การเดินทาง
ตอนที่ 3 การเดินทาง
“ไม่ค่ะคุณพ่อคุณแม่ หัวเด็ดตีนขาดยังไงโรสก็ไม่ไปอยู่ที่บ้านนอกนั่นแน่ ๆ ค่ะ โรสยอมตายดีกว่าที่จะต้องไปอยู่ในที่กันดารแบบนั้น”
โรสรินทร์พูดขึ้นอย่างหัวชนฝา ไม่ว่าจะยังไงเธอก็จะไม่มีทางไปอยู่ที่บ้านนอกคอกนาแบบนั้นเป็นแน่ เพราะถ้าหากเธอไปเรื่องที่พ่อแม่จับให้เธอหมั้นหมายกับผู้ชายบ้านนอกนั่นตั้งแต่เด็กก็จะเป็นจริงขึ้นมา เธอไม่มีทางยอมรับได้แน่ ๆ ที่จะต้องไปมีสามีบ้านนอกเป็นไอ้หนุ่มภูธรแบบนั้น ระดับเธอจะต้องมีสามีที่เป็นลูกผู้ดีมีสกุล หล่อ รวย อยู่ในแวดวงไฮโซ ไม่ใช่ผู้ชายภูธรแบบนั้น แม้แต่หน้าตาเธอเองก็ไม่รู้และไม่เคยเห็นผู้ชายคนนั้นเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้พ่อกับแม่ของเธอจะเคยพูดถึงเรื่องราวและเล่าเหตุการณ์ในอดีตให้ฟัง เมื่อตอนเธออายุได้ประมาณสี่ขวบ เธอและครอบครัวได้ไปเที่ยวเล่นที่บ้านของคุณป้าสีดา และตัวเธอเองก็ติดผู้ชายคนนั้นแจ วิ่งตามผู้ชายคนนั้นยิ่งกว่าเงาตามตัว และแทบจะไม่อยากกลับมากรุงเทพเลยด้วยซ้ำ แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องในอดีตไหม เพราะเธอลืมเรื่องราวพวกนั้นไปจนหมดสิ้นแล้ว เธอจำอะไรไม่ได้สักอย่างเลยด้วยซ้ำ และตอนนี้เธอเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะสานสัมพันธ์กับผู้ชายบ้านนอกนั่นแล้วด้วย
“แต่ลูกต้องไป รอให้เรื่องทุกอย่างเงียบลงแล้วค่อยกลับมา!!”
เสียงเข้มดุดันของท่านสุรพลผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้น เมื่อลูกสาวจอมเอาแต่ใจเริ่มที่จะพูดจาไม่รู้เรื่อง ทั้งที่เมื่อคืนก็สร้างปัญหาเกิดเรื่องราวใหญ่โตจนคนทั่วประเทศต่างติฉินนินทาให้น่าอาย ตอนนี้ยังไม่สำนึก อีกทั้งยังทำตัวดื้อรั้นขัดคำสั่งของพ่อแม่อีก
“ทำไมคุณพ่อคุณแม่ต้องบังคับให้โรสไปอยู่บ้านนอกคอกนากับไอ้ผู้ชายบ้านนอกนั่นด้วยคะ โรสโตแล้วนะคะไม่ใช่เด็กสามขวบ โรสเลือกคนรักคู่ครองเองได้!”
“ถ้าคิดว่าตัวเองโตแล้วก็ช่วยทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่เขาทำกันด้วย ส่วนไอ้ผู้ชายเฮงซวยที่ลูกคบอยู่พ่อขอสั่งห้ามให้ลูกเลิกคบมันซะ!!”
“คุณพ่อ!!”
“ถ้าแกทำไม่ได้ หุ้น 50% ที่แกจะได้ แกก็จะไม่ได้ พ่อจะยกในส่วนของแกให้พี่ชายแกหมด เอาแบบนั้นไหม!!” น้ำเสียงเข้มดุดันของคนเป็นพ่อพูดขึ้นอีกครั้ง
“คุณพ่อ!!” โรสรินทร์เรียกชื่อพ่อของตัวเองเสียงดัง ใบหน้าหวานตอนนี้กลับงอง้ำเพราะโดนขัดใจ
“ทำตามที่พ่อเขาบอกเถอะลูก ดีสะอีกลูกจะได้ใช้เวลาในระหว่างอยู่ที่โน่นศึกษาดูใจกับพี่ไวน์เขา ถ้าหากว่าลูกไม่ชอบพี่ไวน์เขาจริง ๆ แม่ก็จะไม่บังคับ” คุณหญิงพิศมัยเอ่ยขึ้น
“แล้วแต่แกนะยัยโรส ถ้าอยากมีสิทธิ์ในบริษัทก็เลือกเอา ถ้าไม่อยากได้อะไรแกก็ขัดคำสั่งของพ่อได้เลย!!”
“นี่มันปีพ.ศ.ไหนแล้วคะ คุณพ่อคุณแม่ยังจะจับโรสคลุมถุงชนอีกเหรอ”
“พ่อกับแม่ก็แค่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก”
“เหอะ สิ่งเลวร้ายที่สุดในชีวิตของโรสล่ะไม่ว่า ผู้ชายบ้านนอกแบบนั้นคงดีที่สุดตายล่ะ!” ท่านสุรพลและคุณหญิงพิศมัยได้แต่ปรายตามองบุตรสาวที่นั่งหน้าหงิกหน้างอ แต่ก็ไม่ได้โต้กลับประโยคของเธอ
“ผมว่าให้ยัยโรสไปอยู่ที่ทุ่งกุลาร้องไห้ตลอดชีวิตเลยดีกว่าครับคุณพ่อ จะได้เลิกทำนิสัยเป็นเด็ก ๆ แบบนี้” รณกรบุตรชายคนโตเอ่ยแทรก เมื่อนั่งฟังบทสนทนาของผู้เป็นพ่อและน้องสาวตัวแสบอยู่นาน
“พี่รามทำไมพูดแบบนี้คะ ลองเป็นพี่รามถูกจับคลุมถุงชนเหมือนโรสบ้างแล้วจะรู้สึก” โรสรินทร์รีบแหวใส่พี่ชายเพียงคนเดียวอย่างฉุนเดียว
“ก็อยากลองเหมือนกัน แต่ดันไม่มีคู่ให้จับน่ะสิ”
“เชอะ ขอให้ชาตินี้ขึ้นคานไปทั้งชาติเถอะ เพี้ยง!!”
“นี่แกแช่งพี่เหรอยัยโรส!!”
“พอกันได้แล้วทั้งสองคนเลย เถียงกันตั้งแต่เด็กจนโตไม่เบื่อบ้างหรือไง!!” ท่านสุรพลเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ ก่อนลูกชายและลูกสาวจะแยกเขี้ยวใส่กันมากไปกว่านี้
“ไม่ว่าจะยังไงโรสก็ต้องไปอยู่ที่บ้านป้าดา เพราะตอนนี้แม่กับป้าดาคุยกันเรียบร้อยแล้ว ว่าจะให้โรสไปพักผ่อนอยู่ที่ร้อยเอ็ดสักพัก และโรสต้องเป็นลูกมือคอยช่วยพี่ไวน์เขาทำงานที่โน่นด้วย”
คุณหญิงพิศมัยพูดขึ้นพลางจ้องหน้าลูกสาวด้วยแววตาที่ดูจริงจัง
“อะไร ๆ ก็พี่ไวน์พี่ไวน์ นี่ตกลงโรสเป็นลูกคุณแม่หรือไอ้พี่วายวอดวอดวายนั่นเป็นลูกของคุณแม่กันแน่คะ!!” โรสรินทร์พูดอย่างเหน็บแนมพลางเบ้หน้าอย่างกระเง้ากระงอด
“ตายแล้วยัยโรส ไปเรียกพี่เขาแบบนั้นได้ยังไงลูก”
คุณหญิงพิสมัยเอามือทาบอก เมื่อได้ยินในสิ่งที่ลูกสาวพูดถึงผู้ชายที่พ่อแม่หมายตาเอาไว้
“ใครใช้ให้คุณแม่ชอบจับคู่ให้โรสล่ะคะ โรสไม่รู้จักไอ้พี่วายวอดอะไรนั่นด้วยซ้ำ หน้าตาเป็นยังไงโรสก็ไม่เคยเห็น ถ้าจะพูดถึงเรื่องอดีตโรสก็จำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ตอนนั้นโรสแค่สี่ขวบเองนะคะ มันผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว!!”
“แต่ตาไวน์เขาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรเลยนะลูก การศึกษาก็ดี ทำงานก็เก่ง นิสัยใจคอก็ดี เหล้าไม่กินบุหรี่ไม่สูบ ผู้ชายดี ๆ แบบนี้ลูกจะไปหาได้จากที่ไหน ตาไวน์น่ะเพอร์เฟคต์สุด ๆ แล้วนะลูก แม่ว่าผู้ชายแบบนี้เหมาะกับลูกสาวของแม่ที่สุดแล้ว แม่น่ะมองคนไม่ผิดหรอก” คุณหญิงพิศมัยพูดพลางจ้องมองลูกสาวอย่างใจจดใจจ่อ
“แต่โรสไม่ชอบผู้ชายบ้านนอกนี่คะคุณแม่!!”
“ยัยโรส !! ลูกอย่าลืมนะ ว่าแม่เองก็คนบ้านนอก ถิ่นกำเนิดแม่ก็มาจากจังหวัดร้อยเอ็ดบ้านเดียวกันกับป้าดา ลูกพูดจาแบบนี้ก็เท่ากับว่าลูกกำลังดูถูกแม่อยู่นะ!!” คุณหญิงพิศมัยเอ่ยตำหนิขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ปะ เปล่านะคะ โรสไม่ได้หมายความแบบนั้น” โรสรินทร์รีบปฏิเสธขึ้นมาทันควันเมื่อผู้เป็นแม่เริ่มจะไม่พอใจ พลางก้มหน้าก้มตามองพื้นเมื่อรู้ตัวว่าตนเองผิด
“ยังไงซะลูกก็ต้องไปที่นั่น จะได้มีเวลาไปคิดทบทวนและแก้ไขนิสัยเสีย ๆ ของตัวเอง!!”
“คุณพ่อ!!”
“เอาน่ายัยโรส อยู่ที่นั่นก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักหรอก เดือนที่แล้วพี่ยังไปพักผ่อนที่ทุ่งกุลาร้องไห้กับไอ้ไวน์มันเลย บรรยากาศที่นั่นออกจะดี”
รณกรเอ่ยขึ้นเพราะเขากับวายุภัคเป็นเพื่อนกันและติดต่อกันอยู่ตลอด แม้แต่ตอนที่วายุภัคเองไปเรียนต่อต่างประเทศพวกเขาทั้งสองก็คอยส่งข่าวคราวหากันเสมอ จะมีแค่โรสริสทร์ที่ไม่ได้ติดต่อหรือยุ่งเกี่ยวกับวายุภัคอีกเลย เพราะตอนนั้นเธอยังเด็กและไม่ค่อยรู้ความอะไร พอเธอโตเป็นสาวขึ้นมาผู้เป็นพี่ชายเองก็ไม่คิดที่จะเอาภาพถ่ายของวายุภัคในตอนปัจจุบันให้กับผู้เป็นน้องสาวได้ดู เพราะเธอมักจะตัดสินไปแล้วว่าผู้ชายบ้านนอกคงไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ และตั้งแง่รังเกียจมาตลอดเวลาที่พ่อกับแม่เธอพูดถึงเรื่องคู่หมั้นในวัยเด็ก รณกรเองเลยต้องการที่จะให้น้องสาวได้เจอกับวายุภัคด้วยตัวเองเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
“พี่รามก็พูดได้สิ พี่รามไปแค่วันสองวันเอง แต่นี่โรสไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องอยู่ที่บ้านนอกนั่นนานแค่ไหน”
“ก็อยู่จนกว่าลูกจะปรับทัศนคติของตัวเองได้นั่นแหละ จากนี้ไปลูกต้องเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติของตัวเองบ้าง ไม่ใช่ว่าเอะอะก็เอาแต่ใจและใช้แต่อารมณ์ตัดสินปัญหาอย่างเดียว” ท่านสุรพลพูดขึ้น
“หนูไม่เข้าใจค่ะ ทำไมหนูต้องทำตามที่คุณพ่อคุณแม่สั่งด้วยคะ”
“เพราะพ่อกับแม่เป็นห่วงลูก อยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี และได้คู่ครองที่ดี ๆ ยังไงล่ะ“ คุณหญิงพิศมัยเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะของลูกสาวเบา ๆ อย่างรักใคร่
เช้าวันต่อมา….
เสียงเครื่องยนต์ที่สตาร์ทรอเธอดังก้องไปทั่วบ้าน โรสรินทร์ยืนอ้อยอิ่งอยู่ตรงหน้าประตูบานใหญ่ของคฤหาสน์หลังโต เธอยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่แบบนั้น และมองดูพ่อแม่ของเธอสั่งคนรับใช้ภายในบ้านขนกระเป๋าของเธอขึ้นรถที่สแตนบายรอเธออยู่ก่อนแล้ว
“โรส ไปเถอะลูกเดี๋ยวจะตกเครื่อง ส่วนนี่คือเบอร์โทรป้าดานะลูก ไปถึงสนามบินร้อยเอ็ดพี่ไวน์เขาจะเป็นคนไปรอรับลูกเอง ถ้าโรสจำพี่ไวน์ไม่ได้ก็ติดต่อเบอร์นี้ได้เลยนะลูก”
คุณหญิงพิศมัยแม่ของเธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย โรสรินทร์ไม่พูดตอบอะไร เธอเพียงแค่ก้มหน้าและกัดริมฝีปากแน่น สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเสียใจและความโกรธ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ถึงต้องส่งเธอไปอยู่บ้านนอกคอกนาแบบนั้นด้วย หากจะลงโทษที่เธอก่อเรื่องจนเป็นข่าวดังใหญ่โตก็ลงโทษอย่างอื่นได้นี่ ทำไมต้องลงโทษเธอแบบนี้ด้วย
นานแล้วที่เธอไม่ได้เจอป้าดา เธอไม่รู้ว่าไอ้พี่วายวอดคู่หมั้นบ้าบออะไรนั่นของเธอมีหน้าตาเป็นแบบไหน และเธอไม่รู้ว่าเธอจะต้องอยู่ที่บ้านนอกนั่นอีกนานแค่ไหนกัน
“ยัยโรส เร็วเข้า!” รณกรพี่ชายของเธอตะโกนขึ้นเมื่อเธอยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“ค่ะ” โรสรินทร์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะก้าวขาเดินไปขึ้นรถยนต์คันหรูอย่างช้า ๆ เพื่อเดินทางไปสนามบินด้วยใจที่วูบโหวง
รถยนต์คันหรูวิ่งฉิวออกจากบ้านเพื่อมุ่งหน้าสู่สนามบิน โรสรินทร์ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างรถอย่างคนใจลอย เมื่อเธอกำลังจะเข้าสู่โลกใหม่ โลกที่เธอไม่รู้จัก เธอรู้สึกกลัว รู้สึกเหงา รู้สึกไร้ที่พึ่ง เธอไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านนอกคอกนานั่นได้ยังไง และเธอไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้เธอจะต้องเจอกับอะไร เธอทำได้เพียงแค่ภาวนาว่าเธอจะผ่านมันไปได้ คนอย่างโรสรินทร์ซะอย่างต้องรับมือกับทุกสถานการณ์ได้อยู่แล้ว
“คุณว่าลูกเราจะไปก่อเรื่องที่บ้านนอกให้สีดากับตาไวน์ปวดหัวหนักขึ้นไหมคะ” คุณหญิงพิศมัยถามสามีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาด้วยสีหน้าที่มีแต่ความเป็นกังวล
“อืม ผมก็กลัวว่ายัยโรสจะไปสร้างปัญหาให้ทางโน้นเขาเหมือนกัน”
“ไม่รู้ว่าเราจะส่งลูกไปดัดนิสัยหรือส่งลูกไปสร้างความวุ่นวายให้กับพวกเขากันแน่นะ ยัยโรสลูกคุณใช่ย่อยซะที่ไหนล่ะ”
“อ้าว ลูกผมคนเดียวรึไงคุณหญิง นั่นลูกคุณด้วยไหมล่ะ ที่ยัยโรสดื้อก็คงดื้อเหมือนคุณนั่นแหละ”
“เอ๊ะ!! นี่คุณ ลูกจะมาดื้อเหมือนฉันคนเดียวได้ยังไงกันล่ะ ลูกคุณด้วยก็ต้องดื้อเหมือนคุณด้วยสิ!!”
พูดเพียงแค่นั้นท่านสุรพลจึงรีบเดินปรี่เข้าไปในบ้านทันที ปล่อยให้ผู้เป็นภรรยายืนหงุดหงิดไม่พอใจ และบ่นอุบอิบอยู่แบบนั้น
โรสรินทร์ถอนหายใจออกมาหนัก ๆ เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่อาจนับได้ จนรณกรพี่ชายของเธอที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้เอ่ยขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบอึมครึมในรถ
“แกจะถอนหายใจอะไรนักหนายัยโรส แกแค่ไปอยู่บ้านนอกชั่วคราวนะ ไม่ได้ไปตายสักหน่อย”
“พี่รามก็มาเป็นโรสดูสิ ยิ่งกว่าตายทั้งเป็นอีก”
“กลัวก็แต่พอไปอยู่ที่นั่นแล้วแกจะไม่อยากกลับมาอยู่ที่กรุงเทพอีกน่ะสิ ไม่ใช่ว่าพอไปอยู่แล้วติดใจทั้งบรรยากาศ ติดใจทั้งคนที่นั่นจนไม่อยากจะกลับกรุงเทพเข้าให้ล่ะ”
“จะติดใจหรือจะช็อคตายก่อนกันแน่คะ ไอ้พี่วายวอดอะไรนั่นหน้าตาเป็นยังบ้างก็ไม่รู้ แต่ก็คงจะไม่พ้นที่โรสจินตนาการเอาไว้แน่ ๆ” โรสรินทร์บ่น ๆ ขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
“เดี๋ยว ๆ แกเนี่ยจินตนาการยังไงก่อน แต่ขอบอกไว้เลยนะว่าไอ้ไวน์มันไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่แกจินตนาการเอาไว้แน่ ๆ”
รณกรพูดขึ้นพลางส่ายหัวเบา ๆ อย่างนึกขำ เพราะคนอย่างโรสรินทร์คงจะจินตนาการเรื่องดี ๆ อย่างคนอื่นเขาไม่ได้แน่นอน นอกจากจินตนาการในด้านลบ
“พี่รามรู้รึไงว่าโรสจินตนาการว่ายังไง”
“รู้สิ นี่ใคร ฉันพี่ชายแกนะ อย่างแกน่ะคิดดีไม่ได้หรอก!!”
“พี่ราม!! ชิส์ รู้ลึกรู้จริงขนาดนี้ทำไมไม่ไปเปิดสำนักดูดวงทำนายหวยไปเลยล่ะ ท่าจะรุ่ง!!”
พูดเพียงแค่นั้นเธอก็สะบัดหน้าหนีหันออกไปนอกหน้าต่างอย่างนึกหมั่นไส้ ที่พี่ชายเพียงคนเดียวของเธอกลับรู้ทันความคิด รณกรเองก็ได้แต่ส่ายหัวเบา ๆ ให้กับความดื้อรั้นของน้องสาวตัวแสบ