บทที่ 3-2 คุณชาย?
ฟางจื่อหยาหลับตาลง ไอ้คนโรคจิต สีหน้ารอคอยด้วยความตื่นเต้นนั่นหมายความว่าอะไร! ขณะที่ฝ่าเท้าของนางยันอยู่ที่แผงอกแข็งแรง บังเอิญมีชาวบ้านผ่านมาเห็นเข้าพอดี กลายเป็นนางเสียอีกที่กำลังรังแกผู้อื่น และผู้อื่นนั้นก็เอาแต่ส่งสายตาว่าลงโทษข้าน้อยสิ ฟางจื่อหยาจึงจดบัญชีแค้นเอาไว้ ยันฝ่าเท้าใส่จนหลุดจากการเกาะกุม แล้วสะบัดหน้าหนีออกจากตรอกเล็กไป
ชาวบ้านซึ่งเป็นลุงแก่ก็ยกนิ้วโป้งพลางว่า “ไอ้หนุ่ม เมียเอ็งช่างดุเด็ดนัก”
ทรงยกนิ้วตอบ “ข้าก็เด็ดไม่แพ้กัน”
.........................
ฟางจื่อหยาแวะตรวจร้านอีกสองสามแห่ง เสร็จจากตรวจบัญชีก็ตรงไปยังสะพานข้ามแม่น้ำกลางเมือง ชาวบ้านเรียกสะพานนี้ว่าสะพานทองคำเพราะเป็นย่านการค้าคึกคัก ยามสายเช่นนี้ก็เริ่มมีผู้คนแน่นแล้ว ของกินอร่อยๆ ตั้งแผงขายหมูย่าง บะหมี่เกี๊ยว เต้าฮวย น้ำเต้าหู้ ร้านซาลาเปา ขนมถั่ว ขนมเปี๊ยะ แล้วก็ร้านน้ำชาอีกประมาณสิบร้าน ฟางจื่อหยาพยายามรักษาความสงบนิ่ง มือน้อยกระชับเสื้อคลุมขนสัตว์ไว้แนบตัว แต่ร่างทั้งร่างร้อนวูบวาบ เครียดจัดเพราะมันจดจำความเร่าร้อนดิบเถื่อนของคนผู้นั้นไว้แล้ว
น่าโมโห... วงหน้าของฟางจื่อหยาแดงก่ำจนเหมือนโคมไฟเดินได้ ต้องอาศัยลมกระโชกที่พัดตรงกลางสะพานช่วยให้นางคลายสัมผัสที่ยังตกค้าง ความร้อนจากมือหยาบกระด้างที่จับนางไว้ยังคงแผดเผาทะลุชุดเข้าไปถึงผิวเนื้อ
“คุณหนู เรากลับร้านกันก่อนดีหรือไม่”
“ไม่เป็นไร ข้ายังไหว”
ฟางจื่อหยายืนชมทัศนียภาพ สองแขนบอบบางวางบนขอบสะพาน ทอดสายตามองออกไปยังปากแม่น้ำซึ่งไหลออกสู่ทะเล เรือสินค้าแล่นเข้าออก ชีวิตผู้คนกำลังดำเนินไปตามบทบาทของตนเอง นางยืนอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ และก่อนที่นางจะรู้ตัว ร่างสูงใหญ่ก็มายืนพิงราวสะพานอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“ย่านนี้ก็นับทำเลดีเยี่ยม เจ้าจะเปิดร้านอีกสาขาบนถนนแห่งนี้ก็นับว่าไม่เลว แต่คู่แข่งก็มากเช่นกัน เจ้าจะขายอะไร”
ฟางจื่อหยาถอนหายใจ นางถูกคนผู้นี้ตามติดเสียแล้ว
“คุณชาย เรียนตามตรง ข้ามิสะดวกใจวิสาสะกับท่านอีก”
“คุณหนูอย่าได้ขุ่นเคืองเลย ข้าน้อยสำนึกแล้ว ข้าน้อยคิดไม่รอบคอบ แค่ได้ยินข่าวลือก็พลุ่งพล่านอยากจะพิสูจน์ ข้าน้อยทราบความผิด อยากให้คุณหนูมอบโอกาสแก้ตัว”
ทรงยืนกอดอกย้อนแสงตะวัน เกิดเป็นเงาทะมึนน่าสะพรึงกลัว แววตาของจ้าวเทียนจื้อเจิดจ้าภายใต้แสงตะวัน ทว่าใบหน้าคมเข้มไร้รอยยิ้มอย่างสิ้นเชิง ฟางจื่อหยาเองก็ไม่ต่างกัน ดวงตาคู่งามหลุบตามองเขาอย่างเย็นชา พระองค์จึงยิ่งแน่ใจว่านางมีสายเลือดทหารในตัว ยิ่งอันตรายก็ยิ่งเปล่งประกาย นี่คือคุณลักษณะของชนชั้นอำนาจ ตอนนี้พระองค์สั่งให้คนสนิทสืบความเป็นไปของสกุลเถาแล้ว ความเป็นมาของนางจะต้องไม่ใช่ธรรมดาเป็นแน่ สายลับจากต่างแคว้นที่ถูกจับได้จำนวนไม่น้อยก็มักจะเลือกแทรกซึมเข้ามาด้วยการเปิดร้านค้าขายบังหน้า
บางที... นางอาจจะ... คงไม่ใช่หรอกกระมัง...
“หากต้องการจะคบหาเป็นสหายกัน สิ่งสำคัญคือการให้เกียรติ”
“ข้าน้อยน้อมรับและจดจำ”
อาชิงไม่อาจสอดแทรกถ้อยคำเข้าไปขัดจังหวะได้แม้แต่ครึ่งคำ แม้บทสนทนาของทั้งคู่จะสุภาพอ่อนน้อม ถ้อยทีถ้อยอาศัยให้กัน แต่นางรู้สึกถึงแรงกดดันล้ำลึกบางอย่าง ขนาดสาวใช้อย่างนางยังรู้เลยว่าคนผู้นี้มิใช่ธรรมดา คุณหนูย่อมต้องรู้ยิ่งกว่า การเก็บอีกฝ่ายไว้ใกล้ตัวย่อมล้วงจุดประสงค์ของอีกฝ่ายได้เร็วที่สุด
“คุณชายว่างงาน ไม่มีกิจใดต้องไปทำหรือ”
“ไม่มี” เขาตอบหน้าตาเฉย “คุณหนูยังมิได้ตอบคำถามข้าน้อย คุณหนูสนใจจะเปิดร้านอะไรบนทำเลแห่งนี้”
“ความลับทางการค้า ผู้ใดจะเปิดเผยกัน”
“เรามิใช่สหายรู้ใจกันหรอกหรือ”
“มิใช่”
“ข้าน้อยถามเพราะอยากรู้และจะช่วยออกความคิดเห็น ยิ่งช่วยกันคิดหลายหัวย่อมดีกว่าไม่ใช่หรือ”
“มากคนมากความเจ้าค่ะ”
“เย็นชานัก” ใบหน้าซึ่งหล่อเหลาเป็นทุนเดิมเมื่อมีรอยยิ้มแสนนุ่มนวล ยิ่งทำให้เขาเป็นตัวอันตรายในสายตานาง ปกติแล้วฟางจื่อหยาเป็นคนใจเย็น ไม่ค่อยโกรธใครง่ายๆ แต่พอได้เจอเขาแบบจังๆ ใบหน้าของนางก็งอง้ำเหมือนกระดาษพับกลาง
เป่ยอ๋องกลั้นหัวเราะฮึๆ การได้แกล้งนางเป็นอะไรที่เขารักที่สุดแล้ว
“คนเราต้องกินต้องใช้ ต้องเจ็บต้องตาย คุณชายลองทายดูเจ้าค่ะ”
“หากข้าน้อยทายถูก คุณหนูจะให้อะไรเป็นรางวัล”
“โจ๊กร้อนๆ หนึ่งชาม”
“เป็นอันตกลง”
เกิดแก่เจ็บตาย.. จ้าวเทียนจื้อทบทวนคำบอกใบ้ ส่วนฟางจื่อหยาเอาแต่จ้ำเดินหนี เขาจึงเดินตามหลังและคอยดึงชายเสื้อให้นางหลบรถเข็นสินค้า บางทีก็มีกุลีแบกของหนักเดินสวนกันไปมา รถบรรทุกสินค้าเทียมลาก็มีมากมาย มีกระทั่งอูฐบรรทุกสัมภาระเดินนวยนาดผ่านฝูงคนไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งนางมาหยุดที่ร้านค้าใหญ่โตแห่งหนึ่ง ร้านนี้มีท่าเรืออยู่ตรงข้ามอีกฝั่งของสะพาน และบรรจบกับถนนที่พาผู้คนเข้าออกเมืองชั้นถัดไป
“ไม่ทราบว่าคุณชายมีความเห็นว่าอย่างไร”
“ร้านใหญ่ ทำเลดี ภายนอกสว่างไสวแต่ไม่รู้ภายในจะเป็นอย่างไร เถ้าแก่ร้านแห่งนี้จะประกาศขายงั้นหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ รบกวนคุณชายลองเข้าไปชมแล้วให้ความเห็น” ฟางจื่อหยาก้าวเข้าไปติดต่อเด็กหน้าร้าน “รบกวนเรียนเถ้าแก่ฟ่ง ข้าน้อยเถาหยาเหนียงเป็นตัวแทนร้านเถากง ประสงค์จะเยี่ยมชมร้านของท่าน”
“ทราบแล้วขอรับ” เด็กร้านเข้าไปแจ้งเจ้านาย ไม่นานนักเถ้าแก่ฟ่งก็ออกมาต้อนรับและพาชมด้านในซึ่งกว้างขวางและมีที่สำหรับพักอาศัย เนื่องจากมีเถ้าแก่หลายร้านให้ความสนใจ เถ้าแก่ฟ่งจึงให้เวลาทุกท่านเขียนตัวเลขราคาที่จะซื้อบนกระดาน ผู้ใดเสนอราคาสูงสุดก็จะได้ไปครอง เมื่อฟางจื่อหยาชมสถานที่ทุกซอกทุกมุมจนพอใจแล้วก็ขอตัวลากลับไป
“หากเป็นข้าทำงานค้าขาย ข้าก็อยากได้ร้านแห่งนี้ ตอนนี้ราคาพุ่งไปอยู่ที่สามหมื่นตำลึงทอง เจ้าจะเสนอราคาเท่าไหร่”
“ยังมิได้ตัดสินใจเจ้าค่ะ ข้าน้อยมีงบเพียงห้าพันตำลึงทอง”
“หากเจ้าขาดเงินทุน ข้าน้อยยินดีช่วยเหลือให้ท่านได้ครองร้านทำเลงามแห่งนี้สมดังใจ”
“ข้ามิได้ขาดแคลนเจ้าค่ะ เพียงแต่ราคาสูงเกินความเป็นจริงไปมาก ก่อนหน้านี้เถ้าแก่ฟ่งเสนอขายให้ข้าในราคาห้าพันตำลึงทอง แต่กลับเปลี่ยนใจเพราะเห็นว่ามีคนสนใจมาก”
“ที่แท้เถ้าแก่ฟ่งละโมบนี่เอง”
“ใครเล่าไม่ชอบเงิน หากเป็นข้าก็ทำเช่นกัน”
“ข้าสามารถทำให้เจ้าได้ร้านนั้นมาในราคาเหมือนได้เปล่า”
จังหวะก้าวเดินเรียบเรื่อยของฟางจื่อหยาพลันหยุดลง นางหมุนตัวหันหน้ากลับมา “ท่านเป็นขุนนางหรือ ข้ารู้จักขุนนางทุกคนในเมืองหลวง เหตุใดข้าจึงไม่รู้จักคุ้นเคยนามของท่าน”
“ข้าเที่ยวเล่นไปทั่ว มิค่อยได้กลับบ้าน กลับมาคราวนี้ก็กำลังจะได้รับตำแหน่ง” เขาเฉไฉ “ข้าเหลวไหล แต่พี่ชายที่รักของข้าเป็นขุนนางใหญ่คุมกระทรวง”
“ท่านจะใช้เส้นสายขุนนางบีบเถ้าแก่ฟ่งงั้นหรือ”
“ฐานะของข้าน้อยใหญ่กว่าที่คุณหนูคิด หากเจ้าพึงพอใจ ข้าน้อยสามารถกว้านซื้อที่ดินย่านนี้ทั้งหมดให้เจ้าได้ เจ้าคิดเห็นประการใด”
เดิมทีนางก็ไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับเขาอยู่แล้ว เมื่อชายขี้เมาอย่างพระองค์กล่าวอย่างโอหัง นางก็ยิ่งดูถูกเหยียดหยามโดยไม่ปิดบัง
“ขุนนางโง่เขลา”
“อะไรกัน... คุณหนูเถา ธรรมชาติของวิญญูชนมีอยู่สามประการ วางบุคลิกและประพฤติตนให้ห่างจากความหยาบหยิ่งหนึ่ง สีหน้าสงบสำรวมน่าเชื่อถือหนึ่ง ไม่พูดจากหยาบคายไร้เหตุผลหนึ่ง ไม่ทราบว่าคุณหนูเคยได้ยินหรือไม่”
วาจาเสียดสีของเขาทำให้ฟางจื่อหยาปรายตามอง ใครก็ตามที่ได้จ้องดวงตางดงามดุดันที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากก็ล้วนสะดุ้งเป็นแถวๆ
“ล่วงเกินท่านแล้ว” นางยอมกล่าวขออภัย แววตาขุ่นเคืองเมื่อครู่จางหายไปเหลือเพียงความสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว แต่พระองค์กลับตบเข่าฉาดในใจ ในที่สุดก็ยั่วให้นางโกรธได้แล้ว! ที่แท้นางโกรธได้น่าแกล้งต่อยิ่งนัก!
“เจ้าเป็นคนค้าขายที่ตรงไปตรงมาและเข้มงวด แต่น้ำใสเกินไป ปลาก็อยู่ยาก ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ก็อึดอัด เจ้าควรไหลตามน้ำถึงจะถูก การค้าขายก็เป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ หากมีช่องทางทำกำไรได้ก็อย่าได้ลังเล”
“ความเข้มงวดซึ่งเปรียบดั่งไฟอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ในความเป็นจริงทำร้ายคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่น้ำที่นุ่มนวลอ่อนโยน กลับสามารถกลืนกินชีวิตจำนวนมหาศาล”
วาจาของนางผ่ากลางศีรษะของเขาดุจฟ้าผ่า
“การค้าย่อมมีลูกเล่น แต่การคดโกงมิใช่วิถีของข้าเจ้าค่ะ ทุกอย่างล้วนมีกฎ ผู้นำตรากฎระเบียบขึ้นเพื่อบ่งชี้พฤติกรรมที่เหมาะสมแก่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา หากลำเอียงแก่ผู้มีอภิสิทธิ์เพียงไม่กี่คน หมู่มวลชนย่อมไม่พอใจและสุดท้ายก็จะสิ้นความนับถือกฎนั้นไป นี่เป็นเรื่องพื้นฐานที่ปัญญาชนทุกคนรู้ ในเมื่อแนวความคิดของเราแตกต่างกัน คุณชายอย่าได้เสียเวลาคบหาสมาคมกับข้าอีกต่อไปเลย”
ฟ้าผ่าใส่กะโหลกอีกเปรี้ยงจนหน้าสั่น เป่ยอ๋องยืนนิ่ง ส่วนฟางจื่อหยาเดินห่างไปไกลแล้ว เมื่อครู่เขาต้องการจะทดสอบนิสัยใจคอด้วยการเสนอทางลัดเอาใจนาง นึกไม่ถึงว่าจะถูกด่ากลับมาเสียหนังศีรษะลุกชัน นางไม่เพียงรู้หลักการปกครอง แต่ยังรู้อย่างลึกซึ้งจนนำมาปรับใช้สร้างกลยุทธ์การค้าอย่างชำนาญ
แปลก... แปลกคนยิ่งนัก