บทที่ 4 ความรักของครอบครัว
บทที่ 4 ความรักของครอบครัว
“จริงค่ะ เรื่องนี้หนูกล้าสาบาน ท่านตาคนนั้นไม่ต้องการอะไรจริงๆ ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือหาเงินพาพ่อไปหาหมอ หนูรักพ่อกับแม่นะ อยากให้พ่อกับแม่รอดูความสำเร็จของหนูกับพี่ใหญ่ และอย่ายอมแพ้ พรุ่งนี้หนูคุยกับพี่ใหญ่แล้วว่าจะแอบเข้าตลาดมืดกัน เอาอาหารและของบางอย่างไปขาย เพื่อหาเงินมาพาพ่อไปหาหมอ...”
หลันลู่อิงพูดยังไม่ทันจบเจอเสียงของพ่อร้องห้าม
“ไม่ได้ พ่อไม่ให้ไปกันสองคนแน่นอน มันอันตรายมานะเสี่ยวอิง อาข่าย พ่อเป็นห่วง”
แม้จะรู้ว่าเจ้าของตลาดมืดที่นี่คงมีอิทธิพล เพราะไม่เคยโดนกวาดล้าง แต่ลูกทั้งสองคนยังเด็กนัก เขาย่อมเป็นห่วง ก่อนจะโทษตัวเองในใจที่เป็นที่พึ่งให้ลูกไม่ได้
“ต้องได้ค่ะพ่อ หากให้แม่ไปกับหนู บ้านใหญ่จะต้องสงสัยแน่ แต่ถ้าหนูกับพี่ใหญ่หายไป คนพวกนั้นคงคิดว่าหนูและพี่ใหญ่ขึ้นเขาไปหาผักหาหญ้ามาให้วัวกินเพื่อแลกแต้ม เชื่อเถอะ เราสองคนเอาตัวรอดได้ แต่ก่อนอื่นทุกคนหลับตาก่อน ในมิติมีคฤหาสน์หลังใหญ่อยู่ในนั้น
ต่อไปนี้เราไม่ต้องนอนอุดอู้กันในห้องนี้อีกแล้ว หากยังนอนรวมกันแบบนี้ ชาตินี้ทั้งชาติหนูและพี่ใหญ่คงไม่มีน้องสาวหรือน้องชายตัวอวบอ้วนน่าฟัดน่ากอดแน่ จริงไหมพี่ใหญ่”
ในเมื่อมั่นใจแล้วว่าพ่อกับแม่รักลูกยิ่งกว่าชีวิต เธอจึงไม่มีความจำเป็นที่จะปิดบังหรือว่าไม่พาเข้าไปในมิติ
“ลืมตาได้แล้วค่ะ”
หลันลู่อิงพาเข้ามาในห้องนอนสำหรับพ่อแม่ ก่อนจะบอกให้ทั้งสามคนลืมตาขึ้นมา พอเห็นเท่านั้นทั้งสามคนจะแสดงสีหน้าตกใจทันที
“เสี่ยวอิง นี่คือ...”
“ที่นี่คือคฤหาสน์ที่มีอยู่ในมิติค่ะพ่อ ท่านตาคนนั้นให้ไว้ ด้านข้างยังมีห้างสรรพสินค้าอีกนะคะ และมีร้านต่างๆ เรียงรายอยู่เต็มไปหมด โรงงานก็มีนะคะ ห้องนี้สำหรับพ่อกับแม่ ส่วนหนูกับพี่ใหญ่จะไปเลือกห้องข้างๆ นอนกัน
ส่วนเสื้อผ้าเดี๋ยวหนูจะเลือกมาให้ หรือว่าแม่จะไปกับหนูก็ได้นะ จะได้เลือกมาให้พ่อด้วย พวกเราอยู่ดีกินดีเฉพาะในนี้เท่านั้นนะคะ พอออกไปด้านนอกต้องกลับมาใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ เหมือนเดิม ไม่เช่นนั้นมีปัญหากับบ้านใหญ่แน่ ปัญหาหนูไม่กลัว แต่กลัวว่าบ้านใหญ่จะแย่งไปนะสิ หนูขอโทษนะคะที่พูดตรงๆ พ่อไม่โกรธหนูนะ”
หลันลู่อิงรู้ว่าบ้านใหญ่ก็คือบ้านปู่กับย่า เธอกลัวว่าพ่อได้ยินสิ่งที่เธอพูดแล้วจะรู้สึกไม่ดี
“พ่อเข้าใจ และพ่อคิดว่าหากพ่อหายป่วยพ่อจะลองคุยกับปู่ดูอีกครั้งเรื่องแยกบ้าน แม้ว่าเราจะไม่พูดหรือไม่บอกใครเรื่องมิติแห่งนี้ แต่ถ้าเกิดยังอยู่ในบ้านใหญ่ พ่อก็ยังไม่วางใจ”
หลันเทียนหยู่ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าเรื่องนี้เขาจะต้องแยกบ้านให้จงได้ ต่อให้พ่อจะไม่ให้อะไรไปเลยเขาก็ยอม
“แล้วพ่อกับแม่จะยอมเหรอคะ ในเมื่อพี่พูดเรื่องนี้มาตั้งหลายครั้งแล้ว”
“ไม่ลองไม่รู้ครับ อาเหยาและลูกๆ ทนอีกหน่อยนะ พี่เชื่อว่าเราต้องได้แยกบ้าน ไม่แน่ว่าพี่อาจจะต้องคุยกับพี่ใหญ่เพื่อให้เขาช่วยพูดให้” แม้จะต้องแลกกับอะไรเขาก็ยอม
“เอาแบบนี้ไหมคะ หากพ่อหายป่วยแล้ว พ่อลองไปคุยกับผู้นำหมู่บ้านเพื่อขอจัดสรรที่ดินปลูกบ้าน ส่วนเรื่องหาเงินหนูกับพี่ใหญ่จัดการเอง เราสองคนแอบไปกันได้ พอเราแยกบ้านได้แล้วจะได้มีบ้านอยู่ หากใครถามขึ้นมา ก็ให้บอกว่าเป็นสินเดิมของแม่ที่แอบไว้ ดีไหมคะ” หลันลู่อิงออกความคิดเห็น
“จริงด้วยครับพ่อ แม่ หลังจากแยกบ้านแล้ว ค่อยว่ากันอีกทีจะเอายังไงต่อ”
“เอาแบบนี้ไหม หากวันไหนพ่อหายป่วย พวกเราค่อยลางานที่คอมมูนแล้วมาอยู่ในอำเภอสักสองคืน อย่าลืมนะว่าทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่าแม่เป็นเด็กกำพร้าและยากจน คงมีคนเชื่อยากว่าเป็นสินเดิมแม่ แต่ถ้าพวกเราหายไปสักสองสามวัน ตอนลางานให้บอกว่าแม่ติดต่อกับครอบครัวได้แล้วเลยจะกลับไปเยี่ยม ดีไหม”
หงเหยาเสนอความคิดเห็นขึ้นมาบ้าง หากบอกว่าเป็นสินเดิมเธอเพียงอย่างเดียวมันเสี่ยงจนเกินไป แต่ถ้าบอกว่าเป็นเงินที่ทางญาติให้ยืมมา ความน่าเชื่อถือมันมีมากกว่า
เมื่อทั้งหมดได้ข้อสรุป หลันลู่อิงจึงให้พ่อนอนอยู่ในห้อง ส่วนเธอ แม่ และพี่ชายเดินลงไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อเลือกเสื้อผ้าให้กับทุกคน แม้จะรู้ว่าเป็นของที่ไม่ต้องเสียเงิน แต่ก็ไม่กล้าหยิบมาก จนหลันลู่อิงอดหัวเราะไม่ได้
พอได้ของตามที่ต้องการแล้วทั้งสามจึงกลับมาที่คฤหาสน์อีกครั้ง ก่อนจะเอาอาหารขึ้นมากินพร้อมกับหลันลู่อิงเอายาลดไข้มาให้พ่อกินก่อน หากมากกว่านี้ทุกคนจะสงสัยได้ว่ารู้ได้ยังไง จากนั้นจึงแยกย้ายกันห้องใครห้องมันเพื่อพักผ่อน
“พี่เทียน ลูกจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”
หงเหยาหลังจากเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สามีแล้วเธอจัดการตัวเองเสร็จ ก่อนจะเดินขึ้นเตียงมาอยู่ในอ้อมกอดของหลันเทียนหยู่สามีของเธอ และถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ลูกต้องไม่เป็นอะไร พี่เชื่อในสิ่งที่เสี่ยวอิงพูด ลูกๆ ของเราไม่เคยโกหกนะ เมื่อไหร่ที่พี่หาย พี่จะปกป้องทุกคนในครอบครัวเอง พี่จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายน้องและลูกอีกแล้ว ต่อให้พี่ต้องตัดขาดกับบ้านใหญ่พี่ก็ยอม”
เขาเป็นพ่อ เป็นสามี เป็นหัวหน้าครอบครัว ยิ่งตอนนี้ลูกสาวยังมีของวิเศษติดตัว เขาไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายและล่วงรู้ความลับนี้แน่ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วชีวิตของลูกสาวจะต้องโดนทวงคืนอย่างที่อาข่ายและเสี่ยวอิงบอก นั่นคือเรื่องที่เขายอมไม่ได้ เขาจะไม่ยอมให้ใครมาพรากชีวิตลูกสาวไปแน่
“ค่ะ น้องเชื่อลูกเช่นกัน ต่อไปนี้น้องจะเข้มแข็งปกป้องลูกๆ ของเราเหมือนกัน พี่ต้องรีบหายนะคะ” หงเหยาเงยหน้ามองสามีด้วยรอยยิ้ม
“พี่ต้องรีบหาย น้องไม่ได้ได้ยินเสี่ยวอิงบอกก่อนจะพาเข้ามาที่นี่เหรอว่าอยากได้น้องชายและน้องสาว เราเป็นพ่อแม่ หากลูกอยากได้อะไรต้องรีบหามาให้”
ชายหนุ่มก้มมองภรรยาด้วยสายตาที่กรุ้มกริ่ม รอเขาหายป่วยก่อนเถอะ เขาจะทำตามความปรารถนาของเสี่ยวอิงและอาข่ายทันที
“พี่นี่ทะลึ่ง แก่แล้วนะคะ”
หงเหยาเขินอาย เธออายุสามสิบกว่าแล้วนะ แก่แล้ว สามีเธอยังจะมาคิดเรื่องนี้อีก
“ยังไม่แก่ครับ น้องแค่สามสิบต้นๆ พี่ก็แค่สี่สิบเล็กน้อย จะแก่ได้ยังไง ยังมีแรงทำลูกได้อีกนะ ถ้าไม่เชื่อก็คอยดูเถอะ”
ในเมื่อตอนนี้ไม่ต้องห่วงเรื่องปากท้องอีกแล้ว ที่เขาและภรรยาไม่ยอมมีลูกอีกเพราะต้องนอนรวมกับลูกๆ และที่สำคัญเขาไม่ได้มีเงินหรือว่ามีอาหารเหลือเฟือที่พอจะเลี้ยงลูกหลายคน แต่ตอนนี้เสี่ยวอิงและอาข่ายอยากมีน้อง เขาก็ไม่อาจขัดใจลูกได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างต้องมีหลังจากแยกบ้านเรียบร้อยแล้ว
สองพี่น้องยังไม่มีใครนอน หลันอี้ข่ายอาบน้ำเรียบร้อยแล้วจึงเดินมาเคาะประตูห้องน้องสาว เมื่อเข้ามาในห้องสองพี่น้องจึงปรึกษาเรื่องที่จะเอาของไปขายพรุ่งนี้
“เสี่ยวอิง พรุ่งนี้เราจะบอกคอมมูนยังไง”
“บอกตรงๆ พี่ใหญ่ ว่าไปหาซื้อยาให้พ่อ ท่านหัวหน้าน่าจะรู้ดีในเมื่อตอนนี้พ่อก็ลางานมาเป็นอาทิตย์แล้ว”
“อืม แล้วเราจะขายอะไรดี แต่เราต้องปลอมตัวนะ” ตอนเข้าไปในห้างสรรพสินค้า เขาเห็นมีพวกวิกผมด้วย น่าจะปลอมตัวได้ไม่ยาก
“อืม พรุ่งนี้เราจะนั่งเกวียนไป แต่ว่าบ้านเราพอมีเงินบ้างไหม หรือว่าเราเดิน แล้วค่อยแวะข้างทางเอาจักรยานออกมา”
“พี่คิดว่าเดินไปก่อนแล้วแวะข้างทางดีกว่า จะได้ปลอมตัวทีเดียว พี่ปั่นจักรยานเป็น”
“ตกลงค่ะ เอาแบบนั้นก็ได้ สิ่งที่ขายง่ายที่สุดน่าจะเป็นพวกเนื้อหมูนะพี่ใหญ่ พี่ว่าเสื้อผ้าจะขายได้ไหม”
หลันลู่อิงไม่รู้ว่าที่นี่คนมักจะไปซื้ออะไรกันในตลาดมืด แต่พวกอาหารคงไม่มีใครปฏิเสธ
“ได้สิ เราขายพวกเนื้อก่อน แล้วค่อยดูลูกค้าว่าเขาต้องการอะไร พี่ว่าแบบนี้ปลอดภัยกว่า”
“ตกลง”
ทันทีที่ได้คำตอบสองพี่น้องพยักหน้าให้กันก่อนที่หลันอี้ข่ายจะเดินกลับห้องของตัวเองเพื่อพักผ่อน คืนนี้ทั้งสี่คนพ่อแม่ลูกคงจะนอนหลับสบายเป็นคืนแรกหลังจากผ่านความทุกข์มาอย่างหนักหนาสาหัส