หยาเอ๋อร์ สามีเจ้ามารอซื้อของ
บทย่อ
เสี่ยวหลงหนี่ว์เป็นชื่อที่ราชสำนักทุกแว่นแคว้นต่างกลัวเกรง นางปรากฏตัวขึ้นที่แคว้นใด แคว้นนั้นจะย่อมสลาย ผู้คนเชื่อว่านางเป็นดั่งคำเตือนจากสวรรค์ ธิดามังกรแห่งหายนะ ตัวตนที่แท้จริงของนางคือฟางจื่อหยา บุตรสาวนักโทษกบฏที่ถูกใส่ร้าย ความฉลาดเฉลียวเกินตัวเป็นภัย นางจึงถูกสั่งเนรเทศ เบื้องบนต้องการโยนความผิดจึงสร้างเรื่องเสี่ยวหลงหนี่ว์ออกมาให้ผู้คนหวาดกลัว และสุดท้ายชื่อของนางก็จางหายไป ทิ้งไว้เพียงแต่เรื่องเล่า เมื่อแคว้นฉู่ล่มสลาย นางเปลี่ยนชื่อแซ่ เดินทางค้าขายไปทั่ว เปิดกิจการค้าขายที่แคว้นจ้าว ใช้เวลาเพียงสองปีก็ก้าวขึ้นมาเป็นคหบดีชั้นแนวหน้า ทำให้ราชสำนักเกิดความสนใจและลอบสืบประวัติอย่างลับๆ ความฉลาดดุจเข็มแหลมของนางสะกิดความสนใจจ้าวเทียนจื้อ องค์ชายรองผู้บัญชาการทหารม้าเกราะดำ เขาเก็บงำฐานะ แสดงตัวเป็นคุณชายเจ้าสำราญนิสัยเสีย ต่างฝ่ายต่างหยั่งเชิงกันและกัน เขาสงสัยว่านางจะเป็นสายลับที่แทรกซึมเข้ามาในคราบพ่อค้า ส่วนนางระแวงว่าความลับในอดีตจะถูกค้นพบแล้วต้องอพยพย้ายถิ่นอีก จ้าวเทียนจื้อวนเวียนมาวอแวนางในฐานะลูกค้า ยิ่งได้ใกล้ชิดกัน พระองค์ก็ยิ่งรู้สึกถูกใจ ผิดกับฟางจื่อหยาที่รำคาญเขาเต็มทน ----------------------- “ตามตำราโหงวเฮ้ง หากร่องอายุ [1] ของใครยาวถึงหนึ่งนิ้ว จะอายุยืนร้อยปี หม่อมฉันเล็งดูแล้ว...” ฟางจื่อหยาไม่พูดต่อ แต่จงใจยียวนด้วยการเดาะลิ้นพลางส่ายหน้า เขาไม่เพียงไม่โกรธ ยังคว้าข้อมือนางไว้แล้วดึงไปจับที่หว่างขากำยำ “ท่าน?” “ข้าเองก็เคยได้ยินตำราโหงวเฮ้ง หากอาวุธประจำกายของผู้ใดยาวหนึ่งนิ้วก็จะมีบุตรหนึ่งคน ของข้ายาวเก้านิ้ว...” เขาไม่พูดต่อ แค่เดาะลิ้นพลางมองนางด้วยสายตาน่าขนลุก “เจ้าพร้อมหรือไม่” [1] ร่องใต้จมูกถึงริมฝีปาก
บทนำ
เมืองหลวงแคว้นฉู่
หลังจากจบสิ้นสงครามกับแคว้นเอี้ยนได้ไม่นาน ราชสำนักก็สับสนวุ่นวายจากศึกแย่งชิงบัลลังก์ ลมหนาวจากทางเหนือพัดโหมมา ถนนหนทางเต็มไปด้วยหิมะกองสูง สงครามยาวนานที่ผ่านมาทำให้สภาพบ้านเมืองยังไม่ฟื้นฟูกลับคืนมาเต็มที่ ผู้อพยพหนีภัยยังตกค้างดาษดื่น ช่วงฤดูหนาวอันแสนโหดร้ายจึงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของผู้คนในเมืองหลวง
“อีกไม่นานหิมะคงจะตกแน่”
“นั่นสิ พวกเราคงหนาวตายก่อนอดตาย” ชาวบ้านยากจนกำลังปรึกษากันเรื่องผักดองหนึ่งชิ้นจะแบ่งเลี้ยงคนในบ้านสิบสองชีวิตอย่างไรดี ผ่านไปอึดใจหิมะก็ตกลงมาอย่างที่คิด โปรยปรายเป็นเกล็ดเล็กๆ และค่อยๆ โหมแรงขึ้น ทำให้การค้าขายระหว่างหัวเมืองยิ่งใช้เวลานานขึ้น ภาวะฝืดเคืองและการเดินทางยากลำบากเช่นนี้ เงินสี่ตำลึงแลกได้เพียงผ้าเนื้อหยาบๆ สองผืนกับน้ำมันเติมตะเกียงจำนวนเล็กน้อย บรรยากาศในเมืองหลวงเงียบเหงาซบเซา มองไปทางใดก็พบเพียงคนไร้บ้านที่หมดหนทาง ต้องอาศัยหลบหิมะใต้ชายคาร้านค้า ไม่ก็จับกลุ่มกันแถวกำแพงเมืองเพื่อขอผิงไฟจากกระถางเตาของทหาร แต่ละวันมีขอทานผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ความอดอยากหิวโหยกลายเป็นภาพชินตาไปแล้วสำหรับที่นี่
ยามเที่ยงตรง ดวงตะวันซ่อนตัวอยู่หลังเมฆหนาทึบ หิมะกำลังตกโปรยปราย ม้าในขบวนต่างพ่นลมหายใจเป็นไอขาว ชักลากรถที่ใช้คุมขังนักโทษไปตามถนน และมีนักโทษหลายร้อยชีวิตถูกใส่ขื่อคา เดินลากเท้ากันเป็นขบวน ดูเหมือนสายธารมนุษย์อ่อนล้าไร้วิญญาณ
“มุ่งหน้าเมืองชายแดน!!”
ชาวบ้านร้านตลาดต่างหยุดดูขบวนนักโทษที่เพิ่งออกเดินจากคุกหลวง บนรถคุมขังนั้นมีเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ ผอมแห้งเหลือแต่โครงกระดูกเพียงผู้เดียว นางสวมเสื้อผ้าบางๆ ซึ่งเป็นผ้าฝ้ายเนื้อหยาบที่แม้แต่ขอทานก็ยังไม่ชายตาแล ริมฝีปากแห้งแตกเป็นขุย ข้อมือข้อเท้าล้วนถูกล่ามแน่นหนา ผิวพรรณของนางขาวบริสุทธิ์ผุดผ่องและบอบบาง ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่ข้อเท้าจะเห่อบวมและกลายเป็นสีม่วงช้ำ แต่กระนั้นแววตาของนางก็ยังคงเป็นประกายสงบนิ่ง
“เหตุใดขบวนนักโทษเนรเทศจึงมีเด็กตัวเล็กๆ ด้วยเล่า”
“เจ้าอย่าพูดไป นั่นเป็นพวกตระกูลฟาง ต้องโทษประหารเก้าชั่วโคตร แม้แต่สุนัขก็ไม่รอด” ชาวบ้านและนักเดินทางต่างมองขบวนนักโทษด้วยความสังเวชใจ “ตระกูลฟางถือเป็นตระกูลทรงอำนาจไม่แพ้สกุลเกา แย่งชิงแข่งขันกันระหว่างสี่สกุลใหญ่ แต่สุดท้ายแล้วเมื่อพระจันทร์ขึ้นสูงสุดก็ต้องคล้อยลงต่ำ มันคือสัจธรรม
“ในวังหลวงวุ่นวาย เพิ่งจะสงบลงได้เมื่อพระอนุชาทรงยกกองทัพเข้าปราบขุนนางกบฏ พวกตัวการใหญ่ถูกกุดหัวจนเกลี้ยง แต่น่าเสียดายที่ฝ่าบาททรงถูกปลงพระชนม์ไปเสียแล้ว พระอนุชาจึงจำต้องขึ้นเป็นฉู่อ๋องในทันทีเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ส่วนตระกูลฟางถูกเชือดให้สกุลใหญ่ทั้งหลายเกรงกลัว”
ขุนนางสกุลฟางเป็นขุนนางกังฉิน ครอบงำบัลลังก์มานานหลายปี ผูกขาดการค้าเกลือ และกอบโกยผลประโยชน์มาไม่น้อย ชาวบ้านต่างรู้กันทั่ว ก้อนหินและเศษผักจึงเริ่มลอยมาพร้อมคำด่าทอสาปแช่ง เหล่านักโทษเผ้าผมยุ่งเหยิงต่างก้มหน้านิ่ง เด็กตัวผอมแห้งร้องไห้จ้า
“พี่หยาเอ๋อร์ พี่หยาเอ๋อร์...”
“หลันหลัน อย่าร้องไห้ ข้ามีหมั่นโถวอยู่ครึ่งชิ้น ข้าให้เจ้านะ” เด็กหญิงบนรถคุมขังล้วงหยิบหมั่นโถวจากอกเสื้อ โซ่ตรวนหนักอึ้งขยับดังแกรกๆ หลันหลันตัวน้อยอายุไม่ถึงห้าขวบเอื้อมมือรับหมั่นโถวแห้งแข็งชิ้นนั้นไว้ แต่ก็ถูกก้อนหินกระแทกเข้าขมับจนเลือดไหล หมั่นโถวหลุดจากมือ ไปอยู่ใต้ฝ่าเท้าใครต่อใคร แต่ด้วยความหิวโหย หลันหลันก็รีบคว้ามันขึ้นมาเคี้ยวกินทั้งน้ำตา
“ดูสภาพแต่ละคนสิ ถูกทรมานจนบาดเจ็บไม่ก็พิการ นรกบนดินแท้ๆ”
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งล้างตระกูล พวกเขาถือเป็นนักโทษเด็ดขาดของฝ่าบาท กรมอาญา ศาลต้าหลี่และสำนักตรวจการไม่มีอำนาจก้าวก่าย ฟางเต๋อหมิงกับบุตรชายทั้งสามถูกสำเร็จโทษฐานกบฏไปนานแล้ว เหลือเพียงคนในตระกูลเกือบสองร้อยชีวิต ผู้ชายถูกประหารทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น เด็กและผู้หญิงถูกเนรเทศไปเป็นทาส”
“แล้วเด็กคนนั้นเล่า”
“นางคือบุตรีคนเล็กของฟางเต๋อหมิง ยามนี้ตระกูลฟางสูญสิ้นทายาท เหลือเพียงนางที่เป็นทายาทสายรอง จะว่าน่าสงสารก็น่าสงสารอยู่ เดิมทีฟางเต๋อหมิงไม่สนใจลูกที่เกิดจากนางรำคนนี้ แต่นางกลับเป็นคนที่ได้เรื่องได้ราวที่สุด ตอนนางอายุห้าขวบ แคว้นลั่วนำไก่ฟ้าแสนสวยมาถวาย แต่ไก่ฟ้าอยู่ท่ามกลางฝูงคนก็ตื่นตระหนก ไม่ยอมขันและไม่อวดลีลา บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ต่างจนปัญญา ฟางเต๋อหมิงกลับบ้านไปบ่นให้ลูกชายฟังก็ไม่มีใครคิดวิธีออก”
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ ก็ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากมายสนใจล้อมวงฟังตั้งแต่เมื่อไหร่ คนเล่าจึงกระแอมเสียงแล้วเล่าต่อไป
“ตอนนั้นนางเป็นเพียงเด็กรับใช้ในบ้าน ไม่มีใครสนใจด้วยซ้ำว่านางเป็นลูกสาวของฟางเต๋อหมิง นางทราบเรื่องทั้งหมดก็เขียนคำว่า ‘คันฉ่อง’ เอาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของบิดา ฟางเต๋อหมิงพิจารณาตัวอักษรก็พลันคิดวิธีออก นำคันฉ่องทองสัมฤทธิ์ใสกระจ่างเข้าวัง ไก่ฟ้าเห็นเงาตัวเองก็กางปีกเริงร่าอย่างสง่างาม ผลงานครั้งนี้ทำให้สกุลฟางได้รับรางวัลก้อนโต ฟางเต๋อหมิงต้องการรู้ว่าเป็นผู้ใดบอกใบ้ เมื่อสืบสาวเอาเรื่องถึงได้พบมณีเม็ดงาม”
ระหว่างขบวนนักโทษเดินเรียงรายออกจากเมือง มีบัณฑิตหลายคนจำนางได้ พากันเดินฝ่าหิมะติดตามรถของนาง หลายคนจึงได้เห็นป้ายที่เสียบหลังคอแจ้งชื่อนักโทษไว้ว่า ฟางจื่อหยา
“นางเป็นเพียงเด็ก อายุไม่น่าจะเกินสิบขวบ แล้วเหตุใดเหล่าบัณฑิตจึงร่ำไห้เดินตามรถของนางกันมากมายเช่นนั้น”
“เจ้าเคยได้ยินฉายาเสี่ยวหลงหนี่ว์[]หรือไม่ นั่นแหละนาง”
ผู้ใดมีความรู้ อ่านออกเขียนได้สักหน่อยล้วนต้องเคยได้ยินชื่อเสี่ยวหลงหนี่ว์สกุลฟาง นางเป็นผู้มีพรสวรรค์สูง อายุห้าขวบก็อ่านตำรามากมายทั้งคัมภีร์โบราณและหนังสือประวัติศาสตร์ ว่ากันว่าสกุลฟางมีชั้นหนังสือใหญ่ถึงสิบหลังที่บรรพบุรุษสะสมไว้ เด็กหญิงผู้นี้อ่านจนทะลุปรุโปร่งแตกฉาน เหล่าบัณฑิตทั้งหลายเคยได้พบปะพูดคุยต่างก็รู้สึกนับถือจากใจ ถึงกับมองข้ามชาติกำเนิดต่ำต้อยและความเป็นเด็กของนางไป
“นางเป็นเพียงแค่เด็กฉลาด แล้วฝ่าบาทจะกลัวอะไรนาง”
“ชู่ว... พูดอะไรไม่รู้จักระวังปาก ฝ่าบาททรงเป็นผู้มองการณ์ไกล เห็นว่านางเฉลียวฉลาดก็คิดจะเก็บไว้ใช้งาน ข้าได้ยินจากญาติที่เป็นขันทีในวังว่า หากนางยอมตกลงเป็นข้าบาทจาริกา ฝ่าบาทก็จะเมตตาละเว้นสกุลฟาง รู้หรือไม่ว่านางตอบว่าอย่างไร”
“อย่างไรรึ”
“ตัดไผ่อย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าเหลือลูก คิดการใหญ่ใจคอต้องโหดเหี้ยม”
ไม่รู้ทำไมทุกคนต่างพากันหนาวเยือก เด็กหญิงบนรถกรงขังนั่งตัวตรง ไม่แสดงอาการหนาวเหน็บ เดิมทีนางก็มิใช่เด็กหน้าตางามเลิศอะไร ออกจะทั่วๆ ไปด้วยซ้ำ เวลาคนชมก็จะชมอย่างเกรงใจว่าหน้าตาเกลี้ยงเกลาดี ยามนี้นางป่วยโรคลมหนาวและอดอาหารอยู่ในคุกหลวงมาครึ่งปี สภาพจึงยิ่งไม่น่ามอง แต่แววตาสงบนิ่งของนางทำให้ใครต่อใครขนลุกนัก
“นางเดินตามฟางเต๋อหมิงเข้าวังตั้งแต่เล็ก ลือกันว่านางคือเซียนเซิง[]ตัวจริงของสกุลฟาง ในเมื่อนางไม่ยินดีรับใช้แคว้นฉู่ ฝ่าบาทจึงเก็บนางไว้ไม่ได้ นางต้องเจอเคราะห์กรรมเช่นนี้ พวกบัณฑิตจึงพากันรู้สึกเสียดาย”
“อายุยังน้อยย่อมน่าเสียดาย”
“ราชสำนักจงใจออกคำสั่งเนรเทศในช่วงฤดูหนาว ก็แสดงว่านางไม่มีโอกาสรอดแล้ว นี่แหละที่โบราณว่าไว้ ช้างถูกฆ่าเพราะงา”
ความฉลาดเฉียวของนางเป็นเหตุให้ถูกเบื้องบนหวาดระแวงว่าจะกลายเป็นภัยในภายหลัง นางจึงต้องตาย หากนางฉลาดจริงอย่างที่เล่าลือ ไยจึงไม่โอนอ่อนรับใช้ฉู่อ๋อง อย่างน้อยในภายภาคหน้าสกุลฟางอาจพลิกฟื้นขึ้นมาในรุ่นของนาง ทุกคนต่างอยากรู้ แต่ไม่มีใครให้คำตอบได้
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ไม่มีใครรู้ว่านางคิดอะไร
ประตูเมืองเปิดออก ทหารรักษาประตูเมืองยืนเรียงรายบนเชิงเทิน หิมะเริ่มตกหนักขึ้น บรรดาเจ้าหน้าที่จากคุกหลวงเนื้อตัวเต็มไปด้วยหิมะ เดินย่ำหิมะเคียงข้างรถ ก้าวฝ่าหิมะหนาไปตามทาง สีหน้าทุกคนหมองคล้ำเพราะยังไม่ทันออกจากเมือง นักโทษในขบวนก็ล้มลงแล้วไม่ลุกขึ้นมาอีกถึงแปดคน กว่าจะเดินทางถึงชายแดน ชะรอยจะเหลือไม่ถึงสิบคน
เมื่อประตูเมืองปิดลง เกล็ดหิมะใต้ฝ่าเท้าปลิวว่อนขึ้นมาตามแรงลมพัด บางคนห่อไหล่หดคอ บางคนซุกมือเข้าไปในแขนเสื้อพลางกระทืบเท้า เมื่อนักโทษคนสุดท้ายเดินหายลับไปจากสายตาทหารบนเชิงเทิน ผ่านไปแค่ไม่นานรอยเท้าก็ถูกหิมะปกคลุมเลือนหาย
แคว้นฉู่เป็นแคว้นใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ก็จริง แต่รากฐานอ่อนแอจากการแย่งชิงอำนาจ เผชิญทั้งศึกนอกศึกใน เพียงไม่กี่เดือนหลังจากขึ้นครองบัลลังก์ ฉู่อ๋องคนใหม่ผู้ซึ่งยังมิได้เสพสุขให้เต็มที่ก็มีอันต้องหลบหนีออกจากเมืองหลวง จำต้องส่งพระธิดาไปเป็นเครื่องบรรณาการแด่แคว้นหลี่[] สุดท้ายแคว้นฉู่ก็ถูกแคว้นอื่นกลืนกินฉีกทึ้ง ก่อนที่ฉู่อ๋องจะปลงพระชนม์ที่ริมน้ำลั่ว ทรงพึมพำชื่อฟางจื่อหยาไม่ขาดปากด้วยความคั่งแค้นใจ
เรื่องราวนองเลือดของสกุลฟางจึงกลายเป็นเรื่องเล่าขาน เล่าลือชื่อเสี่ยวหลงหนี่ว์ว่าเป็นนางปีศาจล่มแคว้น
แคว้นใดพบเจอให้ฆ่าเสีย อย่าได้เก็บไว้...