หนุ่มภูธร
ตอนที่ 4 หนุ่มภูธร
ณ ท่าอากาศยานร้อยเอ็ด….
สายลมเย็น ๆ พัดโชยมาปะทะใบหน้าหวานหลังจากเธอก้าวขาลงจากเครื่อง ท้องฟ้าวันนี้ช่างปลอดโปร่งไร้เมฆฝนบ่งบอกถึงวันที่สดใส ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักของสนามบิน ก่อนร่างบางระหงจะก้าวขาเรียวสวยตรงมาที่อาคารผู้โดยสารขาเข้า ดวงตากลมโตสอดส่ายสายตามองหาบุคคลที่มารอรับเธอที่สนามบินประกอบกับหัวใจที่เต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ พลางคิดและจินตนาการไปต่าง ๆ นา ๆ ร้อยแปดพันอย่างถึงหน้าตาของคู่หมั้นที่พ่อแม่ตั้งใจจะจับเธอคลุมถุงชน
(หนุ่มภูธรแบบนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่จะหน้าตาดี ผมเผ้าก็คงจะรกรุงรังหรือไม่ก็หยิกเหมือนฝอยขัดหม้อ ผิวพรรณก็คงจะดำปี๋เหมือนคนเผาถ่าน เผลอ ๆ คนบ้านนอกคอกนาแบบนี้นมรัฐบาลก็คงจะเข้าไม่ถึงแน่ ๆ ตอนเด็ก ๆ ได้ดื่มนมบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ คงจะเป็นได้แค่ไอ้เตี้ยหมาตื่น แถมบ้านนอกแดดก็แรงอย่างกับเดินอยู่ในนรกขนาดนี้ กลิ่นตงกลิ่นตัวคงไม่ต้องพูดถึง รักแร้คงเหม็นเปรี้ยวน่าดู อี๋…แค่นึกก็ขมคอขึ้นมาแล้ว แหวะ !!)
โรสรินทร์เดินไปพลางจินตนาการไปถึงรูปลักษณ์ของคู่หมั้นหนุ่มภูธร ก่อนจะสอดส่ายสายตามองหาบุคคลที่เธอนึกถึง
วายุภัคยืนรอคอยใครบางคนที่เขาคิดถึงตลอดเวลาสิบกว่าปีมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ดวงตาคมกริบของเขาจับจ้องไปที่ร่างเพรียวระหงของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเดินออกมา เธอคือผู้หญิงที่เขาจำได้แม่นไม่เคยลืมตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ ถึงแม้ตอนนี้เธอจะโตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว แต่ความสวยน่ารักของเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด เธอสวมชุดเดรสรัดรูปสีครีมสั้นครึ่งขา ผมยาวสลวยสีน้ำตาลดัดลอนเป็นวอลลุ่มยาวประบ่าพลิ้วไสวไปด้านหลัง และโบกสะบัดไปมาตามจังหวะการก้าวย่างของเรียวขาสวยที่ก้าวเดินฉับ ๆ ไปข้างหน้า ด้วยท่วงท่าที่มาดมั่นสง่างามราวกับนางพญาหงส์ เธอดูสวยโดดเด่นจนผู้คนที่เดินผ่านไปมาต้องพากันมองจนเหลียวหลังคอแทบเคล็ด แต่ดูท่าแล้วเธอคงจะจำเขาไม่ได้ เพราะใบหน้าหวานมัวแต่ชะโงกหน้ามองหาใครสักคน และเดินผ่านเขาไปโดยไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ
โรสรินทร์ล้วงหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายข้างใบเล็ก ๆ เพื่อจะโทรหาบุคคลที่จะมารับเธอตามเบอร์โทรศัพท์ที่ผู้เป็นแม่ได้ให้ไว้ก่อนหน้านี้ แต่ไม่ทันที่เธอจะได้กดเบอร์ติดต่อคนปลาย เสียงทุ้มเข้มของใครบางคนได้เอ่ยเรียกชื่อเธอขึ้นมาซะก่อน
“โรสรินทร์ !!”
น้ำเสียงเข้มเอ่ยชื่อเธอขึ้น ก่อนเจ้าของร่างบางจะหยุดชะงักไปทันที โรสรินทร์ค่อย ๆ เอี้ยวตัวหันกลับมามองทางเจ้าของต้นเสียงที่เรียกชื่อเธอ ก่อนจะเจอเข้ากับชายหนุ่มหล่อผู้ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ความหล่อเหลาคมเข้มแทบจะดึงดูดทุกสายตา ผิวสีแทนของเขาบ่งบอกถึงสุขภาพที่แข็งแรง ดวงตาสีดำสนิทเปล่งประกายฉายแววความเฉลียวฉลาด คิ้วเข้มได้รูปรับกับจมูกโด่งคม ริมผีปากบางเฉียบสีชมพูระเรื่อ ดึงดูดให้ผู้คนอยากสัมผัสรวมทั้งเธอด้วย
‘อร๊ายยยยย!! หล่อมากแม่ หล่อทะลุทะลวง หล่อวัวตายควายล้มเป็นฝูง ๆ หล่ออะไรเบอร์นี้ นี่มันเทพบุตรชัด ๆ’
เขาช่างสูงโปร่ง ไหล่กว้าง สะโพกแคบ กล้ามเนื้อแน่นเป็นมัด ๆ สื่อให้เห็นถึงความแข็งแรงและความคล่องแคล่ว หรือว่า…เนื้อคู่ของเธอจะลงมาจุติในเมืองมนุษย์แล้วจริง ๆ โรสรินทร์ได้แต่นึกในใจเหมือนคนใจลอย และยืนนิ่งอยู่กับที่มองอีกคนตาแทบไม่กระพริบ
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก !!!
เสียงหัวใจของเธอเต้นแทบจะไม่เป็นจังหวะ เมื่อเขากำลังก้าวขาเดินเข้ามาตรงที่เธอยืนอยู่ ยามเขาเดินย่างก้าวของเขาช่างมั่นคง เปี่ยมไปด้วยพลังดึงดูดให้ผู้คนอยากติดตาม
เขาสวมเสื้อยืดสีขาวแขนสั้น กางเกงยีนส์สีดำรองเท้าผ้าใบสีขาว เรียบง่ายแต่ดูดี เส้นผมสีดำสนิทถูกจัดทรงอย่างสบาย ๆ เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาคมคายแทบจะที่ไร้ที่ติ ดวงตาสีดำขลับแต่แฝงด้วยความลึกลับ รอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปากบ่งบอกถึงความเย็นชาและยากจะเข้าถึง ริมฝีปากบางเฉียบเม้มเข้าหากัน แสดงถึงความเด็ดขาดและจริงจัง รอยยิ้มบาง ๆ ของเขาที่ส่งมาให้เธอช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจ แต่แฝงไว้ด้วยพลังอำนาจยากจะคาดเดา เป็นเสมือนปริศนาที่ท้าทายให้ผู้คนอยากค้นหา
‘ตายแล้ววววว เขาเข้ามาใกล้แล้ว อร๊ายยยยย!! อกอีแป้นจะแตก โอ้ะ ไม่ใช่สิ! อกอีโรสจะแตก หนุ่มภูธรมีใครให้หล่อกว่านี้อีกไหม อ๊ายยยย!! ใจเย็นไว้อีโรสใจเย็นไว้แกจะแสดงท่าทางอยากเขมือบเขาเหมือนงูเหลือมอยากเขมือบหมาแบบนี้ไม่ได้ ว่าแต่...เมื่อกี้เขาเอ่ยชื่อของเธอนี่นา เขาเป็นใครกัน ทำไมถึงรู้จักชื่อเธอล่ะ!’
“พี่เรียก ทำไมไม่ตอบ ?” วายุภัคถามขึ้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง พลางจ้องหน้าอีกคนที่ยังคงยืนนิ่งอึ้งไม่ไหวติงอยู่กับที่แบบนั้นกับราวกับคนเป็นอัมพาต
“……”
“หูตึง หูหนวกไปแล้วติ หรือเป็นเพราะว่านั่งเครื่องบินก็เลยหูอื้อ?”
(หูตึง หูหนวกไปแล้วเหรอ หรือเป็นเพราะว่านั่งเครื่องบินก็เลยหูอื้อ?)
“……”
“ตกลงเธอได้ยินที่พี่ถามไหม?” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ดวงตาคมจ้องใบหน้าหวานไม่วางตา
“พะ พี่…พี่อะไรคะ พี่เรียกใคร ใครเรียกพี่ อุ๊ย!! ไม่ใช่สิ ขะ คุณ เรียกฉันเหรอคะ?” โรสรินทร์เอ่ยถามอย่างตะกุกตะกัก หัวใจของเธอเต้นรัวแรงราวกับมันจะทะลุออกมานอกอกเสียให้ได้ นี่เธอคงจะไม่ได้บ้าผู้ชายหล่อหน้าตาดีหรอกนะ ไม่หรอกน่า…อย่างเธอไม่เคยบ้าผู้ชาย เพราะเธอสวยเลือกได้
‘แกควรบ้าแค่พี่แจ็คสันหวังกับชาอึนอูก็พอแล้วมั้งยัยโรส แกจะมาบ้าผู้ชายแปลกหน้าแบบนี้ไม่ได้’
โรสรินทร์ได้แต่พูดกับตัวเองในใจ
“พี่ก็เรียกเธอนั่นแหละ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ขะ คะ..?” โรสรินทร์ยืนนิ่ง เขาเองก็นิ่ง ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันอยู่แบบนั้น จนกระทั่งวายุภัคเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาอีกครั้งเป็นภาษาอีสาน ถ้าถามว่าเธอฟังออกไหม ก็ต้องฟังออกแน่นอนเพราะแม่ของโรสรินทร์เองก็เป็นคนอีสาน มีหรือที่คนอย่างเธอจะฟังไม่ออก
“สิยืนแนมอีกโดนบ่ ไปกันได้แล้ว อ้ายมีงานต้องเฮ็ดต่ออีกหลายอย่าง”
(จะยืนมองอีกนานไหม ไปกันได้แล้ว พี่มีงานต้องทำต่ออีกเยอะ)
พูดจบมือหนาก็เอื้อมไปจับกระเป๋าเดินทางใบโตในมือของเธอ แต่เธอเองก็ยังไม่ยอมปล่อย แม้เขาจะกระตุกกระเป๋าออกจากมือของเธอสองสามครั้ง จนใบหน้าหล่อคมคายต้องหันไปมองหน้าเธอพร้อมกับขมวดคิ้วยุ่ง
“มีอะไรอีก ?” เขาถามขึ้นพลางจ้องหน้าอีกคนอย่างสงสัย
“ขะ คุณ เป็นใครคะ เรารู้จักกันมาก่อนด้วยเหรอ หรือว่าคุณเป็นคนรับใช้บ้านป้าดา ป้าดาส่งให้คุณมารับฉันใช่ไหมคะ ?”
“หึ เธอนี่ยังติ๊งต๊องไม่เปลี่ยนเลยนะ เห็นคู่หมั้นตัวเองเป็นคนรับใช้ ช่างดีจริง!” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นมา พลางแค่นหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
“ห๊ะ!! อย่าบอกนะว่า…พะ พี่ไวน์?” โรสรินทร์พูดชื่อเขาขึ้นมาด้วยความตกใจ ก่อนเขาจะยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วพาร่างสูงโปร่งกำยำของตัวเองเดินนำหน้าลากกระเป๋าเดินทางของเธอออกไปก่อน เมื่อเธอได้สติจึงรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเขาไปติด ๆ จะไม่ให้เธออึ้งได้ยังไงกัน ก่อนหน้านี้เธอยังจินตนาการถึงคู่หมั้นตัวเองว่าตัวดำผมหยิกเต่าเหม็นอยู่เลย ใครจะไปคิดล่ะว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้กลับตรงกันข้าม แค่เห็นความหล่อเธอก็แทบอยากจะแต่งงานกับเขาให้รู้แล้วรู้รอดซะวันนี้เลย
ปึ่ก!!!!
“โอ๊ยยย!!” เธอร้องขึ้นมาเสียงดังเมื่อจู่ ๆ เขาก็หยุดเดินกระทันหัน จนเธอต้องชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างของเขาอย่างจังแทบจะกระเด็น ในขณะที่เธอเองไม่ทันได้ตั้งตัวเพราะมัวแต่เดินใจลอยคิดถึงเรื่องของเขา
“ซุ่มซ่ามไม่เปลี่ยน” เขาต่อว่าเธออย่างไม่จริงจังนัก แต่เมื่อเห็นคนตัวเล็กเอามือลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ ก็อดนึกขำกับท่าทางตลก ๆ ของเธอไม่ได้ โตจนป่านนี้ยังทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโตอีก
“ก็ใครใช้ให้หยุดล่ะ เดินอยู่ดี ๆ มาหยุดกะทันหันแบบนี้ เป็นใครมันจะไม่ชน!!” เธอบ่นอุบอิบขึ้นมาพร้อมกับมุ่ยหน้าใส่
“ถึงรถแล้วพี่ก็ต้องหยุดสิ”
“ถึงรถแล้ว ?”
“อืม” เขาเอ่ยตอบเพียงสั้น ๆ พลางจ้องหน้าคนตัวเล็กที่หันซ้ายหันขวาชะโงกมองซ้ายทีมองขวาที ท่าทางแปลก ๆ ของเธอทำให้เขาเอ่ยถามออกไป
“เธอมองหาอะไร ?”
“ไหนรถล่ะคะ?” ดวงตากลมโตจ้องหน้าเขานิ่งรอคำตอบ
“ก็นี่ไงครับ รถอีแต๋น” วายุภัคเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ประกอบกับใบหน้าอันเรียบเฉย แต่อีกคนกลับหน้าเหวออ้าปากกรามแทบค้าง เมื่อนิ้วมือเรียวของเขาชี้ไปที่รถอีแต๋นที่จอดไว้อยู่ด้านหน้า
“ระ รถ อีแต๋น ??”
“อืม ใช่แล้ว รถอีแต๋น พี่ขับรถอีแต๋นมารับเธอ และเธอก็ต้องนั่งรถอีแต๋นคันนี้ไปกับพี่”
“ไม่เด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดยังไงโรสก็ไม่ไป โรสไม่มีวันนั่งรถอีแต๋นบ้าบอคอแตกอะไรนี่แน่ ๆ!!” โรสรินทร์รีบพูดแหวขึ้นมาทันที เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ที่เอารถบ้า ๆ นี่มารับสาวสวยไฮโซอย่างเธอ รู้ไปถึงไหนคงอายไปถึงนั่น เกิดมีคนแอบถ่ายรูปถ่ายคลิปไปลงโซเชียลเธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“จะไม่ขึ้นรถอีแต๋นไปกับพี่ก็ได้นะ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า จากที่นี่กว่าจะไปถึงทุ่งกุลาร้องไห้บ้านพี่ ระยะทางเจ็ดสิบกว่าโลและมันก็ไม่ใช่ใกล้ ๆ ถ้าเธอไม่ไปกับพี่เธอก็คงต้องเดินไปเอง ไม่ก็ไปนั่งรถโดยสาร หรือจะเรียกแท็กซี่ไปก็ได้นะ เพราะในร้อยเอ็ดก็มีแท็กซี่เหมือนกัน แต่พี่ไม่รับประกันความปลอดภัยนะ ถ้าเกิดเธอถูกจี้ปล้นกลางทาง และที่ร้ายไปกว่านั้นก็อาจจะถูกลากไปข่มขืนฆ่าปาดคอ อันนี้พี่ก็คงช่วยไม่ได้” เขาพูดเพียงแค่นั้นก็เดินอ้อมขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับทันที ปล่อยให้เธอยืนหน้าหงิกหน้างออยู่แบบนั้น ก่อนจะสตาร์ทรถอีแต๋นคู่ใจพร้อม ๆ กับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังคำรามขึ้นจนเธอถึงกับสะดุ้งโหยง