บทที่ 2-1 ไม่เข็ด
ถึงอยากจะหาเรื่องนางต่ออีกเพียงใด แต่พระองค์ก็ถือหลักว่าบุรุษมิควรรังแกสตรี ดังนั้นจึงยอมล่าถอยกลับไป หากเป็นการศึกก็นับได้ว่าแพ้ยับเยิน แต่ทว่าในใจเขากลับรู้สึกราวกับมีรสหวานซ่านขึ้น ตอนโดนเสด็จพ่อกับเสด็จพี่ไท่จื่อด่าไม่ยักจะรู้สึกอะไรแบบนี้เลย แปลกแท้... ขณะที่กำลังหงุดหงิดตัวเอง คนรับใช้ของบรรดาคุณชายที่ขึ้นชื่อว่าทำตัวสำมะเลเทเมาก็เข้ามาค้อมคำนับ
“กราบทูลเป่ยอ๋อง นายท่านอู๋เล่อและนายท่านเหยากวงเรียนเชิญพระองค์ร่วมงานเลี้ยงดื่มสุราที่หอเหมยเซียง”
“เหล้าไม่ดี ไม่ไป”
“แต่คืนนี้แม่นางจี้ให้เกียรติมาบรรเลงพิณให้พระองค์ฟังโดยเฉพาะ”
“อ้อ... เช่นนั้นก็อย่ามัวชักช้า”
แม่นางจี้เอี้ยนหยาง โฉมงามยอดพธูผู้ขายเสียงดนตรีในหอคณิกา นางเคยเป็นบุตรีของอดีตขุนนางใหญ่แห่งแคว้นฉู่ ทว่าเมื่อแคว้นฉู่ล่มสลาย ชะตาของนางพลันอาภัพ บิดาของนางวิ่งขอความช่วยเหลือจากสหายที่อยู่ในแคว้นต่างๆ แต่ก็ไม่มีผู้ใดสนใจ สุดท้ายแล้วบิดาล้มป่วยเสียชีวิตไปด้วยความคับแค้น ชีวิตของนางและครอบครัวก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ จำต้องขายฝีมือคีตศิลป์เพื่อความอยู่รอด นางทั้งงดงามและรันทดน่าสงสารเช่นนี้ ชายทั้งหลายจึงล้วนอยากเชยชมโอบกอด หวังว่านางจะโอนอ่อนเปิดใจ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีผู้ใดเอาชนะใจนางได้ ยอดหญิงเช่นนี้สิที่น่าสนใจและไม่ทำให้ราตรีไม่น่าเบื่อ
งานเลี้ยง งานเลี้ยง งานเลี้ยง...
สมองของเขาว่างเปล่าขณะนั่งดื่มอยู่ท่ามกลางเพื่อนเสเพล นางรำนุ่งน้อยห่มน้อยร่ายรำส่งสายตายั่วยวน เสียงเพลงบรรเลงทะลุหูซ้ายออกหูขวา เขาจ้องมองจอกเหล้าที่เขาดื่มจนว่างเปล่า ก่อนจะถูกคุณชายเหยากวงผู้สำมะเลเทเมาขึ้นชื่อที่สุดของเมืองหลวงกระตุกแขนเสื้อ
“ท่านเป่ยอ๋อง ท่านช่างร้ายกาจนัก ดูสิ พวกเราทุ่มเงินไปหลายพันตำลึง แม่นางจี้ก็ยังมิชายตาแล นางเอาแต่มองท่านผู้เดียวนะ ไยไม่ลองเกี้ยวนางดู ไม่น่าว่าคืนนี้นางอาจยอมมอบพรหมจรรย์ให้ท่านเชยชม”
“ข้ามาดื่มเหล้า”
“ไม่เอาน่า... เกี้ยวนางเถอะ ถือว่าเห็นแก่พวกเราสักครั้ง เมื่อท่านชิมนางแล้ว พวกเราจะได้มีโอกาสชิมต่อง่ายขึ้น”
เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบวง พวกคุณชายจากตระกูลร่ำรวยต่างๆ มักจะเอาแต่เที่ยวเล่น ไม่สนใจการเรียน ไม่ทำงาน แต่ละวันหมกตัวอยู่ที่หอเริงรมย์ กอดซ้ายโอบขวา ดื่มเหล้าร้องรำทำเพลงไปวันๆ จ้าวเทียนจื้อร่วมหัวจมท้ายด้วยมาเกือบเดือนก็ชักจะรำคาญความไร้แก่นสารของคนพวกนี้ มิน่าเล่าแม่นางเถาถึงได้ไม่เหลือบแล
เอ๊ะ... แล้วเหตุใดเขาจึงนึกถึงคุณหนูหน้าจืดๆ นิ่งๆ คนนั้นเล่า
“เป่ยอ๋อง” เสียงอ่อนหวานระคนเศร้าเอ่ยเรียก จี้เอี้ยนหยางบรรเลงจบไปสามเพลงแล้ว เดิมทีนางจะต้องขอตัวกลับเข้าด้านใน แต่คืนนี้นางรู้สึกถึงความผิดปกติ ดังนั้นจึงเยื้องย่างกายมาตรงหน้า รับกาเหล้าอุ่นๆ จากสาวใช้มาถือไว้เองพลางนั่งลงไม่ใกล้ไม่ไกล แต่เขาได้กลิ่นหอมจากกายนางชัดเจน
“ให้หม่อมฉันช่วยคลายความอึดอัดของพระองค์ ดีหรือไม่”
นางคือโฉมงามอันดับหนึ่งของหอเหมยเซียง ดวงตาของนางหยาดเยิ้ม ริมฝีปากอวบอิ่ม ผิวนางขาวนวลเนียนกระจ่างหอมละมุนจนเหล่าบุปผาเหลียว ชายใดได้พบสบตาล้วนร้อนผ่าวในหัวอกกันทุกคน จ้าวเทียนจื้อรู้สึกถึงเรือนร่างอ้อนแอ้นที่บดเบียดเข้ามา จี้เอี้ยนหยางจึงเริ่มใจชื้นขึ้นที่พระองค์ไม่ปฏิเสธ ชายคนเดียวที่นางหมายจะฝากชีวิตโดยไม่ต้องกลัวว่าจะต้องเสียใจในภายหลัง มีเพียงองค์ชายรองจ้าวเทียนจื้อผู้นี้ ตลอดเดือนที่ผ่านมานางเพียรพยายามสบตาและพูดคุย นางมั่นใจว่าพระองค์ยังไม่พึงใจต่อสตรีคนใด
“ดูเหมือนท่านอ๋องจะมีเรื่องในใจ สามารถแบ่งปันกับข้าได้นะเจ้าคะ”
“อย่าเลย เจ้าจะหัวเราะเยาะข้าเปล่าๆ”
“ใครเล่าจะกล้าหัวเราะท่าน” จี้เอี้ยนหยางยกชายเสื้อขึ้นบังโฉมเล็กน้อย ยิ่งเพิ่มความงามสะกดสายตา พวกคุณชายในวงเหล้าเอาแต่จ้องนางตาไม่กะพริบ สายตาบ่งบอกชัดเจนว่าต้องการจะชำเรานางเสียตรงนี้ เว้นเพียงผู้บัญชาการทหารม้าเกราะดำที่ตั้งอกตั้งใจดื่มเหล้าและให้เกียรตินางประหนึ่งคุณหนูในห้องหับ มิใช่หญิงในหอคณิกา ดังนั้นผู้อื่นอาจจะมองว่าพระองค์แข็งทื่อ ทำตัวเป็นคนไม้ใจหิน แต่สำหรับนางแล้วทรงเป็นชายที่ดีที่สุดที่นางเคยรู้จัก ตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยพบใครที่ให้เกียรตินางเช่นนี้
“ท่านเป็นผู้เดียวที่ไม่ดูถูกเหยียดหยามหญิงอาภัพเช่นหม่อมฉัน... หากเป็นสุภาพบุรุษเช่นท่าน หม่อมฉันยินดีติดตามรับใช้ไปชั่วชีวิต”
คำว่า ‘สุภาพบุรุษ’ แทงใจจนเจ็บจี๊ด ลำคอของเขาแห้งผากเหมือนเห็นแม่นางเถายืนอยู่ตรงหน้าเลยทีเดียว
“เป่ยอ๋อง... คืนนี้เรา...” จี้เอี้ยนหยางขยับเข้ามาใกล้อีกนิด บรรจงเทสุราลงจอกเหล้า ปลายนิ้วของนางแตะหลังมือหยาบกร้าน ผิวพรรณขาวกระจ่างยิ่งดูละมุนละไม แววตาของนางทอประกายงดงามและคาดหวังเหลือเกินว่าพระองค์จะครอบครองริมฝีปากของนาง
“เอาแล้วๆๆ แม่นางจี้รุกใส่ท่านอ๋องแล้ว” พวกคุณชายเมาเละเทะต่างปรบมือและพ่นคำหยาบต่ำช้าหลายคำ “ท่านอ๋องรีบอุ้มนางไปที่หลังม่านเลย พวกเราจะให้กำลังใจอยู่ตรงนี้”
“ดึกมากแล้ว เจ้าสมควรพักผ่อน”
เขาสาดเหล้าที่นางเพิ่งเติมให้ทิ้งไป เป็นคำตอบว่าไม่รับไมตรี คนที่รู้จักแต่ทำศึก ฝึกเหยี่ยวขี่ม้าเช่นเขาดื่มเหล้าทุกวันเช่นนี้ ร่างกายชักจะทื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจ้าวเทียนจื้อจึงเดินโซเซออกจากงานเลี้ยง ทิ้งแม่นางจี้ไปดื้อๆ ทุกคนในงานเลี้ยงพากันไม่เข้าใจ โฉมสะคราญแห่งเมืองหลวงอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ แค่อ้าปากก็ได้ลิ้มรส เป่ยอ๋องผู้องอาจห้าวหาญกลับละทิ้งไม่สนใจ
ช่างน่าขายหน้า!
จี้เอี้ยนหยางขยุ้มชายกระโปรงของตนเองแน่นด้วยความผิดหวัง อีกเพียงก้าวเดียวนางก็จะหลุดออกจากหอคณิกาแห่งนี้แล้วแท้ๆ แล้วทำไม...
หรือว่า...
จี้เอี้ยนหยางตัวเย็นวาบ สิ่งที่นางกลัวกำลังเกิดขึ้นแล้วหรือไม่นะ หญิงคนนั้นเป็นใครกัน! หัวอกของจี้เอี้ยนหยางร้อนรุ่ม รีบกระซิบสั่งสาวใช้คนสนิททันที
“เจ้าสืบข่าวให้ข้า เป่ยอ๋องทรงติดพันอยู่กับหญิงบ้านไหน”
“เจ้าค่ะ”
...........................
ร่างสูงใหญ่ออกมานอกร้าน คนติดตามนำม้ามาให้ จ้าวเทียนจื้อกลับส่ายหน้าแล้วออกเดินไปตามถนนมืดสลัวและหนาวเย็น เดินเตร่ไปสักพักก็ทนไม่ไหว หยัดแขนกับกำแพงบ้านใครไม่รู้แล้วอาเจียนหมดท่า
ขวดที่มีเหล้าใครๆ ก็ดื่มได้ หากเก่งจริงก็ต้องดื่มเหล้าจากขวดเปล่าได้ นี่สิคนเก่ง
หึ!
“เป่ยอ๋อง”
“ไม่ต้องตามมา ข้าอยากจะเดินคิดอะไรคนเดียว เอาโคมไฟมาให้ข้าแล้วไสหัวไปนอนซะไป”
คนติดตามต่างมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าเจ้านายผู้สูงศักดิ์ของตนเกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมา จ้าวเทียนจื้อเดินเซๆ ร่างกายของเขากำยำ เมื่อถูกกระตุ้นด้วยสุราก็ร้อนรุ่ม อาศัยลมหนาวบรรเทาไอร้อน ชั่วชีวิตของเขาพบเจอสาวงามโฉมตรูมานับไม่ถ้วน แต่ละนางล้วนผุดผาดชวนสิเน่หาไม่แพ้กัน แต่เห็นมากเข้าก็ไม่สบใจ เขาจึงไม่รีบร้อนเรื่องแต่งงานมีคู่ เพราะต้องการจะค่อยๆ ค้นหาคู่ชีวิตที่ฉลาดเฉลียว ความรู้กว้างขวาง งามใบหน้า งามวาจาและงามจิตใจ
ใบหน้าของคุณหนูเถาลอยขึ้นมา จ้าวเทียนจื้อก็ปัดทิ้ง นางสอบตกเกือบทุกข้อ
ยามนี้ใกล้ฟ้าสางแล้ว บางบ้านเริ่มจุดเตาไฟหุงหาอาหาร กลิ่นควันและกลิ่นข้าวลอยเตะจมูก ชายหนุ่มชะโงกมองเข้าก็เห็นพ่อแม่ลูกอยู่ด้วยกันในบ้านหลังเล็กๆ เขาก็นึกขันตัวเอง