บทที่ 3 บอกเรื่องมิติ
บทที่ 3 บอกเรื่องมิติ
หลันลู่อิงเดินจูงมือพี่ชายพร้อมกับหัวเราะตลอดทาง คอยดูเถอะ ก่อนจะได้แยกบ้านเธอจะทำให้ทุกคนหัวปั่นให้ให้หมดเลย
“เสี่ยวอิง น้องยังปวดหัวหรือมีอาการบาดเจ็บตรงไหนอีกไหม” หลันอี้ข่ายถามอย่างเป็นห่วง
“หนูไม่เป็นอะไรแล้วพี่ใหญ่ พี่กำลังแปลกใจใช่ไหม ทำไมหนูถึงเปลี่ยนไปจากเดิม”
“ใช่ แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปยังไง เสี่ยวอิงยังคงเป็นน้องสาวพี่เสมอ แต่พี่ชอบเสี่ยวอิงที่เป็นแบบนี้ พี่อยากให้น้องสู้คน”
“หนูจะไม่กลับไปอ่อนแอแบบเดิมอีกแล้ว หนูเกือบไปเฝ้ายมบาลแล้วนะพี่ หากไม่ได้ท่านตาคนนั้นช่วยคงตายไปแล้วจริงๆ”
หลันลู่อิงเลือกที่จะเปิดเผยกับพี่ชาย หากเธอจัดการคนเดียวคงไม่ได้ เรื่องนี้ต้องร่วมด้วยช่วยกัน อย่างน้อยๆ พวกเธอทั้งสี่คนยังเอาอาหารออกมากมิติทำกินได้
“หมายความว่ายังไงเสี่ยวอิง”
หลันอี้ข่ายเสียงสั่น เขาไม่กล้าคิดเลยว่าหากน้องไม่ฟื้นขึ้นมาเขาและครอบครัวจะต้องเสียใจแค่ไหน
หลันลู่อิงมองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นใครจึงจูงมือพี่ชายเข้าพงหญ้าเพื่อพูดคุยเรื่องมิติ
“ใช่หนูเกือบตายจริงๆ แต่มีท่านตาคนหนึ่งใจดีช่วยดึงหนูกลับมา พี่จะเชื่อหรือไม่หนูไม่ห้าม แต่เรื่องที่หนูจะบอกพี่ต้องสัญญาว่าจะรู้เพียงแค่เราเท่านั้น เพราะท่านตาบอกว่าหากมีคนอื่นรับรู้จะกลับมาเอาชีวิตหนูไป” ขอโทษนะพี่ใหญ่ที่ต้องบอกแบบนี้
“ได้พี่รับปาก แล้วพ่อกับแม่เราจะบอกไหม”
แม้จะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่เขาไม่อยากให้ท่านตาเทพคนนั้นมาเอาชีวิตของเสี่ยวอิง
“ท่านตาให้ของวิเศษกับฉันมาด้วย ในนั้นมีทุกอย่าง ทั้งอาหารเสื้อผ้าและที่พัก มีร้านอาหาร มีโรงงาน มีห้างสรรพสินค้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยนะ ปัญหามันอยู่ที่ว่า อาหารเราเอามาทำกินได้ แต่จะทำยังไงไม่ให้บ้านใหญ่รู้ นี่คือเรื่องที่หนึ่ง”
หลันลู่อิงเว้นประโยคเพื่อดูสีหน้าของพี่ชาย เมื่อเห็นว่าเขาสีหน้าเคร่งเครียดและเห็นด้วยจึงกล่าวประโยคต่อไป
“เรื่องที่สองแม้ว่าในมิติจะมีทุกอย่าง แต่ไม่มีเงิน เราจะทำยังไงจึงจะหาเงินพาพ่อไปหาหมอได้ ส่วนเรื่องสุดท้ายทำยังไงจึงจะเป็นอิสระจากบ้านใหญ่ เราต้องแยกบ้านเท่านั้น ต่อให้หนูมีของวิเศษยังไงถ้าหากยังมีบ้านใหญ่วนเวียนรอบกาย ไม่นานความลับต้องแตกแน่”
“พี่เคยไปตลาดมืด มีทางเดียวเท่านั้นที่จะหาเงิน แต่เราต้องปลอมตัว เกิดใครจำได้ขึ้นมาจะมีโทษนะสิ”
หลันอี้ข่ายเชื่อน้องสาวเต็มสิบส่วน เขาคิดว่าการที่น้องเปลี่ยนแปลงอาจจะเป็นเพราะโชคชะตากำหนดมาแล้ว
“อืม เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่พี่ใหญ่อยากจะเรียนต่อไหม หนูอยากจะเรียนต่อจนจบมัธยมนะ เผื่อว่าในอนาคตมหาวิทยาลัยอาจจะเปิดให้เรียนอีกครั้ง หนูไม่อยากเสียโอกาส”
นี่คือปี 1973 กว่าเธอและพี่ชายจะเรียนจบมัธยม มหาวิทยาลัยคงจะเปิดพอดี แต่ก็ช่างเถอะ ยังอีกหลายปี ตอนนี้เอาเรื่องปากท้องและเรื่องที่ต้องไปพาพ่อและแม่ไปหาหมอก่อน
“พี่ใหญ่ แต่เราจะบอกพ่อกับแม่ยังไงดี” ขณะที่พูด หลันลู่อิงเอาไก่ย่างออกมาจากร้านอาหารในมิติ พร้อมกับซาลาเปาไส้เนื้ออีกหลายลูก ยื่นให้พี่ชาย
แม้ว่าน้องสาวจะบอกแล้วเรื่องมิติ แต่พอเห็นของออกมาจากอากาศทำให้เขาสะดุ้งเหมือนกัน
“เรื่องนี้ห้ามบอกใครอีกนะเสี่ยวอิง ส่วนพ่อกับแม่บอกท่านเถอะ เพราะเวลาเราเอาอาหารออกมากินท่านจะได้ไม่สงสัย พี่เชื่อว่าต่อให้พ่อกับแม่จะอ่อนแอแค่ไหน แต่เรื่องความเป็นความตายของน้อง พ่อกับแม่ไม่มีทางบอกใครแน่นอน”
หลันอี้ข่ายเชื่อแบบนั้น แม้ว่าพ่ออาจจะเป็นคนนิ่งๆ แต่หากเอาจริงขึ้นมาใครก็ห้ามไม่อยู่ เรื่องแยกบ้านเหมือนกัน พ่อพูดกับปู่หลายครั้งแล้ว แต่ปู่ไม่ยอม กฎของหมู่บ้านที่นี่หากพ่อแม่ไม่ยอม ลูกๆ ไม่มีสิทธิ์แยกบ้าน เลยทำให้บ้านรองของเขาแยกบ้านไม่ได้ได้เสียที
“ค่ะพี่ใหญ่ หนูจะไม่บอกใคร เอาเป็นว่าเรากลับบ้านกันดีกว่านะ ส่วนอาหาร...”
“น้องเอาเข้ามิติก่อน ถ้าเกิดถือกลับไปแบบนี้บ้านใหญ่แย่งไปอีกแน่ ทำให้เขารู้ว่าเราไม่มีอาหารกันดีกว่า” เขาไม่อยากให้บ้านใหญ่รู้เรื่องอาหาร ไม่สู้เอาเข้ามิติแล้วกลับไปบอกพ่อกับแม่เรื่องนี้ดีกว่า
“พรุ่งนี้เราต้องแอบเข้าอำเภอกันนะพี่ หนูเป็นห่วงพ่อ พ่อป่วยมาหลายวันแล้ว”
หลันลู่อิงเก็บของเข้ามิติเหมือนเดิม จากนั้นสองคนพี่น้องเดินกลับบ้านด้วยหัวใจอิ่มเอม เพราะต่อไปนี้ไม่ต้องห่วงเรื่องปากท้องอีกแล้ว
เมื่อมาถึงบ้านทั้งสองมือของสองพี่น้องว่างเปล่า นางเจียอี๋มองสองพี่น้องอย่างเหยียดๆ หลันลู่อิงยิ้มมุมปากก่อนจะเดินเข้าห้องไปโดยไม่พูดอะไร เมื่อเข้ามาในห้องหลันอี้ข่ายรีบปิดประตูและล็อกอย่างแน่นหนา ทำให้สองสามีภรรยามองหน้าลูกทั้งสองคนด้วยความตื่นตกใจเพราะกลัวว่าลูกทั้งสองคนจะเกิดเรื่องอะไรอีก
“มีอะไรหรือเปล่าอาข่าย เสี่ยวอิง”
หลันเทียนหยู่เอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดี เพราะกลัวว่าลูกๆ โดนบ้านใหญ่รังแกโดยที่เขาไม่สามารถช่วยได้
“ไม่มีอะไรครับพ่อ เสี่ยวอิงมีเรื่องบางอย่างต้องบอกพ่อกับแม่ แต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิตของน้องถ้าเกิดมีคนนอกรู้เรื่อง”
หลันอี้ข่ายเอาเรื่องคอขาดบาดตายของน้องมาเป็นข้ออ้าง แม้จะรู้ว่าพ่อกับแม่ไม่มีทางบอกใครก็ตาม
“เกิดอะไรขึ้น เสี่ยวอิงเป็นอะไร ใครทำอะไรลูก แม้พ่อจะต้องตายพ่อจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายหนูอีก”
หลันเทียนหยู่พยายามจะลุกนั่ง แต่ร่างกายไม่เอื้ออำนวยจนภรรยาอย่างหงเหยาต้องรีบมาพยุงสามีทั้งน้ำตา
“ไม่มีเรื่องอะไรร้ายแรงขนาดนั้น เพียงแต่เรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับของเราทั้งสี่คน เรื่องมีอยู่ว่า...”
หลันลู่อิงเล่าเรื่องเดียวกันกับบอกพี่ชายให้พ่อกับแม่ฟัง ทั้งสองคนมีสีหน้าตกตะลึง แม้ว่าจะดีใจที่ลูกสาวยังมีชีวิตอยู่และมีขอวิเศษติดตัวมา แต่เขาไม่สบายใจกลัวว่าของวิเศษนี้จะต้องแลกกับอายุขัยของลูกตัวน้อย
“เสี่ยวอิง พ่อไม่ต้องการของวิเศษพวกนั้น หากมันต้องแลกกับอายุขัยของลูก บอกท่านตาคนนั้นว่าเอาชีวิตพ่อไปแทนนะ พ่อขอแค่ลูกทั้งสองคนของพ่อรวมถึงอาเหยามีกินและไม่ลำบากพ่อก็ดีใจแล้ว ลูกบอกท่านตาเทพคนนั้นนะว่ามาเอาชีวิตของพ่อไปได้เลย”
ในเมื่อเขาป่วยจนร่างกายไม่ไหวแล้ว อยู่ไปก็ทรมานลูกและเมียเปล่าๆ ไม่สู้เอาชีวิตเขาไปดีกว่า เขายอมแลกกับชีวิตอันไร้ค่าของตน
“แม่ด้วยเสี่ยวอิง บอกท่านตาเทพให้เอาชีวิตแม่ไปด้วย ขอแค่ลูกทั้งสองคนมีชีวิตที่ดีขึ้น อะไรแม่คนนี้ก็ยอมแลกทั้งนั้น แต่แม่ขอเพียงเรื่องเดียว หากไม่มีแม่กับพ่อแล้ว ลูกทั้งสองคนไปจากที่นี่ ไปเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ อย่ากลับมาที่นี่อีก แม่เชื่อว่าของวิเศษพวกนั้นจะทำให้ลูกแม่ทั้งสองคนมีชีวิตอย่างสุขสบายได้ แม่ขอแค่นี้เท่านั้น แม่และพ่อจะมองดูลูกทั้งสองคนอยู่บนฟ้า”
ในชีวิตนี้แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตขอเพียงลูกทั้งสองคนอยู่ดีมีสุขและหลุดพ้นจากบ้านนี้ก็พอ เธอยอมเอาชีวิตเข้าแลกพร้อมกับสามี หงเหยาและหลันเทียนหยู่กอดกันทั้งน้ำตา ขอเพียงแค่ลูกทั้งสองคนสุขสบายแม้ต้องตายทั้งสองคนก็ยินยอม
หลันลู่อิงน้ำตาไหลพราก นี่ใช่ไหมความรักของพ่อแม่ นี่ใช่ไหมความอบอุ่นของคำว่าครอบครัวที่แท้จริง
“พ่อคะ แม่คะ ฟังหนูนะ ท่านตาคนนั้นเพียงแค่สงสารในชะตาชีวิตของพวกเราเท่านั้น เลยให้ของวิเศษพวกนี้มา และรู้ว่าหนูมีความฝันอยากจะเรียนต่อ ส่วนสิ่งที่ท่านตาคนนี้อยากได้ตอบแทนคือความสำเร็จของหนูและพี่ใหญ่ ท่านต้องการเพียงเท่านี้ พ่อกับแม่สบายใจได้”
“จริงนะ เสี่ยวอิงไม่โกหกพ่อกับแม่นะลูก” หลันเทียนหยู่เอ่ยถามอีกครั้ง