บทที่ 4 กดดัน
จวนตระกูลซู…
ทันที่ที่รถม้าจอดสนิท ซูเว่ยหงก็คว้าข้อมือบางที่ทำท่าจะเดินหนีไปอย่างไม่สนใจใยดี ก่อนที่เขาจะยื้อยุดฉุดกระชากข้อมือเล็กไปยังศาลากลางน้ำด้านหลังจวนในทันที
“ปล่อย!”
ซูจินเยว่รีบสะบัดมือออก และเมื่อเห็นว่าไร้ผู้คนซูเว่ยหงจึงคลายแรงบีบฝ่ามือให้นางได้เป็นอิสระ แต่ทว่านางกลับจะเดินหนีไปอีกรอบ
ซูเว่ยหงกัดฟันกรอดเมื่อรู้สึกว่าเริ่มจะหมดความอดทน ทั้งที่นางเป็นคนก่อเรื่องแท้ ๆ แต่กลับจะเดินหนีไปราวกับไร้ความสำนึกผิด
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป ถึงได้ทำตัวแปลกไปเช่นนี้”
เขาพยายามที่จะสนทนากับนางด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งฝ่ามือหนากดลงไปที่หัวไหล่กลมมนด้วยความยั้งมือ แต่อีกฝ่ายยังคงทำท่าทีเป็นเมินเฉย ไม่มองหน้า ไม่สบตา ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ยิ่งทำให้เขาเริ่มโมโหจนแทบบ้า
“ข้าเจ็บ ปล่อย!” ซูจินเยว่ร้องขึ้นมาเมื่อแรงบีบของเขาที่กดลงบนหัวไหล่เริ่มแรงขึ้นเป็นเท่าทวี
“เจ็บก็บอกข้ามาสิ ว่าสิ่งที่เจ้าทำในวันนี้คืออะไรกันแน่!”
ซูเว่ยหงตะคอกใส่หน้าของซูจินเยว่ด้วยความหงุดหงิด ทุกสิ่งที่นางทำ ทุกสิ่งที่นางแสดงออกในวันนี้ขัดหูขัดตาและขัดใจเขาไปเสียทุกสิ่ง ยิ่งมาเจอท่าทีที่เมินเฉยของนาง ทำให้เขาไม่อาจอดกลั้นอารมณ์ที่สุขุมเยือกเย็นได้เฉกเช่นเดิม
“ข้า ข้าไม่ทำอะไรเสียหน่อย ปล่อยข้า!”
ซูจินเยว่อาศัยจังหวะที่ซูเว่ยหงผ่อนแรงหลบหลีกในทันที เมื่อไร้พันธนาการนางก็รีบวิ่งไปที่เรือนอย่างไม่รั้งรอ ด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะตอบความจริงออกไปเช่นไร หากเขารับรู้ถึงแผนการที่นางวางเอาไว้ ท่านแม่คงจะต้องผิดหวังเป็นอย่างมากที่นางไร้ความสามารถในการเป็นแม่สื่อเพื่อให้เขาพ้นข้อกล่าวหาว่าเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ
ค่ำคืนวันนี้ซูจินเยว่ก็ไม่ได้ออกไปรับประทานอาหารกับครอบครัวดั่งเช่นเคย อีกทั้งยังกำชับหลี่เมิ่งไม่ให้รบกวนแต่อย่างใด
ร่างบางนอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยความนึกคิดว่าจะทำเช่นไรต่อไปดีให้ซูเว่ยหงได้ลงเอยกับจางหลิงลี่
ด้วยความที่พี่ชายต่างสายโลหิตของนางนั้นฉลาดเฉลียวและมักจะจับทางของนางได้อยู่ร่ำไป ไม่ว่านางจะโกหกอะไรก็ตามที
ทำให้ซูจินเยว่จนปัญญาและเกิดความเครียดขึ้นมาไม่น้อย
ตึก
ในระหว่างที่นางสางเรือนผมที่ยาวสยายอยู่ด้านหน้ากระจกสำริด กลับได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นที่หน้าต่าง แต่นางกลับไม่ได้มีท่าทีตกใจ ด้วยเพราะคุ้นเคยกับเสียงที่ว่าเป็นอย่างดี ไม่ใช่เสียงอะไรที่ไหนแต่เป็นเสียงของพี่ชายตัวดีที่ชอบแอบปีนหน้าต่างเข้ามานอนกับนางอยู่เป็นประจำตั้งแต่เล็กจนโตด้วยความเคยชิน
“ยังไม่หลับหรือ”
ร่างสูงสง่าในอาภรณ์บางเบาเดินเข้ามาประชิดกายของนาง ก่อนจะยื้อแย่งหวีไปจากมือ แล้วสางเส้นผมให้กับนางด้วยความอ่อนโยนราวกับว่าเอาใจ โดยลืมความโกรธที่นางสร้างเรื่องเอาไว้ไปเสียหมดสิ้น
ฝ่ามือหนาของซูเว่ยหงค่อย ๆ สางเรือนผมของนางด้วยความแผ่วเบา ดวงตาคู่สวยมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาผ่านกระจกทองเหลือง ฉับพลับความรู้สึกภายในใจก็เริ่มถาโถมเข้ามา วาจาและสายตาที่ฝากความหวังของมารดาผุดพรายเข้ามาจนซูจินเยว่เผลอปัดหวีในมือของเขาออกจนร่วงหล่นลงพื้น
“ท่านพี่ ท่านออกไปเถอะ อย่าทำเช่นนี้อีก ท่านไม่จำเป็นต้องมานอนกับข้าดังเช่นเคย ยามนี้ข้าไม่ใช่ดรุณีน้อยอีกต่อไปแล้ว”
ซูจินเยว่เอ่ยออกไปด้วยความเจ็บปวด โดยที่นางยังคงหันหลังให้กับเขา สองมือเล็กกำเข้าหากันแน่นด้วยความรวดร้าวที่ต้องฝืนใจเอ่ยออกไป
“เยว่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้” ซูเว่ยหงขยับกายเข้าหานางที่ยืนหันหลังให้อีกครั้ง แต่ทว่า
“หยุดนะ หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามาใกล้ข้า!”
เสียงหวานใสฟังดูสั่นเครือเล็ก ๆ ตวาดขึ้นจนร่างสูงที่กำลังขยับกายจำต้องหยุดชะงักเมื่อนางเอื้อนเอ่ย ในยามนี้คิ้วเรียวสวยของเขาย่นชิดกันจนแทบจะผูกเป็นปม ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายโอนอ่อนเข้ามาหานางก่อนแท้ ๆ แต่ดูเหมือนกับว่านางหาได้สนใจไม่
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดกันแน่ หรือว่าเจ้ามีบุรุษอื่นในใจอย่างนั้นหรือ”
ซูเว่ยหงเอ่ยถามออกไปเมื่อตระหนักขึ้นมาได้ว่านางไม่ใช่น้องสาวทางสายเลือดของเขา สิ่งที่เขาทำนั้นเป็นเสมือนสิ่งที่บุรุษทำให้สตรีผู้หนึ่งเพียงเท่านั้น หากนางมีบุรุษอื่นในใจสิ่งที่เขาทำย่อมผิดมหันต์
“นั่นมันเรื่องของข้า” ซูจินเยว่ตอบคำถามด้วยเสียงที่อ่อนลง
“เยว่เอ๋อร์…”
“ท่านออกไปเถอะ”
เสียงฝีเท้าค่อย ๆ ร่นถอยหลังกลับไปทางบานหน้าต่าง ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงไป ซูจินเยว่ทรุดกายลงบนพื้นด้วยความเจ็บปวด
นางอยากจะรั้งเขาเอาไว้แทบบ้า แต่ด้วยสถานะและคำขอร้องกลับพันธนาการเอาไว้ ทำให้นางไม่เป็นตัวของตัวเอง
เช้าวันต่อมา…
ซูจินเยว่ยังคงหลบหลีกด้วยการไม่ไปร่วมรับประทานอาหารเช้าที่เรือนใหญ่ นางรอจนซูเว่ยหงออกไปจัดการงานค้าขายของตระกูลเก่าแก่ของมารดา ก่อนที่นางจะไปเข้าพบมารดาเพื่อรายงานความคืบหน้าความสัมพันธ์ของจางหลิงลี่และผู้เป็นพี่ชาย
“เยว่เอ๋อร์คารวะท่านแม่”
นางยอบกายลงด้วยกิริยาที่อ่อนน้อมให้กับมารดา เพื่อเป็นการบ่งบอกว่าตระกูลซูอบรมเลี้ยงดูนางมาเป็นอย่างดี เพียบพร้อมไปด้วยกิริยามารยาทที่คุณหนูตระกูลดีนั้นพึงมี
“สองคนนั้นเป็นเช่นไรบ้างหรือ” ซูฮูหยินกรีดปลายนิ้วเพื่อจับถ้วยชาด้วยมาดนางพญาประจำตระกูล นางเป่าปากลงบนถ้วยชาก่อนจะจรดขึ้นริมฝีปากและยกดื่มด้วยท่วงท่าสง่างามแล้ววางลง พร้อมกับเงยใบหน้าขึ้นถามไถ่บุตรีที่นางให้เป็นแม่สื่อด้วยสายตาแห่งความหวัง
“เยว่เอ๋อร์ขออภัยท่านแม่ ครั้งแรกไม่สำเร็จ ท่านพี่รู้ทันเสียก่อน” นางเอ่ยยอมรับออกไป ด้วยสีหน้าแห่งความรู้สึกผิด
“เยว่เอ๋อร์ แม่ไม่ได้กดดันเจ้า แต่แม่อยากให้เจ้ากระทำการนี้ให้สำเร็จ ซูเว่ยหงสำคัญต่อตระกูลซูยิ่งนักชื่อเสียงของเขาจะต้องไม่แปดเปื้อน”
ถ้อยคำของผู้เป็นมารดาบอกว่าไม่กดดัน แต่ทว่ากลับสร้างความกดดันขึ้นภายในใจของซูจินเยว่ไม่น้อย และนางก็รู้ดีว่าสิ่งที่มารดาบอกกล่าวนั้นมีความสำคัญ ซูเว่ยหงเป็นทายาทเพียงผู้เดียวของตระกูลซูไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องไม่มีเรื่องที่ผิดพลาดเกิดขึ้น
“ข้าจะพยายามให้มากกว่านี้เจ้าค่ะ ท่านแม่”
“เยว่เอ๋อร์ไม่ว่าอย่างไรแม่ก็จะต้องได้จางหลิงลี่มาเป็นสะใภ้เจ้าเข้าใจแม่ใช่หรือไม่” ใบหน้าที่อ่อนหวานยิ้มกว้างจนมองเห็นรอยยับบริเวณหางตาจากวัยที่ล่วงเลย
“เจ้าค่ะ ท่านแม่”
“จริงด้วยสิ อีกสองสามวัน ท่านอาสะใภ้ของเจ้าจะเปิดโรงเตี๊ยมแห่งใหม่ในย่านตรอกการค้า เจ้านัดหมายคุณหนูจางไปที่นั่นสิ แม่ว่าน่าจะเป็นโอกาสเหมาะ”
ซูฮูหยินเอ่ยขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าน้องสาวของนางจะเปิดโรงเตี๊ยมแห่งใหม่ในหานเป่ยอีกสองสามวันข้างหน้า เป็นโอกาสดีที่จะให้บุตรชายของนางและคุณหนูจางสนทนาสานสัมพันธ์กันให้มากยิ่งขึ้น
“เจ้าค่ะ”
นั่นเป็นโอกาสดีสำหรับท่านแม่ แต่สำหรับนางคือความยุ่งยากใช่เล่น ในเมื่อนางเป็นฝ่ายไล่เขาไปในทุกครั้ง แต่ทว่าเมื่อได้รับคำสั่งจากมารดานางก็ต้องกลับไปง้อเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ซูจินเยว่เดินออกมาจากเรือนใหญ่ด้วยความหงุดหงิดใจ สิ่งที่นางกำลังทำอยู่ในตอนนี้นั้น ทำให้นางรู้สึกเกลียดตัวเองยิ่งนัก ที่ต้องฝืนใจตัวเอง จะให้ตัดใจหนีจากก็ไม่อาจกระทำ
“บุญคุณที่ข้าต้องทดแทนให้กับตระกูลซูช่างมากมายเหลือเกิน”
ร่างบอบบางเดินฝ่าความหนาวเย็นราวกับไร้ซึ่งความรู้สึก หัวใจของนางเหน็บชาจนไม่อาจเอื้อนเอ่ยความรู้สึกออกไป เห็นทีนางต้องรีบกัดฟันทำภารกิจให้เสร็จสิ้นเสียที