บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง

ซูเหวินชะงักฝีเท้าเอาไว้ทันทีที่ได้ยินบทสนทนาระหว่างฮูหยินและซูจินเยว่ผู้เป็นบุตรีอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะมองดูบุตรีที่เดินก้มหน้าก้มตาออกจากเรือนไปด้วยความสงสาร นั่นเป็นเพราะซูหรานจีผู้เป็นภรรยาคงจะสร้างความกดดันให้กับบุตรีไม่น้อย อัครเสนาบดีซูจึงส่ายหน้าเล็ก ๆ

ก่อนจะเดินเข้าเรือนไปเมื่อซูจินเยว่เดินจนลับสายตาไป

“ท่านพี่ กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” ซูฮูหยินเงยใบหน้าขึ้นมองผู้มาเยือนทันทีที่ได้ยินฝีเท้า แต่เมื่อเห็นใบหน้าของผู้เป็นสามีนางจึงส่งรอยยิ้มอ่อนแล้วรีบรินชาลงจอกไว้รอซูเหวิน

“เจ้าคงจะสร้างเรื่องหนักใจให้เยว่เอ๋อร์ไม่น้อยเลยใช่หรือไม่ นางถึงได้เดินคอตกออกจากเรือนไปเช่นนั้น”

ร่างกำยำของซูเหวินหย่อนกายลงบนเก้าอี้ข้างภรรยา ก่อนจะรับถ้วยชามาจากฝ่ามือเรียวบาง โดยที่เขาอดไม่ได้ที่จะแทรกแซงเรื่องที่ซูหรานจีกำลังจะทำ

“โธ่ ท่านพี่ ข้าว่าเยว่เอ๋อร์น่าจะดีใจด้วยซ้ำที่นางจะได้มีพี่สะใภ้เป็นสหายรักเช่นนั้น แล้วอีกอย่างข้าก็ต้องการให้หงเอ๋อร์รีบ ๆ ออกเรือน เรื่องครหาที่ว่าจะได้จบสิ้นลงเสียที” ซูหรานจีถอนหายใจอีกครั้ง เมื่อต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา

“ฮูหยิน ข้าว่าเจ้าอย่าบังคับหงเอ๋อร์อีกเลย บุตรชายของเจ้าเติบใหญ่ถึงเพียงนี้ก็ให้เขาเลือกเองจะดีกว่าว่าพึงใจจะแต่งงานกับผู้ใด

ส่วนเรื่องภายนอกนั้นก็เป็นเพียงเรื่องที่โหมกระพือมาตามสายลมเท่านั้น เมื่อถึงเวลาก็คงจะซาลงไปเอง” ซูเหวินคัดค้านขึ้นมา หลังจากที่เขาไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้สักเท่าใดนัก

“ท่านพี่ สตรีที่เพียบพร้อมอย่างคุณหนูจางเราหาได้ง่าย ๆเสียเมื่อไหร่กัน หากหงเอ๋อร์ได้ออกเรือน ข้าก็จะหาบุรุษที่เหมาะสมให้กับเยว่เอ๋อร์เช่นเดียวกัน” ซูหรานจีไม่ได้นึกถึงแค่เรื่องของบุตรชายเพียงเท่านั้น แม้แต่เรื่องของบุตรีนางก็คิดมาเป็นอย่างดีแล้วเช่นกัน

“เช่นนั้นข้าถามเจ้าสักคำ หากวันหนึ่งบิดามารดาของเยว่เอ๋อร์กลับมาทวงบุตรีคืนเล่า เจ้าจะทำเช่นไร” ซูเหวินครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่เขากังวลเสมอมา

“ทวงคืนแล้วอย่างไรเล่า ข้าไม่สน ข้าเลี้ยงดูเยว่เอ๋อร์มาเองกับมือนางเป็นบุตรีของข้า” ซูหรานจีผินใบหน้าหลบสายตาผู้เป็นสามี ภายในใจก็นึกกลัวไม่น้อย แต่นางก็พยายามที่จะแข็งแกร่ง เลี้ยงดูมานานหลายปีเช่นนี้เยว่เอ๋อร์ก็เปรียบเสมือนลูกสาวแท้ ๆ ไปเสียแล้ว

“เอาเถอะ ๆ หากเจ้าคิดว่าเหมาะสมข้าก็จะไม่ห้าม”

……………………………………..

ซูจินเยว่ได้แต่เดินวนไปมาราวกับหนูติดจั่นอยู่ด้านหน้าทางเข้าศาลากลางน้ำ ดวงตาสุกใสมองเห็นซูเว่ยหงนั่งดีดพิณอยู่ไกล ๆ แต่ทว่าท่วงท่าที่งดงามเมื่อยามที่กรีดนิ้วเรียวยาวลงไปบนสายพิณช่างหล่อเหลาตราตรึงเสียยิ่งนัก

ท่วงทำนองของพิณที่บรรเลงส่งให้ซูจินเยว่เคลิบเคลิ้มไปกับบทเพลงของเขาไม่น้อย แต่ทว่านางก็ต้องตัดใจ ก่อนจะกระชับผ้าคลุมไหล่ขนสัตว์พาตัวเองไปยังด้านในศาลาด้วยความรีบร้อน

“ท่านพี่…”

เสียงเล็กเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ซูเว่ยหงได้ยินชัดเจนดีแต่ทว่ากลับยังไม่ยอมยกมือขึ้นจากพิณ อีกทั้งยังไม่เงยหน้าสบตากับสตรีร่างบางที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเลยแม้แต่น้อย

ภายในใจของซูเว่ยหงสับสนยิ่งนัก เพียงแค่ไม่กี่ยามนิสัยใจคอของนางกลับเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนเขาตามไม่ทัน ‘จิตใจของสตรียากแท้หยั่งถึงเสียยิ่งนัก’ ประเดี๋ยวเอ่ยปากไล่เขา ประเดี๋ยวทำตัวออดอ้อนประจบประแจงดังดรุณีก็ไม่ปาน แล้วจะไม่ให้เขารู้สึกฉงนได้เช่นไรเล่า

“ท่านพี่…”

ซูจินเยว่เอ่ยเรียกบุรุษที่กำลังบรรเลงเพลงพิณ แต่ทว่าเขากลับไม่สนใจนางเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังทำเหมือนกับว่านางเป็นอากาศเสียอย่างนั้น ดูท่าแล้วซูเว่ยหงคงโกรธนางจริง ๆ

“ท่านพี่!...”

กึก

ฝ่ามือบางเอื้อมไปทาบสายพิณเอาไว้เพื่อให้เขาหยุดบรรเลง ใบหน้าได้รูปจึงละสายตาขึ้นมองซูจินเยว่ด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก

“มีกระไรเล่า เมื่อวานไล่ข้า วันนี้จะมาอ้อนข้าเรื่องอันใดอีก”

ซูเว่ยหงเอ่ยถามสตรีผู้น้องด้วยสายตาที่ไม่พอใจ และสื่อได้ว่าเขายังไม่หายโกรธที่นางไล่เขาออกจากเรือนเช่นนั้น

“ข้า…” ด้วยความรู้สึกผิดที่ถาโถมขึ้นภายในใจ ส่งให้นางรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาไม่น้อย

“ในเมื่อไม่มีกระไรจะพูด เจ้าก็ออกไปเสียเถอะ ข้าอยากอยู่ผู้เดียว”

เมื่อหยั่งเชิงดูท่าทางของซูจินเยว่อยู่นาน และดูเหมือนว่านางจะไร้ซึ่งความรู้สึกผิด มิหนำซ้ำยังอึกอักจนน่าอึดอัดเขาจึงจำใจโบกมือไล่น้องสาวตัวดีให้ออกไปไกล ๆ เขา

“ข้าจะชวนท่านพี่ไปโรงเตี๊ยมของท่านอาสะใภ้เจ้าค่ะ” ซูจินเยว่หลับตาลงพร้อมกับพ่นลมหายใจ ก่อนจะโพล่งเอ่ยคำชวนออกไป

“ข้าไม่ไป” ซูเว่ยหงเอ่ยปฏิเสธในทันที และดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปฏิเสธน้องสาวตัวดี ยิ่งท่าทีไร้ความสำนึกเช่นนั้นยิ่งทำให้เขาโกรธนาง ‘คิดว่าข้าง้อได้ง่าย ๆ เช่นนั้นเลยหรือเยว่เอ๋อร์’

“ท่านพี่ข้าขอโทษที่ข้าไล่ท่าน…เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ถ้าท่านพี่ยอมไปกับข้าวันนี้ข้าให้ท่านเข้าเรือนของข้าได้” เมื่อเห็นท่าทีที่แง่งอนของซูเว่ยหง นางจึงเอ่ยคำขอโทษออกไปอย่างไม่ลังเล และยังเสนอข้อตกลงให้อีกด้วย

“ตกลง”

ทันทีที่ได้ยินคำขอโทษจากปากของซูจินเยว่ เขาก็ลุกยืนขึ้นเหยียดกายเต็มความสูงก่อนจะเดินออกจากศาลาด้วยความรีบร้อน แต่ทว่ากลับไร้เสียงฝีเท้าเล็กตามหลังมา เขาจึงหยุดยืนอยู่กับที่แล้วเอ่ยปากบอก

“ยืนบื้ออยู่ไยเล่า ยังไม่รีบตามข้ามาอีก ไม่ไปแล้วหรือโรงเตี๊ยม” ซูเว่ยหงเหยียดยิ้มมุมปาก เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าเล็กก้าวออกมาจากศาลา

ซูจินเยว่ยกมือน้อยขึ้นเกาศีรษะกับท่าทีของผู้เป็นพี่ชาย และไม่คิดเลยว่าเพียงแค่คำขอโทษจะทำให้ซูเว่ยหงหายโกรธอย่างรวดเร็วเช่นนี้

หากนางไม่ทำเช่นนี้เกรงว่าแผนการที่วางเอาไว้คงจะล่มไม่เป็นท่าเป็นครั้งที่สอง

เมื่อนางได้ยินเสียงเรียก ซูจินเยว่จึงรีบเดินไปขนาบข้างบุรุษร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีดำสนิทตัดขอบชายเสื้อด้วยเส้นไหมสีทองในทันที

หมับ

ฝ่ามือใหญ่ยื่นเข้ามาคว้ามือเล็กเอาไว้ ก่อนจะสอดประสานนิ้วเข้าด้วยกันจนเกิดความอบอุ่น ซูจินเยว่แหงนใบหน้ามองเขาที่สูงกว่าอยู่หลายส่วนด้วยความฉงน แต่ทว่าเจ้าของร่างกำยำกลับมีเพียงใบหน้าที่เรียบเฉยเพียงเท่านั้น

นางเดินเคียงคู่ไปกับซูเว่ยหงโดยมีเขาเป็นฝ่ายจับมือนางเดินไปตามเส้นทาง ดวงตากลมโตจ้องมองใบหน้าของบุรุษข้างกายด้วยความพินิจบุรุษผู้นี้ช่างงดงามเสียยิ่งนัก แม้จะชอบทำใบหน้ากราดเกรี้ยวอยู่บ่อยครั้งก็ตามที ซูจินเยว่ย้อนคิดถึงเรื่องราววันวานของนางและเขาจนเผลอลอบยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

“เป็นบ้าหรือ อยู่ ๆ ก็ยิ้มขึ้นมา” ซูเว่ยหงปรายดวงตามองสตรีข้างกาย หลังจากที่เขาได้ยินเสียงหัวเราะของนางขึ้นมาเบา ๆ

“ท่านสิบ้า!” ซูจินเยว่รีบหุบยิ้มในทันใด เมื่อเสียงทุ้มเข้มเอ่ยขัดขึ้นมาจนต้องหลุดออกจากภวังค์

“หึ”

ซูเว่ยหงได้แต่แค่นเสียงในลำคอส่งให้กับนาง โดยที่เขายังคงจับมือของนางเอาไว้แนบแน่นผ่านถนนหนทางที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายด้วยความเบียดเสียด ยังดีที่ซูจินเยว่ยังมีร่างสูงโปร่งของเขาบดบังเอาไว้ไม่เช่นนั้นเห็นทีนางคงจะถูกเหยียบจนบี้แบนไปเสียแล้วกระมัง

“เฮ้อ กว่าจะถึง”

ซูจินเยว่เอ่ยขึ้นมาอย่างโล่งอก หลังจากที่ฝ่าฟันผ่านผู้คนมากมายจนมาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าโรงเตี๊ยม ยามนี้บรรยากาศภายในตลาดเต็มไปด้วยผู้คนอย่างเนืองแน่นและคับคั่ง

“อาภรณ์ของข้ายับยู่ไปหมดแล้ว น่าเกลียดยิ่งนัก”

ซูเว่ยหงยกแขนขึ้นสะบัดชายอาภรณ์จนท่อนแขนของเขาแทบจะฟาดหน้าของนางอยู่แล้วโชคดีที่นางยังหลบทัน ไม่เช่นนั้นคงได้นอนสลบอยู่หน้าโรงเตี๊ยมเป็นแน่

“ท่านพี่ ระวังหน่อยได้หรือไม่ แขนของท่านจะกระแทกหน้าข้าอยู่แล้ว” ซูจินเยว่แยกเขี้ยวใส่ผู้เป็นพี่ชาย พร้อมกับเอี้ยวตัวหลบท่อนแขนพิฆาตที่ว่า

“แย่จริง ข้าพลาดเองเดิมทีกะจะให้โดนหน้าเจ้าเสียหน่อย ฮ่า”

คนร่างสูงหันมาหัวเราะใส่นางด้วยใบหน้าชื่นบาน ก่อนจะเดินนำเข้าไปยังด้านใน ซูจินเยว่ได้แต่มองแผ่นหลังของเขาจนรอยยิ้มที่มีเลือนหายไปจากใบหน้า นางอยากจะหยุดช่วงเวลาก่อนที่จะถึงโรงเตี๊ยมเอาไว้ยิ่งนัก ไม่รู้ว่าหลังจากนี้เขาจะโกรธนางจนไม่อาจให้อภัยดีหรือไม่

เสี่ยวเอ้อร์เป็นฝ่ายเดินนำไปในทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นคุณชายซู

“ท่านพี่ซู จินเยว่!” คุณหนูจางโบกมือทักทายในทันที เมื่อได้เห็นผู้มาเยือน

แต่ทว่าหลังจากที่เขาก้าวเท้าเข้าไปยังห้องรับรองพิเศษ ร่างสูงสง่าก็ผินใบหน้ากลับมาพร้อมสายตาที่เหี้ยมเกรียมในทันใด สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“นี่คือเรื่องบังเอิญ หรือเรื่องที่เจ้าตั้งใจกันแน่!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel