาดเจ้าค่ะ” ซูจินเยว่ยิ้มร่าดังเช่นเคย
เมื่อหิมะที่โปรยปรายเริ่มเบาบางลง ซูเว่ยหงเป็นฝ่ายพาซูจินเยว่ไปยังตรอกการค้าตามที่นางร้องขอ โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าน้องสาวตัวดีกำลังเริ่มทำตัวเป็นแม่สื่อเสียแล้ว
ซูจินเยว่รู้ดีว่าจางหลิงลี่สหายรักชอบมาเดินตลาดในเวลาใด นางจึงเลือกเวลาที่เหมาะสมเพื่อทำทีเป็นความบังเอิญให้ทั้งสองได้มาพบกัน
ซูเว่ยหงยื่นฝ่ามือหนาให้กับซูจินเยว่เพื่อประคองนางลงจากรถม้าตระกูลซู แต่ทว่าด้วยความแก่นเซี้ยวของนาง หาได้สนใจฝ่ามือหนาที่ยื่นให้ แต่กลับกระโดดลงจากรถม้าไร้กิริยาที่อ่อนหวาน ซูเว่ยหงจึงส่ายหน้าไปมาด้วยความเอือมระอา
เมื่อสองเท้าแตะลงพื้นที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ สองดวงตาของซูจินเยว่ก็กวาดมองหาร่างบอบบางของจางหลิงลี่ในทันที ปลายสายตามองเห็นสหายรักอยู่ไกล ๆ แต่การจะวิ่งเข้าไปทักทายก็เหมือนจะเป็นการจัดฉากจนเกินไป นางจึงทำทีพาซูเว่ยหงแวะซื้อของข้างทางแล้วให้เขาถือจนเต็มไม้เต็มมือ
“เยว่เอ๋อร์ หากเจ้าจะซื้อของมากมายเช่นนี้ให้บ่าวรับใช้มาด้วยก็ดี เหตุใดต้องใช้งานข้าด้วยเล่า” ซูเว่ยหงบ่นขึ้นมาหลังจากที่ข้าวของในมือของเขาเริ่มเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ
“อย่าบ่นไปเลยนะเจ้าคะ ฮ่า”
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างไม่เป็นที่น่าสงสัย นางจึงเดินตรงไปยังร้านขายผงชาดที่จางหลิงลี่เดินเข้าไปในทันที ซูจินเยว่ไปถึงก็เป็นจังหวะเดียวกับที่จางหลิงลี่เดินออกมาพอดี จึงเอ่ยขึ้นทักทาย
“จางหลิงลี่!”
“ซูจินเยว่ เจ้ามาได้อย่างไรเล่า”
ร่างบอบบางเดินเข้ามาหาซูจินเยว่หลังจากได้ยินเสียงหวานใสที่คุ้นหูเอ่ยทักทาย ใบหน้าสวยสดงดงามของจางหลิงลี่คลี่ยิ้มออกมาในทันทีเมื่อเห็นสหายรักออกมาเดินตลาดเช่นนี้
“ข้ามากับท่านพี่”
ซูจินเยว่เบี่ยงตัวหลบ จางหลิงลี่จึงมองเห็นบุรุษผู้เป็นพี่ชายของสหายรักในทันที ด้วยกิริยาที่ถูกอบรมมาเป็นอย่างดีจางหลิงลี่จึงไม่ลืมที่จะย่อกายลงพร้อมประสานมือเป็นการทักทายด้วยท่วงท่างดงาม
“ลี่เอ๋อร์ คารวะท่านพี่ซูเว่ยหงเจ้าค่ะ” เสียงเล็กเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่หวานหยดจนมองเห็นแนวฟันสีขาวสะอาด
“เยว่เอ๋อร์ หากเจ้าจะสนทนากับสหายของเจ้าก็ไปยังโรงน้ำชาด้านโน้นเถอะ มือของข้าจะขาดอยู่แล้ว” ซูเว่ยหงบ่นอุบเมื่อเห็นว่าสองสาวน่าจะสนทนากันอีกนานโข
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่ซูจินเยว่วางเอาไว้ ทั้งสามคนจึงพากันไปยังโรงน้ำชาอันดับหนึ่งของหานเป่ยเพื่อสนทนา
“น้ำชาเจ้าค่ะ”
ซูจินเยว่รินน้ำชากลิ่นหอมลงจอก ก่อนจะยื่นให้กับซูเว่ยหงที่อาวุโสกว่า แล้วส่งอีกจอกให้กับสหายรักเป็นลำดับถัดมา
“ยังดีที่เจ้ายังดูแลข้า” ซูเว่ยหงคลี่พัดในมือด้วยท่วงท่าที่งดงามสมกับการเป็นคุณชายอันดับหนึ่งแห่งหานเป่ย
เดิมทีซูเว่ยหงถูกวางตัวให้เป็นขุนนางในราชสำนัก แต่ด้วยเพราะซูเหวินผู้เป็นบิดาไม่อยากให้บุตรชายเพียงคนเดียวเข้ามาอยู่ในดงที่เต็มไปด้วยราชสีห์แย่งชิงอำนาจเพราะหากมีเรื่องผิดพลาดตระกูลของเขาอาจไร้ผู้สืบทอด อัครเสนาบดีซูเหวินจึงให้บุตรชายช่วยมารดาจัดการกิจการทั้งหลายของตระกูลแทน
“ท่านพี่ซู ผ้าทอลายใหม่ของร้านผ้าตระกูลซูเข้ามาหรือยังเจ้าคะ” จางหลิงลี่เอ่ยถามพร้อมกับจิบชาด้วยความสบายใจ นางชื่นชอบผ้าทอของตระกูลซูมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อเห็นว่าอยู่ต่อหน้าผู้ดูแลกิจการนางจึงถามออกไปอย่างไม่ลังเล
“น่าจะอีกราวสองสามวันกระมัง หากเจ้าอยากได้ ข้าจะให้เถ้าแก่เก็บเอาไว้ให้เจ้าดูก่อน ดีหรือไม่” ซูเว่ยหงไม่ได้จะเอาอกเอาใจคุณหนูจางแต่อย่างใด เขาเพียงเห็นว่านางเป็นสหายรักของซูจินเยว่ ก็ควรจะให้สิทธิ์ในการเลือกก่อนก็เท่านั้น
“จริงหรือ ขอบใจท่านพี่นัก”
เมื่อเห็นว่าสหายรักและซูเว่ยหงสนทนากันอย่างมีอรรถรสด้วยการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันไปมา ซูจินเยว่จึงหาโอกาสปลีกตัวออกมาเพื่อให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
“อ่ะ ท่านพี่ ข้าลืมไปเสียสนิทว่าข้าอยากได้ผงชาด ประเดี๋ยวข้ามานะเจ้าคะ”
หมับ
“เอาไว้จิบชาเสร็จค่อยไปซื้อก็ได้กระมัง” ซูเว่ยหงเอ่ยขึ้นพร้อมกับคว้าข้อมือบางเอาไว้
“ท่านพี่ก็รู้ว่าข้าเลือกผงชาดนานเพียงใด ฮ่า ท่านรอข้าอยู่ที่นี่จะดีกว่าข้าไม่อยากโดนกดดัน หลิงลี่ข้าฝากพี่ชายของข้าประเดี๋ยว”
ซูจินเยว่รีบสะบัดข้อมือออกในทันที แม้แต่จางหลิงลี่ยังเรียกเอาไว้ไม่ทัน เมื่อพ้นสายตา นางก็พ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจที่สามารถทำตามแผนการที่วางเอาไว้ได้ ทั้งที่นางไม่ได้อยากจะซื้อชาดเลยด้วยซ้ำ
ร่างบางในอาภรณ์หนาเพื่อปกป้องความหนาวเย็น เดินทอดน่องไปยังตรอกการค้าด้วยความเลื่อนลอย เพียงเพื่อประวิงเวลาเอาไว้ให้ได้นานที่สุด ภาพที่สหายรักนั่งจิบชาสนทนากับผู้เป็นพี่ชายด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มตามมาหลอกหลอนในความคิด ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันยิ่งนัก
ซูจินเยว่ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมายนานเพียงใดจนมาหยุดยืนอยู่ที่รถม้าตระกูลซู ฉับพลันความคิดหนึ่งก็ฉายเข้ามาในความคิด นางไม่จำเป็นต้องรอซูเว่ยหงเพียงแค่ทำทีรีบร้อนมีเหตุต้องกลับจวนก่อนก็เท่านั้น
ว่าแล้วร่างบางก็ก้าวขึ้นรถม้าในทันที แต่ทว่า แรงดึงรั้งที่ข้อมือทำให้นางแทบจะหงายหลังตกจากรถม้า ทำให้ซูจินเยว่ต้องหันกลับไปมอง ฉับพลันดวงตากลมโตก็เบิกกว้างในทันทีไม่คิดว่าเขาจะตามมาด้วยความรวดเร็วเช่นนี้
“เจ้าเป็นฝ่ายอยากพบกับจางหลิงลี่ เหตุใดต้องหนีกลับมาที่รถม้าราวกับจะทิ้งข้าเอาไว้ที่นี่ด้วยเล่า!”
ซูเว่ยหงบีบที่ข้อมือเล็กจนซูจินเยว่นิ่วหน้าด้วยความเจ็บแปลบ น้ำเสียงของเขาทั้งเย็นชาอีกทั้งใบหน้ายังเปี่ยมไปด้วยความขึงขังและอารมณ์ขุ่นมัว นัยน์ตาคู่นั้นทอประกายด้วยความกราดเกรี้ยวจนไม่อาจสบตา
ซูจินเยว่ได้แต่คอตกเดินเข้าไปในรถม้าพร้อมกับซูเว่ยหงด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว แผนการในครั้งนี้ล่มไม่เป็นท่า