บทที่ 2-3 ไม่เข็ด
“ทั้งสองคนเลย”
“สองคน?”
“กินข้าวบ้านคุณชายร่ำรวย นอนบ้านคุณชายหล่อเหลา”
“หึ! งั้นเจ้าอย่ามาบ้านข้าน้อย เพราะข้าน้อยทั้งหล่อทั้งรวย”
“เฮ้อ... สุรานารีล้วนทำร้ายคน”
นางถอนหายใจเบาๆ จากที่กำลังทำตัวเหลวไหล พระองค์สร่างเมาในทันใด รีบลุกขึ้นยืนตรงมิกล้าเสียมารยาทอีก เขาอุตส่าห์พยายามพูดขำขันสร้างรอยยิ้มเขิน แต่ดูเอาเถอะ นางแค่ยืนนิ่งๆ เขาก็กลายเป็นฝ่ายเก้อเสียเอง เสียงถอนหายใจของนางฟังแล้วละมุนพัวพันอยู่ในใจไม่ขาดสาย ไหนจะสายตาที่หลุบมองพระองค์ราวกับมดปลวก
จี๊ดเลย...
“ข้าน้อยพูดจาเลอะเทอะ คุณหนูโปรดอย่าถือสา”
“ข้ามีธุระต้องทำอีกมาก ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
“โปรดรอข้าน้อยสักครู่ วันนี้ข้าน้อยจะเป็นผู้ติดตามท่านหนึ่งวัน”
“ไม่จำเป็น ท่านเป็นใครกัน คุณหนูยังมิได้ออกเรือน กล้าดีอย่างไรถึงจะมาเดินตามคุณหนูของเรา” สาวใช้ข้างกายของนางชักสีหน้า ฟางจื่อหยาจึงยกมือขึ้นเชิงห้ามปราม
“อาชิง อย่าเสียมารยาท หากคุณชายอยากจะเดินเล่นในเมืองเพื่อให้สร่างเมา ขอเพียงไม่รบกวนข้า ข้าย่อมไม่ปฏิเสธน้ำใจของคุณชาย”
ความหมายของฟางจื่อหยาคือต่างคนต่างไปเถอะ แต่เขารวบเผ้าผมและจัดเสื้อผ้าแบบลวกๆ เตรียมพร้อมจะเดินไปกับนางอย่างจริงจัง ตอนนี้แดดเริ่มออกแล้ว หิมะตามถนนหนทางเริ่มละลายเป็นแอ่งน้ำย่อมๆ เป่ยอ๋องจึงกางแขนออกกว้างพลางเชื้อเชิญ
“ให้ข้าน้อยอุ้มคุณหนูข้ามแอ่งน้ำ”
“ข้ามีขา เดินไปเองได้เจ้าค่ะ”
ฟางจื่อหยากางร่มพลางออกเดินโดยไม่สนใจเขาอีก แผ่นหลังของนางตรงแน่วประหนึ่งมีตราคำสั่งฝังอยู่ แม้แต่ทหารฝีมือดีของเขายังไม่องอาจเท่ากับนาง ผู้บัญชาการทหารม้าเกราะดำจะทำอะไรได้นอกจากรีบไสศีรษะติดตามนางไปห่างๆ
..................
เขาไม่รบกวนการทำงานของนาง แค่ติดตามดูเฉยๆ
ฟางจื่อหยาค่อยๆ เดินไม่รีบไม่ร้อน มีสาวใช้หน้าตาดุๆ ชื่ออาชิงติดตามหนึ่งคน พวกนางไปที่ย่านการค้าแถววัดเฉินหวงเมี่ยว อาคารบ้านเรือนดูจะมีชีวิตชีวากว่าย่านอื่นๆ ที่นี่มีคนพลุ่กพล่าน ของที่ขายมีสารพัดอย่าง ฟางจื่อหยาเดินผ่านร้านขายกระดาษตัดเป็นรูปต่างๆ สวยงาม ร้านขนม ร้านขายเครื่องหอมในตลับสวยๆ ระหว่างทางร้านขายของลักษณะเดียวกับร้านเถากงก็กำลังป่าวร้องขายผ้าขนสัตว์ ร้านข้างเคียงก็แข่งกันขึ้นป้ายลดราคา คนรุมซื้อกันมากกมาย
“คุณหนูเถา เจ้าเองก็ค้าขาย ตอนนี้อากาศยังหนาว เสื้อขนสัตว์ขายดี ข้าน้อยไม่เห็นร้านเจ้าลดราคาเสื้อขนสัตว์”
“ข้าไม่เข้าร่วมสงครามราคาเจ้าค่ะ” ฟางจื่อหยาชี้ไปที่ป้ายร้านหนึ่ง เขียนว่าผ้าขนสัตว์คุณภาพดีที่สุด ราคาผืนละสิบห้าตำลึง
“เดิมทีพวกเขาขายที่ราคาสี่สิบตำลึงต่อผืน แต่มีอยู่ร้านหนึ่งลดราคาเหลือสามสิบห้าตำลึง ตั้งแต่นั้นมาก็เกิดสงครามตัดราคาไม่หยุด ล้วนแล้วแต่บ่อนทำลายทุกฝ่าย”
“สุดท้ายก็ขาดทุนกันหมด แต่เจ้าก็ใช่ว่าจะชนะ”
“ร้านเถากงขายเสื้อขนสัตว์ในราคายี่สิบตำลึง ขายได้ทุกวัน”
“เป็นไปได้อย่างไรในเมื่อร้านอื่นขายสิบห้าตำลึง”
“ตอนนี้สิบสองแล้ว” ฟางจื่อหยาชี้ไปที่ป้ายอีกร้าน “ข้าขายได้เพราะความซื่อสัตย์เจ้าค่ะ”
“ความซื่อสัตย์?”
“ต้นทุนผ้าขนสัตว์ผืนละสิบห้าตำลึง ข้ากำหนดราคาผ้าขนสัตว์ไว้ที่ราคายี่สิบตำลึงมาตั้งแต่แรกฤดู หลังจากคิดค่าขนส่ง ค่าเสียหายและค่าแรงงานแล้ว ข้ายังมีกำไร ลูกค้าจึงรู้ว่าร้านเถากงขายสินค้าในราคายุติธรรม ดังนั้นข้าจึงไม่เคยขาดแคลนลูกค้า”
“สุราดี กลิ่นหอมลอยไปไกล”
“คอสุราเช่นคุณชายเข้าใจเปรียบเทียบ” นางอมยิ้มน้อยๆ “อีกไม่นานข้าก็จะกลายเป็นผู้ผูกขาดผ้าขนสัตว์ในเมืองนี้เองเจ้าค่ะ”
และก็จริงดั่งนางว่าไว้ เถ้าแก่ร้านจำฟางจื่อหยาได้ก็รีบออกมาทักทายอย่างนอบน้อม ตอนนี้อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว หากยังขายขนสัตว์ไม่หมดก็เกรงว่าจะขึ้นราเสียหาย ดังนั้นเถ้าแก่จึงเจรจาขายผ้าขนสัตว์ทั้งหมดในราคาผืนละสิบตำลึง ในเวลานั้นเองแหละที่จ้าวเทียนจื้อเห็นเขี้ยวนางงอกจากปาก เพราะนางต่อราคาอย่างไร้ปรานี สุดท้ายได้มาในราคาผืนละเจ็ดตำลึง
“เจ้ารวบรวมผ้าขนสัตว์มากมายขนาดนั้น แล้วจะขายทันหรือ”
“แคว้นลู่ทางเหนือยังคงหนาวเย็น”
“อ้อ”
นางช่างมีหัวการค้า สินค้าแต่ละอย่างมีวงจรชีวิตของมัน คิดดูแล้วก็น่าสนุกดี “เมื่ออากาศอุ่นขึ้น ฝนก็จะมา เราก็ควรกักตุนร่มไว้เนิ่นๆ ย่อมต้องขายดีแน่ จังหวะเริ่มเข้าฤดูร้อน ผู้คนต้องเรียกร้องหาพัดคลายร้อน เราก็นำกำไรที่ขายร่มได้ไปซื้อพัดกลม พัดขนนก พัดผ้าไหม เตรียมขายได้กำไรงอกงาม”
“ยามไม่ดื่มสุรา คุณชายช่างเรียนรู้ได้เร็ว”
“มีครูดี ลูกศิษย์ย่อมเก่งกาจ ข้าน้อยจะถือเป็นคำชม”
ร้านถัดมาที่นางมุ่งไปคือร้านขายโลงศพและเครื่องพิธีต่างๆ ที่นี่ก็เป็นหนึ่งในร้านของสกุลเถา ฟางจื่อหยามาตรวจดูความเรียบร้อย เขียนใบสั่งสินค้าและตรวจบัญชี จ้าวเทียนจื้อเตร่อยู่หน้าร้าน เห็นป้ายเขียนหน้าร้าน ‘บริจาคโลงศพแก่ผู้ยากไร้’ คนดูแลร้านเห็นว่าชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาท่าทางสง่างามมาพร้อมกับคุณหนู เขาจึงเข้ามาคำนับ
“ข้าน้อยคือผู้ดูแลร้านเถาซุ่น ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้คือ...”
“ข้าเป็นสหายของคุณหนูเถา”
“ไม่ใช่” ฟางจื่อหยาเดินสวนออกมาจากร้าน คำนับลาผู้ดูแลและสั่งงานสองสามอย่าง สิ่งที่อยู่รอบตัววุ่นวายขนาดนั้น แต่แววตาของนางกลับมีประกายสวย ยามที่นางจดจ่ออยู่กับอะไรแล้วก็จะไม่สนใจอย่างอื่นเลย ผิดไปจากคุณหนูบ้านอื่นๆ ที่มักจะสนใจแต่งเรื่องแต่งหน้าแต่งตัว ยิ่งสังเกตเขาก็ยิ่งสงสัย และคุณหนูเถาก็เดินไปพร้อมสาวใช้โดยไม่รอเขาอีกแล้ว จ้าวเทียนจื้อจึงถือโอกาสป้องปากถามคนดูแลร้าน
“อายุของนางก็สมควรออกเรือนแล้ว เหตุใดนางจึงยังไม่แต่งงาน”
“เอ่อ เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ขอรับ แต่รู้แล้วเหยียบไว้นะ” คนดูแลร้านมองซ้ายมองขวาก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ข้าเคยได้ยินว่าคุณหนูเถา แท้จริงแล้ว...”