ตอนที่ 6 ชื่อเสียงก่อนนี้แย่เกินไป
หลิวเมิ่งหลีก้าวเดินออกมาจากหออิ่นฉือด้วยความสงบนิ่งภายในใจก็พยายามขอบพระคุณเจ้าของผลงานกวีพันปีที่นางหยิบยืมมาใช้ในวันนี้อย่างท่วมท้น
ผลงานการประพันธ์กวีเหล่านี้เป็นผลงานการประพันธ์ที่เป็นบทประพันธ์สุดยอดของกวีที่บันทึกในประวัติศาสตร์มายาวนานเป็นพันๆ ปีเลยเชียวคาดว่าต่อจากนี้คงได้ขุดความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา มาใช้งานแล้วจริงๆ
"เอาน่าเพื่อความอยู่รอด!" หลิวเมิ่งหลีบ่นพึมพำ ทันทีที่เดินออกมาเหมยเหม่ยที่ยืนรออย่างร้อนใจก็รีบวิ่งเข้ามาในทันที
"คุณหนูเจ้าคะ ท่าน ท่านแต่งกวีได้ยอดเยี่ยมมากเลยนะเจ้าคะ ข้าได้ยินคุณชายท่านหนึ่งเอ่ยถึงท่านด้วยเจ้าค่ะ"
หลิวเมิ่งหลีหัวเราะ "จากนี้ไปข้าจะเอาจริงแล้วนะเจ้าคอยดูข้าจะทำให้ท่านพ่อของข้าภาคภูมิใจ"
"อ่า..จริงหรือเจ้าคะคุณหนู?" เหมยเหม่ยเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ
"อ่า..จริงสิเจ้าคะข้าได้ยินคนพูดกันว่า ในวังกำลังเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของท่านแม่ทัพและกองทัพคุณหนูเจ้าคะในที่สุดนายท่านก็จะได้มาอยู่กับคุณหนูแล้วนะเจ้าคะ "
"อืม..ข้าจะได้มีบิดาเป็นตัวเป็นตนเสียที" หลิวเมิ่งหลีเอ่ยขึ้น ความรู้สึกนี้ไม่น่าจะใช่ของนางแล้วล่ะ อาจจะเป็นความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของเจ้าของร่างที่มีต่อบิดาของนาง
คิดๆ ดูแล้วเด็กสาวที่เติบโตมากับแม่นมในจวนต่อให้ได้รับการดูแลเอาใจอย่างดีมากแค่ไหนก็คงไม่เหมือนกับความรักที่พ่อแม่ให้หรอกนะ
หลิวเมิ่งหลีมีความรู้สึกว่า เจ้าของร่างนี้ไม่ได้โง่เขลาดั่งที่นางแสดงออก นางค่อนข้างฉลาดหัวไว เพียงแต่ในทุกๆ
วันนางทำตัวไม่ดีเพื่อให้คนในจวนส่งข่าวไปถึงท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพจะได้กลับมาหานาง นางจะได้มีบิดาเช่นคนอื่นเขาก็เท่านั้นเอง
ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะอีกไม่กี่วันเจ้าจะได้พบบิดาของเจ้าแล้ว...หลิวเมิ่งหลีลูบอกเบาๆ
"คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูจะกลับจวนเลยหรือไม่เจ้าคะหรือท่านจะไปที่ใดต่อ?" เหมยเหม่ยประคองหลิวเมิ่งหลีขึ้นรถม้าพลางเอ่ยถาม
หลิวเมิ่งหลีขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด "ไปหอไห่สือแล้วกัน"
"เจ้าค่ะ ไปหอไห่สือกัน"
หอไห่สือเป็นตึกสูงห้าชั้นตั้งอยู่ตรงหัวมุมกลางเมือง ชั้นหนึ่งสองเป็นชั้นเปิด มีโต๊ะตั้งเรียงราย มองเห็นการแสดงบนเวทีตรงกลางอย่างชัดเจน
ส่วนชั้นสามและชั้นสี่เป็นห้องส่วนตัวจัดเลี้ยงนัดพบ และชั้นบนสุดเป็นชั้นของแขกพิเศษเช่นเชื้อพระวงศ์ องค์หญิง องค์ชายหรือท่านอ๋องซึ่งบุคคลธรรมดาหากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่สามารถขึ้นไปใช้บริการได้
หลิวเมิ่งหลีลงมายืนอยู่ข้างรถม้าซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหอไห่สือในขณะที่กวาดสายตาชื่นชมดื่มด่ำกับบรรยากาศกลิ่นอายโบราณอยู่นั้นที่ฝั่งตรงข้ามก็มีเสียงโต้เถียงกันของผู้คนดังขึ้นมา
หลิวเมิ่งหลีขมวดคิ้วเอ่ยพึมพำ
"ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น?"
เหมยเหม่ยยืดคอขึ้นมองไปยังร้านค้าที่ผู้คนรายล้อมแล้วก็พูดขึ้นว่า "ร้านนั้นเมื่อก่อนเป็นร้านขายของเก่าหลังๆ ไม่รู้ทำไมถึงเปลี่ยนเจ้าของร้านไปจากนั้นก็ไม่ค่อยมีคนเข้าเลยนะเจ้าคะ เหตุใดวันนี้ผู้คนถึงได้หนาแน่นขนาดนั้นกัน"
"ไปดูกันเร็ว" หลิวเมิ่งหลีไม่รอช้ารีบดึงเหมยเหม่ยข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามในทันที
เมื่อเดินมาถึงหน้าร้านหลิวเมิ่งหลีก็มุดเข้าไปยังด้านหน้าก็เห็นเถ้าแก่ร้านโต้แย้งกับหญิงสาวนางหนึ่งเสียงดัง หลิวเมิ่งหลียื่นคอไปถามคนด้านข้างว่า
"เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?"
“ก็แม่นางผู้นี้เดินไม่ระวังชนเข้ากับแจกันดอกไม้ของทางร้านเข้า แต่ใครจะรู้เจ้าของร้านกลับจะเอาเงินค่าแจกันหนึ่งหมื่นตำลึง เห็นได้ชัดๆ ว่าเป็นการปล้น” ฮูหยินท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น
นางเป็นฮูหยินรองของจวนขุนนางเก่าแก่มองเหตุการณ์ก็พอมองออกว่าเถ้าแก่ร้านขายของเก่านี้กำลังทำการปล้นทรัพย์คุณหนูท่านนั้นซึ่งๆ หน้า
แต่นางก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเด็กสาวคนนั้นได้เลยเพราะนางก็ไม่สามารถระบุราคาของที่แตกได้ว่าราคาจริงเท่าไหร่กันแน่
หลิวเมิ่งหลีมองเด็กสาวสองนางที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างถี่ถ้วนถึงแม้พวกนางจะเป็นคุณหนูตระกูลสูงกันแต่เงินใช้สอยก็มีจํากัด ปกติแค่เสื้อผ้าเครื่องประดับของตนก็ใช้จ่ายไปพอ
ประมาณแล้ว จู่ๆ จะให้นำเงินหนึ่งหมื่นตำลึงออกมาแน่นอนว่าทำไม่ได้
หลิวเมิ่งหลีหรี่ตาลง
“เถ้าแก่ข้าขอดูแจกันของเจ้าหน่อยสิ เครื่องกระเบื้องอะไรกันต้องหนึ่งหมื่นตำลึงเชียว?” หลิวเมิ่งหลีพูดพลางเดินเข้ามา
เด็กสาวทั้งสองหันมามองผู้มาใหม่ด้วยดวงตาเป็นประกาย พวกนางเป็นเพียงบุตรสาวของตระกูลแม่ทัพอันกั๋วไม่ได้มีเงินทองมากมายอะไรเงินหนึ่งหมื่นตำลึงสามารถใช้จ่ายในจวนแม่ทัพได้ตั้งหลายเดือนจะให้นำมาให้คนอื่นง่ายๆ ได้อย่างไรกัน
ดังนั้นทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ของหลิวเมิ่งหลีพวกนางจะไม่ดีใจได้อย่างไร
“คุณหนูท่านนี้ นี่เป็นเครื่องกระเบื้องดินเผาของแท้ ท่านดูน้ำมันเคลือบนี่ สีสันนี่ ทักษะการวาดนี่ ล้วนเป็นเครื่องกระเบื้องโบราณแน่นอน นี่เป็นมรดกตกทอดของบ้านข้าเลย” เถ้าแก่รีบทำท่าทางน่าสงสาร
หลิวเมิ่งหลีก้าวเดินมายังแจกันเคลือบที่แตกอยู่บนพื้นนางนั่งลงมองดูอย่างจริงจัง สายตาก็ ปรายไปเห็นฐานของแจกันดอกไม้นั่น นางจึงยกขึ้นมาลูบดูเห็นสัญลักษณ์ที่แกะสลักอยู่ที่ฐาน ใบหน้างามก็เย็นชามุมปากเล็กก็ยกยิ้มหยามหยันออกมา
“เถ้าแก่ ท่านว่านี่เป็นแจกันโบราณใช่หรือไม่?” หลิวเมิ่งหลีเอ่ยถาม
“เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน เพราะแจกันนี่เป็นมรดกตกทอดที่ทวดมอบให้ท่านปู่ของข้า ท่านปู่มอบให้ท่านพ่อข้าจากนั้นถึงตกทอดมาถึงข้าเลยนะเดิมทีข้าคิดจะส่งมอบให้ลูกชายข้า
แต่ท่านแม่ ที่บ้านล้มป่วยไม่มีเงินรักษา ดังนั้นข้าเลยนำออกมาขาย คนพวกนี้ทำแจกันข้าแตก พวกท่านต้องชดใช้เงินไม่เช่นนั้น ข้าจะไปฟ้องทางการ" เถ้าแก่พูดพลางนํ้าตาไหลพราก เรียกได้ว่าท่าทางน่า สงสารมาก
“อืม..ดีในเมื่อเจ้าจะฟ้องทางการ เช่นนั้นก็ไปเถอะ ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” หลิวเมิ่งหลีเอ่ยปาก
“คุณหนูท่านนี้?” หญิงสาวทั้งสองนางสีหน้าตกใจ ถ้าให้ท่านย่ารู้ว่าพวกนางก่อเรื่องจนเสียเงินก้อนใหญ่ถึงขั้นถึงทางการท่านย่าคงต้องลงโทษ พวกนางให้ไปคุกเข่าศาลบรรพชนเป็นแน่
“วางใจเถอะมองดูเงียบๆ ก็พอแล้ว ข้าไม่ให้พวกเจ้าเป็นอะไรหรอก" หลิวเมิ่งหลีปลอบประโลม
หญิงสาวทั้งสองถึงกับแอบถอนหายใจโล่งอกจากนั้นก็ลอบมองหลิวเมิ่งหลีอย่างเงียบๆ หลังจากมองพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วหญิงสาวนางหนึ่งก็พูดข้างหูของหญิงสาวอีกคนเบาๆ ว่า "แม่นางผู้นี้ต้องเป็นบุตรสาวของขุนนางสูงศักดิ์สักคนเป็นแน่เจ้าวางใจเถอะนางต้องมีหนทางอย่างแน่นอน"
เถ้าแก่พอได้ยินดังนั้นก็ตกใจมาก “อย่าสิคณหนูท่านนี้ ข้าพูดอย่างนี้ก็เพราะกลัวพวกนางไม่ชดใช้เงินไง ท่านแม่ข้ายังรอเงินไปเชิญท่านหมอมารักษาอยู่เลย รีบให้พวกนางชดใช้เงินข้ามาเถอะข้าจะได้รีบไปเชิญท่านหมอไง ให้น้อยสักหน่อยก็ได้”
“หืม...ในเมื่อเป็นเช่นนี้งั้นข้าก็จะไม่อ้อมค้อมละนะ แจกันของเจ้านี่ไม่ใช่ของโบราณสักหน่อย สัญลักษณ์ที่แกะสลักอยู่ที่ฐาน เป็นสีเทาฟ้านี่เป็นวัตถุดิบสีของเครื่องลายครามที่พึ่งได้ใช้เมื่อหลายปีมานี้เอง ดังนั้นแจกันนี้พึ่งทําได้ไม่กี่ปีนี้ มากสุดราคาก็แค่สิบตำลึงเท่านั้นเอง" หลิวเมิ่งหลีแค่นเสียงบอก
ทุกคนที่อยู่โดยรอบเมื่อได้ยินดังนั้น ต่างก็พากันตกใจมองมาอย่างตะลึง
“คุณหนูท่านนี้ท่านอย่าพูดจาเหลวไหลสิ นี่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษของข้านะ เพียงเพราะพวกท่านเป็นพวกเดียวกันล่ะสิถึงได้บอกว่าแจกันของข้านั้นเป็นของปลอม
มองก็รู้ว่าพวกท่านเป็นลูกขุนมูลนายผู้สูงศักดิ์แต่เหตุใดถึงได้อาศัยอำนาจบาตรใหญ่มาดูถูกมรดกตกทอดของบรรพบุรุษข้ากัน
นี่ทุกคนรีบมาดูเร็ว คุณหนูสูงศักดิ์พวกนี้รัง แกชาวบ้านทุกคนต้องเป็นพยานให้ข้านะ” เถ้าแก่พูดอย่างไม่พอใจ
ชาวบ้านที่ผ่านไปมาพากันหยุดมุงดูมากยิ่งขึ้นบางคนก็ยังไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่หลิวเมิ่งหลีพูดเมื่อสักครู่ บางคนที่พอจำหลิวเมิ่งหลีได้ต่างก็พูดตำหนินางออกมา
"เอาอีกแล้วคุณหนูหลิวจวนแม่ทัพรังแกคนอีกแล้วหรือ?"
"นั่นสิ อีกไม่กี่วันกองทัพก็จะถึงเมืองหลวงแล้วนางยังไม่หยุดก่อเรื่องอีก!"
เพราะชื่อเสียงก่อนหน้านี้ของหลิวเมิ่งหลีนั้นย่ำแย่เกินไปชาวบ้านจึงไม่เชื่อถือคำพูดเหล่านั้นของนาง
หญิงสาวทั้งสองเมื่อได้ยินชาวบ้านเอ่ยถึงหลิวเมิ่งหลีใบหน้าของพวกนางทั้งสองก็ซีดเผือดนี่ไม่ใช่ว่าพวกนางจะโดนคุณหนูหลิวเมิ่งหลีกลั่นแกล้งเข้าให้แล้วหรอกนะ
..