บทที่ 1-2 บุตรสาวร้านเถากง
วาจาของนางคมคายฉลาดเฉลียวยิ่งนัก กระตุ้นให้เขารู้สึกตื่นเต้นดุจชักดาบฟาดฟันในสนามรบ เขานั่งลงตรงข้ามนางและพิจารณาดู คุณหนูร้านเถากงรูปโฉมสามัญ สวมชุดสีขาวล้วน ดูแล้วจะให้ความรู้สึกเหมือนเทพธิดาแสนพิสุทธิ์ก็ไม่ใช่ เหมือนนางจะเลือกแต่งชุดขาวเพื่อข่มประกายแสงฉาดฉานในแววตามากกว่า เขาก็บอกไม่ได้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น แต่ที่แน่ๆ คือเรือนผมสีดำสนิท ถักเปียเล็กๆ ตรงเหนือกกหู ประดับด้วยเครื่องกะไหล่เงินตัดกับผิวพรรณขาวผ่องเป็นสีสันชวนละลานตา นัยน์ตากลมโตของนางจ้องมองเขาโดยปราศจากความประหม่าขัดเขิน คุณหนูสกุลเถาผู้นี้แตกต่างจากหญิงสาวคนอื่นๆ ที่เขาเคยพบแน่นอน
“ข้าน้อยกู้เทียนไฉ บังเอิญแวะมาที่ร้านนี้เป็นครั้งแรก ข้าน้อยขอทราบนามของแม่นางได้หรือไม่”
เขาประสานมือกล่าวคารวะอย่างสง่าผ่าเผย เพียงยืดตัวขึ้นก็ข่มทับผู้อื่นอันเป็นคุณลักษณะของชายชาตรี เถาหลี่ ผู้เป็นบิดาและเจ้าของร้านพยายามเข้ามาขัดจังหวะด้วยการยกถาดแส้ม้ามาเสนอ แต่ร่างสูงใหญ่พูดเพียงสั้นๆ ว่าเหมาทั้งหมด ก่อนจะโบกมือไล่ให้ถอยไปก่อน เพราะตอนนี้สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามิใช่แส้ม้า
“ข้าน้อยเป็นลูกค้า จะขอทราบชื่อแซ่แม่นางคงไม่เสียมารยาทกระมัง”
เถาหยาเหนียง หรือตัวตนที่แท้จริงคือฟางจื่อหยาสงบนิ่ง นางมิได้ตื่นเต้นกับรูปโฉมงามสง่าของบุรุษตรงหน้า เพราะมองเพียงปราดเดียวก็ดูออกว่าคุณชายท่านนี้มิใช่ชนชั้นธรรมดา ทั้งยังทระนงตนปราศจากความลังเลใจ ในยามนี้เมืองเกาซานกำลังรุ่งเรืองย่อมเป็นศูนย์รวมผู้ทรงอำนาจวาสนา เกรงว่าคนผู้นี้คงจะเป็นขุนนางหรือไม่ก็เชื้อพระวงศ์เป็นแน่ นางจึงค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อม และกล่าวด้วยเสียงอันไพเราะปานไข่มุกร่วงหล่นกระทบถาดทอง
“ข้าแซ่เถา ชื่อหยาเหนียง คุณชายมีสิ่งใดให้ข้ารับใช้ เชิญกล่าวอย่าได้เกรงใจ” ฟางจื่อหยายิ้มแย้ม “หากคุณชายสนใจแป้งหอมสูตรพิเศษไปฝากคนรู้ใจ ข้ายินดีแนะนำเจ้าค่ะ”
“ข้าน้อยยังไม่มีคนรู้ใจ”
“คงเป็นเพราะท่านไม่ยอมเปิดใจกระมัง”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“แม้แต่ชื่อแซ่ ท่านยังไม่เปิดเผยจริงใจ หญิงใดเล่าจะวางใจเคียงคู่”
ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย เดิมทีคิดว่านางเป็นเพียงบุตรีพ่อค้าวานิชย์ ไหนเลยจะมีความคิดอ่านสูงเพียงนี้ เขาคุยกับนางไม่กี่ประโยค นางก็จับได้เสียแล้ว ปฏิกิริยาเล็กน้อยของเขาบ่งบอกว่านางคาดเดาถูก ฟางจื่อหยาจึงอมยิ้ม มองป้ายหยกห้อยเอวของเขา
“สกุลกู้นิยมดาบและกระบี่ ทั้งยังชอบสะสมหยกสีแดง หยกห้อยเอวของคุณชายสีขาวสะอาด น้ำงามทอประกายแวววาว ข้ามีประสบการณ์เรื่องการดูหยกอยู่บ้าง จึงมองออกว่าเป็นหยกชั้นเลิศ... คุณภาพแตกต่างจากหยกที่สกุลกู้มีกำลังซื้อ” ฟางจื่อหยาประสานมือวางบนโต๊ะ ข้อมือเล็กจ้อยสวมกำไลหยกข้อทอง ขับผิวนวลเนียนให้ยิ่งงามกระจ่าง สายตาของนางพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา ชายหนุ่มตอบรับความเย็นชานั้นด้วยคำถาม
“หากสกุลไม่ดี เจ้าจะไม่ต้อนรับงั้นหรือ”
“ผิดแล้ว ข้าเป็นคนค้าคนขาย ขอเพียงคนซื้อมีเงิน ต่อให้ชื่อหมูชื่อหมา ข้าก็ไม่เกี่ยงงอนแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”
ริมฝีปากของชายหนุ่มคลี่ยิ้ม แต่แววตาไม่ยิ้ม “แล้วเจ้าไม่ลองทายดูสักหน่อยหรือว่าข้าน้อยเป็นใคร”
“ไม่เจ้าค่ะ”
“ทำไมเล่า”
“ท่านจะซื้อของใดเพิ่มเติมหรือไม่”
“ตัวเจ้า”
“ตัวข้า?”
“ใช่ ลองเสนอราคามาสิ ไยจึงเมินใส่ข้าน้อยเล่า”
ฟางจื่อหยาจะทำงานต่อ เมื่อถูกขัดจังหวะหลายครั้งเข้าก็ถอนหายใจ “สุภาพบุรุษย่อมให้เกียรติผู้อื่น ข้ามิเห็นสุภาพบุรุษที่นี่เลยแม้แต่คนเดียว ไยข้าจึงต้องวิสาสะด้วยเพื่อประโยชน์อันใดเล่า”
คนติดตามต่างลอบกลืนน้ำลาย ไม่สามารถบอกได้ว่ารอยยิ้มน้อยๆ ของเจ้านายนั้น ในพระทัยกำลังมีความสุขหรือกำลังกริ้วกันแน่ คุณหนูร้านเถากงคาดเดาได้ถูกต้องแล้ว นายของพวกเขามิได้เกี่ยวข้องใดๆ กับสกุลกู้ และมิได้ชื่อกู้เทียนไฉ แต่เขาคือจ้าวเทียนจื้อ องค์ชายรองแห่งแคว้นจ้าวและเป็นถึงผู้บัญชาการทหารม้าเกราะดำ! พระองค์เพิ่งกลับจากสมรภูมิชายแดนได้เดือนกว่าๆ ใช้ชีวิตเคี่ยวกรำชิงไหวชิงพริบในสนามรบมานาน จู่ๆ ถูกเรียกกลับเมืองหลวงย่อมตกอยู่ในสภาพว่างงาน นานวันเข้าก็เบื่อหน่าย ดังนั้นจึงถือโอกาสงานเทศกาล ออกมาเดินเที่ยวเตร่ใช้เงินรางวัลจากเสด็จพ่อเสียให้สะใจ นึกไม่ถึงว่าจะได้พานพบแม่นางตัวน้อยที่ฝีปากคมยิ่งกว่ากรรไกร เลือดนักรบในพระวรกายก็พลันเดือดฟู่ มุมปากมีรอยยิ้มเยือน
“ไม่ว่าลูกค้าต้องการอะไร คุณหนูก็สามารถจัดหาให้ได้สินะ”
“เจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการสินค้าใด”
“เหล้า” ร่างสูงใหญ่โน้มกายเข้ามาเล็กน้อย วางขวดเหล้าว่างเปล่าที่ติดมือมาลงบนโต๊ะ กลิ่นเหล้าโชยจากลมหายใจ “ข้าน้อยเพิ่งออกมาจากงานเลี้ยง ยังอยากกินเหล้าต่ออีก รบกวนคุณหนูช่วยจัดหาให้ด้วย”
ฟางจื่อหยาสบตาพลางยิ้ม “เรื่องเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“เจ้าต้องไปคนไปซื้อให้ข้า”
“ได้เจ้าค่ะ” ฟางจื่อหยาแบมือ “รบกวนคุณชายมอบเงิน”
“ไม่มี”
“นายท่าน ไม่มีเงินจะซื้อเหล้าได้อย่างไร”
“หึ! ใช้เงินซื้อเหล้าใครๆ ก็ทำได้ หากเจ้าเก่งจริงก็จงไปซื้อเหล้าโดยไม่ใช้เงินมาให้ได้ นี่สิถึงจะเก่งจริง”
ฟางจื่อหยาไม่โต้แย้งอีก คนพาลพรรค์นี้คุยด้วยก็เปลืองเวลาเปล่า นางจึงรับขวดเหล้าแล้วเดินออกไปจากร้าน ทางด้านจ้าวเทียนจื้อเองก็แกล้งมองนางแวบหนึ่ง คิดอยู่ว่าหากนางยอมอ่อนข้ออ้อนวอน เขาก็จะหยิบถุงเงินส่งให้แต่โดยดี แต่นางกลับไม่พูดอะไรสักคำ เขาจึงสั่งให้อาหลางซึ่งเป็นองครักษ์ติดตามนางไป
“เอาเงินนี่จ่ายให้นาง” จ้าวเทียนจื้อยื่นถุงเงินหนักอึ้งให้ แต่กลับเปลี่ยนใจ ขอดูไหวพริบของนางดีกว่า “ตามไปเงียบๆ แล้วกลับมารายงานข้าว่านางทำอย่างไร”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อาหลางยังไม่ทันกระโดดออกจากหน้าต่างไป ฟางจื่อหยาก็กลับมาพร้อมขวดเหล้า นางเดินประคองเข้ามาช้าๆ วางลงบนโต๊ะพลางกล่าวนอบน้อม
“เหล้าของท่านเจ้าค่ะ”
จ้าวเทียนจื้อแปลกใจ ยกขวดเหล้าขึ้นแต่ก็พบว่ามันว่างเปล่า เขาจึงดุใส่เสียงดัง “ไหนล่ะเหล้า มีแต่ขวดไม่มีเหล้า จะดื่มได้อย่างไร!”
“ขวดที่มีเหล้าใครๆ ก็ดื่มได้ หากเก่งจริงก็ต้องดื่มเหล้าจากขวดเปล่าได้ นี่สิคนเก่ง เชิญ!”
บรรดาผู้ติดตามต่างสูดน้ำลายดังซี้ด แม่นางผู้นี้เพิ่งตีแสกหน้าท่านอ๋องไปโครมใหญ่ ทุกคนต่างเงียบกริบ แต่จ้าวเทียนจื้อหัวเราะฮ่า!
ด่าได้ดี! ถูกใจ! ถูกใจยิ่งนัก!