บทที่ 2-2 ไม่เข็ด
หากไม่มีการศึก ตัวเขาก็ไม่มีอะไรให้ทำ อย่างเสด็จพี่ไท่จื่อเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักทำงานให้เสด็จพ่อแทบทุกเรื่องโดยไม่ขาดตกบกพร่อง ส่วนน้องสามเป็นผู้คงแก่เรียนเขียนตำรา ค้นพบสิ่งที่ชอบและอุทิศตนให้วิชาการอย่างแข็งขัน พี่น้องทุกคนล้วนเป็นคนเก่งกาจจนน่าขนลุก มีเพียงเขาที่ทำเป็นแต่เรื่องต่อยตี ตะลอนไปตามหัวเมืองชายแดน ใช้การสู้รบระบายความก้าวร้าวและพลังงานส่วนเกิน เมืองหลวงไม่ใช่ที่ของเขา มันคือกรงขัง
เขานั่งลงพักที่ขั้นหินหน้าร้านค้า ไม่นานนักประตูร้านก็เปิดออก เด็กรับใช้ออกมาเก็บกวาดเศษหิมะที่เริ่มละลาย จ้าวเทียนจื้อตั้งใจจะลุกหลบทางให้ แต่เมื่อเงยหน้ามองป้ายชื่อร้าน เขากลับนั่งเฉย ไม่ลุกไม่หลบ ไม่นานนักสตรีที่ทำให้กระเพาะของเขาบิดมวนก็ปรากฏกาย นางอาภรณ์สีขาวสะอาด ขับเน้นให้ผิวของนางขาวผ่องยิ่งกว่าที่จำได้
“มิได้พบกันเสียนาน หวังว่าคุณหนูจะสบายดี”
“คุณชายมารอตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดให้ข้ารับใช้เจ้าคะ หรือแส้ม้าที่ซื้อไปเมื่อวานไม่ถูกใจท่าน”
“ฟ้ามืด ข้าน้อยไม่ทันสังเกตว่ารอซื้อของผิดร้าน”
“นายท่านมาเยือนถึงร้านข้าแล้ว ข้าย่อมดูแลต้อนรับเป็นอย่างดี นายท่านต้องการสินค้าใดโปรดแจ้งข้า อย่าได้เกรงใจ”
จ้าวเทียนจื้อแค่นหัวเราะ เอนตัวสบายอารมณ์ อยากจะรู้ว่านางจะจัดการอย่างไร “พาข้าน้อยเข้าไปข้างในก่อนสิ”
“ไม่ทราบว่านายท่านถูกทำร้ายมา หรือแค่เมาเหล้า”
“การดื่มเป็นศิลปะ การตีกันก็เป็นศิลปะ” เขาดื่มสุรามาทั้งคืน เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่เรียบร้อย แววตาอันตรายเหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังทุบทำลายกรงขัง “จะดื่มสุราต้องดูที่รสชาติ จะตีใครก็ต้องดูด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร”
พวกคนงานที่ถือไม้พลองรอคำสั่งอยู่ต่างเงียบ ตัวแข็งทื่อจนมิกล้าส่งเสียงสักแอะ ร่างกายสูงใหญ่ดุจยักษ์จงใจแผ่ความน่าเกรงขามใส่ฟางจื่อหยาเต็มที่ แต่นางกลับเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล
“คุณชายไม่กลับบ้านหรือ”
“บ้าน? ที่ใดจึงเรียกว่าบ้าน”
“บ้านคือที่ที่อยู่แล้วสบายใจ ท่านมีหรือไม่”
“อยู่แล้วสบายใจ” ชายหนุ่มทวนคำถามด้วยสีหน้าว่างเปล่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาต่อสู้เพื่อที่จะค้นหาความสงบเงียบสั้นๆ จากนั้นก็สวมเกราะแล้วออกไปเข่นฆ่าอีกครั้ง จนบางครั้งเขาก็รู้สึกว่าไม่เหลืออะไรนอกจากอาวุธคู่กายและเลือด วังตงหลินที่เสด็จพ่อประทานให้ก็เป็นแค่ที่ซุกหัวนอนยามกลับเมืองหลวง ส่วนกระโจมแม่ทัพที่เขาใช้ชีวิตกินนอนมาจนชินจะเรียกว่าบ้านได้หรือ เขาไม่มีเวลาว่างคิดถึงมันหรอก
“ก็อยากกลับ แต่ไม่รู้ว่าจะกลับไปที่ใด คุณชายอย่างข้าน้อยไม่มีใครสนใจหรอก”
“คุณชายเป็นลูกคนกลางสินะ”
จ้าวเทียนจื้อชะงัก “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ทำดีไม่มีชม ทำผิดต้องรับแทน และถูกนึกถึงเป็นคนสุดท้าย สุดท้ายระเบิดออกมาเป็นความน้อยใจ”
เขานึกทึ่ง สายตาของนางเฉียบแหลมนัก แค่ไม่กี่ประโยคก็จับความเป็นไปของเขาได้ตรงเผง ฟางจื่อหยาสบตาเขาและประหยัดถ้อยคำ “ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ข้ามั่นใจว่าท่านเป็นผู้ที่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดีที่สุด เข้ากับผู้อื่นได้ดี อดทน มีความรับผิดชอบ และมีอิสระกว่าพี่น้อง”
“ข้าน้อยมิกล้ารับคำชม เทียบกันแล้วข้าน้อยด้อยกว่าพี่น้องมากนัก”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่” ฟางจื่อหยาตอบเรียบๆ “หากต้องใช้ชีวิตตามความคาดหวังของคนอื่น ข้าคนหนึ่งล่ะที่ไม่เอาด้วย ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ท่านก็ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากเป็นเถอะ”
แผ่นหลังของชายหนุ่มรูปงามยืดขึ้นเหมือนเพิ่งตื่นจากความคิดจมจ่อม แต่คำชมเลิศลอยเช่นนี้ย่อมมีความนัยแฝงอยู่ พระองค์ยังไม่กล้าตีความเข้าข้างตัวเอง เพราะสภาพของเขาตอนนี้ห่างไกลจากคำว่ามีความรับผิดชอบมากโข ตลอดเดือนมานี้เขาแทบไม่ได้เข้าเฝ้าเสด็จพ่อเลย เอาแต่เทเหล้าเข้าปากท่าเดียว เมื่อถูกคุณหนูเถาฟาดเปรี้ยง เขาก็สะเทือนซางยิ่งกว่าโดนเสด็จพ่อเสด็จแม่รุมด่า
“อาจื่อ ช่วยพยุงคุณชายไปส่งบ้าน”
“ขอรับคุณหนู”
“จะไม่ชวนข้าน้อยเข้าร้านหรือ ข้ามีเงิน” ทรงตบรอบเอว แต่ทว่าว่างเปล่า ถุงเงินคงหล่นตอนเขายืนอาเจียน นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวมองตามหญิงสาว เรือนผมสีดำ เครื่องหน้ายังห่างไกลจากคำว่าสวยไร้ที่ติ แต่นัยน์ตาของนางมีคมดาบซ่อนอยู่ ผิวของนางขาวผ่องนวลตาอยู่แล้ว ยิ่งสวมชุดสีขาว สวมทับด้วยเสื้อกั๊กขลิบขนกระต่ายสีเข้ากันก็ยิ่งดูละมุนละไม แม้ว่ากระโปรงยาวถึงข้อเท้าจะไม่เผยเนื้อตัวแต่ก็รัดรูปให้เห็นเรียวขา ทั้ง ๆ ที่เป็นชุดสามัญทั่ว ๆ ไปที่เขาเคยเห็นจนชินตา แต่ไม่รู้ทำไมนางคนนี้ถึงน่ามอง
“คุณชายสามารถลงชื่อเพื่อรับของที่ต้องการไปก่อนได้เจ้าค่ะ แต่ข้าจำเป็นต้องรู้ที่อยู่ของท่าน”
“ดีเลย งั้นเจ้าไปกับข้าน้อย”
“อาจื่อ”
“ไม่ ไม่เอาอาจื่อ เจ้า เจ้านั่นแหละ” จ้าวเทียนจื้อยังคงนั่งพิงประตูร้าน ทำตัวประหนึ่งเด็กดื้อดึงเรียกร้องเอาแต่ใจ ฟางจื่อหยามิได้ยินดียินร้าย สีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกพื้นอารมณ์ใดๆ เลยสักนิด นางหิมะโดยแท้ แต่เขากลับรู้สึกคึกคัก เคาะพื้นเป็นจังหวะ
เดิมทีฟางจื่อหยาไม่คิดจะสนใจคุณชายขี้เมาคนนี้อีก แต่พอหันหน้ามาเพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจ้องมองอยู่ตลอด นางผ่านช่วงชีวิตที่ยากลำบากและเกือบตายมาก่อน ย่อมไม่เคยเปิดใจหรือหวั่นไหวต่อสายตาชายใด แต่วันนี้คนผู้นี้จ้องเสียจนนางรู้สึกอึดอัด
“รบกวนคุณหนูไปส่งข้าน้อยที่บ้าน รับรองว่าคุณหนูจะได้รางวัลอย่างงาม ทำไม คุณหนูเถาไม่ไว้ใจคนขี้เมาอย่างข้าน้อยงั้นหรือ”
“ขออภัยคุณชายด้วย ข้าจำเป็นต้องไปสำรวจทำเลร้านใหม่และติดตามยอดค้างชำระ มิอาจรับใช้คุณชายได้”
“ขยันขันแข็งยิ่งนัก เกรงว่าร้านค้าในเมืองหลวงทุกร้านรวมกันยังไม่อาจสู้เจ้าได้”
“ถ้าธุรกิจของข้าไม่เติบโต ข้าก็ไม่สมควรที่จะมีมัน”
“เช่นนั้นข้าน้อยจะไปกับเจ้า” ชายหนุ่มเหยียดกายไล่ความเมื่อยขบ ชุดลำลองที่เขาสวมตึงแนบอกและไหล่ รอยยิ้มของเขาไม่ได้ทำให้เขาดูอ่อนโยนเลย และแววตาคมกริบก็ปลดปล่อยความน่าเกรงขามออกมาโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจอีกต่างหาก ฟางจื่อหยามิได้แสดงท่าทีรังเกียจ กลับเชื้อเชิญเขาให้ไปด้วยกันอีกต่างหาก
“หากวันนี้คุณชายกู้สนใจจะไปเปิดหูเปิดตากับข้า ข้าก็ไม่ขัดข้องเจ้าค่ะ”
เขานึกว่านางจะปฏิเสธแล้วเขาก็จะได้ยียวนกวนโทสะนางต่อ แต่นางกลับยิ้มแย้มเชื้อเชิญ นับว่าผิดไปจากที่คาดคิด จ้าวเทียนจื้อแต่งตัวไม่เรียบร้อย หนำซ้ำยังมีกลิ่นสุราเหม็นหึ่ง จะยืนก็ยืนไม่ตรง จะนั่งก็เอนกายหมดสง่าราศี ถึงเขาจะหน้าหนาก็เถอะ แต่คงไม่ดีแน่ถ้าร่อนไปทั่วเมืองหลวงด้วยสารรูปเช่นนี้ นางพูดอย่างอ่อนหวานไม่กี่คำ ก็ทำให้เขาเกิดความละอายขึ้นมาเอง ร้ายกาจยากรับมือจริงๆ
“ข้าน้อยขอเรียนถามคุณหนูสักข้อ”
“เชิญ”
“คุณหนูมีคนรักแล้วหรือยัง”
“ยังไม่มี”
“หากมีคนมาสู่ขอเจ้า คนหนึ่งเป็นคุณชายร่ำรวยแต่หน้าตาขี้ริ้วคนหนึ่ง กับคุณชายหน้าตาหล่อเหลาแต่ยากจน เจ้าจะเลือกใคร”