บทที่ 3-1 คุณชาย?
“คุณหนู ผู้ชายคนนั้นหายไปแล้วเจ้าค่ะ ดีจริงๆ เรารีบเดินกันเถอะเจ้าค่ะ” อาชิงหันหน้ามองรอบๆ หันซ้ายหันขวาดูจนแน่ใจ “ตัวเหม็นหึ่งขนาดนั้น คุณหนูยังใจดีให้เดินตาม มีหวังชื่อเสียงคุณหนูเสียหายหมด คนเขาจะเอาไปพูดว่าคุณหนูเจอคนเสเพลมาติดพัน”
“จะหลีกหนีคนพาล หากเอ่ยขอร้องด้วยวาจาย่อมได้ผลตรงกันข้าม” ฟางจื่อหยาแวะตรวจงานร้านค้าของตนเองทุกร้านอย่างละเอียด รวมทั้งแวะทวงถามหนี้คงค้างจากร้านคู่ค้าด้วย ยิ่งเข้าช่วงสายผู้คนก็ยิ่งหนาตา นางมิได้ใส่ใจเรื่องของคุณชายผู้นั้นอีก แต่นึกไม่ถึงว่าจะเจอคนผู้นี้ยืนดักอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาดุดัน ฟางจื่อหยาลอบหน่ายใจ นี่แหละหนาศัตรูพบกันในทางคับแคบ
“ข้ารู้ความจริงทั้งหมดแล้ว ปกปิดมาได้จนถึงตอนนี้นับว่าไม่เลว”
ความลับเรื่องเสี่ยวหลงหนี่ว์ถูกเปิดเผยแล้วงั้นหรือ...
ไม่น่าจะใช่...
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้...
ฟางจื่อหยาใช้ความคิดฉับไว แม้ว่ายามเผชิญหน้ากับเขาแล้วรู้สึกเหมือนกำลังประจันหน้ากับภูผาศิลาก็ไม่ปาน แต่ฟางจื่อหยาใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว รอดูว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ร่างสูงสง่าลูบสันกรามของตนไปมาพลางจ้องเหยื่อตัวน้อยไม่วางตา นางยังคงนิ่งเฉย กำลังพยายามบังคับลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ
“ข้าไม่ทราบว่าคุณชายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
“ยังจะทำเป็นไม่รู้เรื่องอีกงั้นหรือ เจ้าช่างไม่กลัวตายนัก”
สีหน้าของชายหนุ่มสงบนิ่งดั่งผืนน้ำราบเรียบ ดูก็รู้ว่าเขากำลังโกรธจัด สายตาคมกริบของเขาสังเกตเห็นว่านางแอบสูดลมหายใจเข้าออกให้เต็มปอดเพื่อลดความตื่นเต้น ทรวงอกนุ่มละมุนขยับเคลื่อนคล้อยไปตามจังหวะ สีหน้าและแววตาของนางก็เปลี่ยนไปเป็นสงบนิ่งจนเกือบจะเรียกได้ว่าสง่างาม เชื่อได้เลยว่านางเป็นสตรีที่กล้าหาญและใจเด็ดคนหนึ่ง
“คุณชายช่วยไขข้อสงสัยให้ข้าเถิดเจ้าค่ะ”
“แน่ใจหรือว่าจะให้ข้าพูดตรงนี้”
“คุณหนู...” สาวใช้ของนางเริ่มใจคอไม่ดี จับชายเสื้อของนายสาวไว้ “เราวิ่งหนีและร้องขอความช่วยเหลือเถอะเจ้าค่ะ น่ากลัวเหลือเกิน”
“ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอกอาชิง”
“ถูกต้อง หากไม่ทำผิดย่อมไม่กลัวผี” ร่างสูงสง่าก้าวเข้ามาประชิด ดวงตาดำขลับทรงพลังคู่นั้นยังไม่ละสายตาจากเลยแม้แต่น้อย ทรงรั้งเอวบอบบางกึ่งบังคับให้หลบเข้าไปในตรอกเล็กๆ ที่ไม่มีผู้คนด้วยกัน อาชิงตื่นตระหนก พยายามจะหาทางช่วยนายสาว แต่พอสบดวงเนตรกร้าวกระด้างไปครั้งเดียว อาชิงก็ทำอะไรไม่ถูก
“คะ...คุณชาย ท่านอย่าทำอะไรคุณหนูนะ”
“คุณหนูของเจ้าต่างหาก อย่าทำอะไรข้า” ทรงเท้าแขนกักขังนางไว้ ตาจ้องตา เขายิ้ม แต่เป็นยิ้มที่มีแต่แววเย็นชาเยาะหยัน “จะสารภาพเองหรือให้ข้าบังคับ”
“คุณชายโปรดรักษามารยาทด้วย”
“ไม่ยอมรับสินะ เจ้าแสร้งปลอมตัวด้วยจุดประสงค์ใดกันแน่”
“ข้ายังไม่เข้าใจว่าท่านกล่าวหาข้าเรื่องใด”
“ยังจะเสแสร้งไม่เลิก เจ้ามันมิใช่ชายชาตรี” ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความงุนงงและเอาแต่จ้องมองเขา ใบหน้าคมเข้ม น่ากลัวราวกับฉาบแสงเพลิงจึงแดงก่ำขึ้นก่อนจะพูดช้าๆ ชัดๆ
“แท้จริงแล้วเจ้าเป็นบุรุษ!”
อาชิงถลึงตา อ้าปากค้าง จ้าวเทียนจื้อเองก็ไม่แน่ใจว่าคนดูแลร้านเถาซุ่นพูดจริงหรือไม่ แต่จะว่าไปก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ใบหน้าขาวๆ นิ่งไร้อารมณ์ขนาดนั้น ไม่มีวี่แววสะเทิ้นอายหรือออดอ้อนเหมือนสตรีคนอื่นๆ เลย ยามเดินเหินก็ไม่อรชรอ้อนแอ้นราวกับกิ่งหลิวต้องลมเยี่ยงสตรี แต่เดินหลังตรงแน่วดุจบัณฑิต ท่วงท่าคล่องแคล่วดุจเรือลอยบนนาวา ชะรอยนางจะไม่ใช่เถาหยาเหนียง แต่เป็นเถาหยาหลางมากกว่า ยิ่งเห็นนางเบิกตากว้างอย่างตกใจ ทำหน้าแบบว่าตายล่ะ เขารู้ความจริงแล้วหรือนี่! ร่างกำยำก็ยิ่งมั่นใจว่าไม่ผิดแน่!
ฟางจื่อหยากะพริบตาสองสามครั้งก่อนจะถอนหายใจ
“ท่านยังไม่สร่างเมา”
“ข้ามิได้เมา! ไม่จำนนต่อหลักฐานก็ยังปากแข็ง นี่ไงล่ะหลักฐาน!”
ว่าแล้วก็ตะปบหน้าอกของนางหมับ
เวรเอ๊ย! นุ่มจริง... ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ไม่เคยสัมผัสเนื้อตัวของอิสตรีมาก่อน ดังนั้นจึงยิ่งจับก็ยิ่งติดใจผิวนุ่มเนียน ทรงเรียนรู้ความแตกต่างของชายและหญิงอย่างตื่นเต้น มือร้อนเลื่อนมาตามลำคอและย้อนกลับมาสัมผัสทรวงอกนุ่มๆ อย่างอดใจไม่อยู่ หนำซ้ำยังประคองในอุ้งมือ ร่างกายของนางอุ่นอะไรอย่างนี้ พระองค์ถึงกับปวดแสบปวดร้อนตรงกล้ามหน้าท้อง ไล่เรื่อยไปตามเรือนกายจนถึงต้นขากำยำ ความเป็นชายชาตรีกำลังแข็งเครียดขึ้นโดยไม่อาจควบคุม มันตึงแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนตัวเขาเองร้องอุทาน
“นุ่มมาก”
แววตาของเขาเป็นประกายเต็มแน่นด้วยพลังงานมีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แก้มสากระคายของเขาแดงเถือกไปหมด ไอ้ที่เบื่อก็หายเบื่อ ไอ้ที่เซ็งก็หายเซ็งเป็นปลิดทิ้ง
“คุณชายจับพอแล้วกระมัง”
“ขออีกนิด”
ฟางจื่อหยาทุบศีรษะเขาไปหนึ่งครั้ง แต่มือร้อนผ่าวก็ยังไม่ละจากตัวนาง เรียกว่าไม่ยอมปล่อย อาชิงเพิ่งจะได้สติจึงร้องโวยวายแทนนายสาว แต่ก็เหมือนเป็นแค่องค์ประกอบอันไกลโพ้นจากการรับรู้ของทั้งคู่ ฟางจื่อหยาเพิ่งจะเคยถูกลวนลามต่ำช้าเช่นนี้ ถึงจะเฉลียวฉลาดเย็นชาแค่ไหนก็ตกอยู่ในภาวะแข็งทื่อไปแล้ว
“...”
“...”
ต่างฝ่ายต่างเงียบอยู่นานจนทั่วทั้งบริเวณเงียบสนิท ทรงเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าต้องพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ยังคงเอาแต่จับโนมเนื้อนุ่มนิ่ม สายตาจ้องมองลาดไหล่ และลำคอเรียวระหง รูปร่างของนางกะทัดรัดดีเหลือเกิน ช่วงขาสวยมาก เรียวระหงแถมยังเนียนสนิทน่าแนบ สะโพกกลมกลึงดังสลักเสลา มีก้นกอยพอเหมาะให้เกาะกุม และที่สะท้านใจชายฉกรรจ์นักก็เห็นจะเป็นริมฝีปากอิ่มละมุนของนาง ทรงมองทุกซอกทุกมุมด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น หน้าอกหน้าใจของนางพอดีเนื้อพอดีตัว พอเมื่อครู่ได้ลองจับก็แทบร้องออกมาว่าแม่เจ้าโว้ย!
“ขออภัย”
เสด็จพี่ไท่จื่อก็เคยบอกอยู่เหมือนกันว่าเขามันบ้า สิบปีมานี้เขาต่อสู้ในสนามรบไม่ได้หยุดหย่อน สองสิ่งที่ช่วยชีวิตเขาไว้คืออาวุธในมือและสติ แต่บัดนี้สติของเขากำลังสะเทือน จู่ๆ ร่างกำยำสูงใหญ่กระชากเสื้อของตนออก เผยรูปร่างหนั่นแน่น บ่ากว้างกำยำ ไหล่ผึ่งผายบึกบึนไล่จนถึงแผงอก ลอนหน้าท้องสมบูรณ์แบบ เขาคุกเข่าลง ผายมือทั้งสองข้างออกกว้างคล้ายยินดีให้นางแล่เนื้อเถือหนังตามสบาย
“ข้าน้อยทำผิดมหันต์ คุณหนูโปรดลงโทษ!”
“อ...ไอ้ ไอ้...” อาชิงพูดตะกุกตะกัก สมองคิดคำด่าไม่ทัน “เจ้าแตะต้องตัวคุณหนู คิดว่าแค่ขอโทษจะจบงั้นหรือ!”
“ข้าน้อยยินดีรับผิดชอบ”
“ข้ายกโทษให้” ฟางจื่อหยาไม่ต้องการพัวพันกับคนผู้นี้ไปมากกว่านี้จึงตัดบทอย่างเย็นชา ทรวงอกนุ่มตึงที่เขาเพิ่งจับคล้อยไหวตามจังหวะลมหายใจ “ไปให้พ้น แล้วอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก”
“ขออภัย ข้าน้อยทำไม่ได้” มือแกร่งคว้าข้อเท้าของนาง ยกฝ่าเท้านางให้มาประทับที่กลางอกบึกบึน “เหยียบข้าน้อยเพื่อระบายโทสะของท่าน และอนุญาตให้ข้าน้อยพบหน้าท่านต่อไปเถิด”