บทที่ 4
อพาร์ตเม้นของ ทอม เวบสเต้อร์ อยู่ที่ถนนโฮเซ่ ครั้งหนึ่งบ้านหลังนี้ เคยเป็นของสมาชิกในราชวงศ์โบนาปาร์ต ดังนั้นการตบแต่งภายในบ้าน จึงยังคงรักษาของเดิมไว้ได้ไม่น้อย ดู ๆ เหมือนสมัยที่มาควิสคนใดคนหนึ่งยังพำนักอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ ซิบิล ภรรยาของเวบสเต้อร์บอกคริสโตเฟอร์ว่า
“เรื่องแต่งบ้านนี้ต้องยกให้ทอมค่ะ แล้วคุณดูเอาเองก็แล้วกันว่ามันออกมาเป็นอย่างไร นี่เขาคิดว่าทันสมัยที่สุดแล้วนะคะนี่”
“เฮ่ย...ไม่ต้องพูดมากหรอกน่า ปอลก็รู้ ใคร ๆ ก็รู้ ว่าความคิดในเรื่องแต่งบ้านนี่น่ะมันเป็นของผม แต่ก็ด้วยความเห็นชอบของคุณมาตั้งหลายปีแล้วไม่ใช่หรือ ซิบิล”
“ก่อนหน้านี้ ปอลก็ไม่รู้เหมือนกันแหละน่า” ซิบิลว่า “จริงไหมคะปอล แต่พอคุณถูกฝึกให้รู้จักสังเกตอะไร ๆ ให้มันถี่ถ้วน คุณถึงได้รู้ เอาละคราวนี้คุณรู้ไหมว่า ทอมเขาดีใจนักหนาที่ได้พบคุณอีกครั้งหนึ่ง เขาบอกฉันในเตียงนะคะว่า คุณน่ะเป็นคนที่น่าคบที่สุด ลองนึกดูก็แล้วกันค่ะ ในเตียงตอนที่เขากําลังอยู่กับฉัน แต่เขากลับไพล่ไปคิดถึงคุณ”
คริสโตเฟอร์รับแก้วจากมือซิบิล ก้มลงจุมพิตที่แก้มเบา ๆ ซิบิลนั้นเป็นสตรีที่มีท่วงท่ากระฉับกระเฉงปราดเปรียว แล้วก็เลยนึกว่าสามีของตนเป็นคนงุ่มง่ามไม่ค่อยจะทันใจ เป็นคนถ่ายรูปขึ้น ดังนั้นจึงมีรูปของเธอติดไว้บนผนังทุกห้องในบ้านโดยฝีมือของเวบสเต้อร์ แต่ถ้ามีแขกแปลกหน้าได้รับเชิญมาที่บ้านแล้ว ซิบิลจะปลดรูปเหล่านั้นออกหมด
ที่เวบสเต้อร์แต่งงานกับเธอได้ ก็เพราะอย่างที่คนข้างนอกเขาพูดกันว่า เขาหาผู้หญิงแต่งงานด้วยไม่ได้อีกแล้ว และซิบิลก็เป็นภรรยาที่ดีที่สุดของเขา
คริสโตเฟอร์ยื่นรายงานที่ทําไว้ให้เวบสเต้อร์
“ทำไมคุณช่างเป็นคนที่ทำงานได้ดีอย่างนี้นะคะปอล” ซิบิลว่า
คริสโตเฟอร์ยิ้มให้เธอ แล้วหันไปบอกเวบสเต้อร์ว่า “อ่านรายงาน 2 บรรทัดบนนั้นเสียก่อน ถ้ามีเวลาคุณอาจจะอยากส่งไปให้หัวหน้าคืนนี้เลยก็ได้”
“เขาเป็นคนน่าเชื่อถือออกซิบิล” เวบสเต้อร์รับรอง
“คุณว่ามันเป็นคําชมหรือเปล่าคะปอล”
“ใช่สิ ซิบิล” คริสโตเฟอร์ตอบ “แล้วคุณเห็นไหมล่ะว่า สามีของคุณไม่เคยปล่อยเราไว้ตามลําพังเลย”
“โอ๊ย เขาเป็นอย่างนั้นมาตั้งนานแล้วละค่ะ ตั้งแต่เริ่มชักธงรบแล้ว เมื่อตอน 4 วันแรกที่เราไปฮันนีมูนกันนะคะ เขาพาฉันไปนิวยอร์ค ไปพักที่แอสเตอร์โฮเต็ล ตอนนั้นน่ะ ฉันยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่นะคะ ก็เลยจําอะไรได้มากหน่อย คุณรู้ไหมคะว่าทําไมเขาถึงอยากไปที่โรงแรมนั่นนัก เพราะเขาเคยเป็นทหาร และเคยได้พบปะกับบุคคลสําคัญ ๆ ที่บาร์ของโรงแรมนั่น แล้วก็เลยต้องพาฉันไปเพื่อรื้อฟื้นความหลัง เท่านั้นแหละค่ะคือเหตุผลของเขา”
ตลอดเวลาที่ซิบิล ซึ่งนั่งอยู่บนท้าวแขนเก้าอี้ตัวของคริสโตเฟอร์กําลังเจรจาปราศรัยอยู่นั้น เวบสเต้อร์ไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินที่ภรรยาพูดเลยด้วยซ้ำ เขาอ่านรายงานนั้นเงียบ ๆ อย่างสนใจ เสร็จแล้วก็หันมาพูดอย่างเป็นงานเป็นการกับคริสโตเฟอร์ว่า
“รายงานนี่เผ็ดร้อนดีจริง คุณคิดหรือว่า ทั้งเดียมห์และนูห์เกี่ยวพันกับเวียดนามเหนือ ?”
“ใช่สิ ก็มันเลิกเชื่อวอชิงตันแล้วนี่”
“แล้วนูห์ รับตําแหน่งอะไรในพรรค?”
“เรื่องนี้ไม่รู้ ผมไม่ได้ถามตรง ๆ รู้สึกวอลโกวิกซ์ ไม่พอใจในเรื่องนี้นัก”
“ไอ้ ฉิบหายนั่น” เวบสเต้อร์อุทานอย่างเหลืออด “ที่มันทําได้ก็แค่เทถังขยะเท่านั้นแหละน่า”
“เอาละ” คริสโตเฟอร์ว่า “ที่เขาต้องการรู้ก็คือ เกิดอะไรขึ้นในเวียดนามขณะนี้ เขาไม่เห็นความสําคัญของงานที่ผมทําเสียด้วยซ้ำ เขาอยากฆ่าหลุ่ง ขณะเดียวกันก็พยายามที่จะแสดงตัวเป็นบุคคลสําคัญ เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีความคิดที่จะสร้างอนุสาวรีย์ให้วอลโกวิกซ์แล้ว เลิกพูดได้”
“หลุ่งเป็นยังไงบ้าง” เวบสเต้อร์ส่งแก้วว่างให้ซิบิล
“นูห์กําลังตามฆ่า แต่มันคงยังไม่ฆ่าทีเดียวหรอก ง่ายไป มันจะค่อย ๆ ทรมานจนกว่าความลับจะเปิดเผย”
“คุณเตือนเขาให้หนีหรือเปล่า?”
“ผมถูกห้ามไม่ให้ทําอย่างนั้น”
ซิบิลถือแก้วเหล้าที่ผสมใหม่มายื่นให้สามี
“ฉันว่านะคะ ทางที่ดีแล้ว ฉันไม่ควรจะได้ยินได้ฟังเรื่องที่คุณสองคนคุยกันจะดีเสียกว่า ปอลคะ คุณมาเล่นเทนนิสกับฉันวันพรุ่งนี้นะ”
“ผมจะต้องไปโรมคืนนี้ ซิบิล”
“อ้าว ถ้าอย่างนั้นก็มาทานอาหารเย็นที่นี่สิคะ”
“คงได้ละมัง เพราะเครื่องบินออกตั้งตี 2”
“แหม...โล่งใจ” ซิบิลทําท่าโล่งใจและกระตือรือร้นอย่างแท้จริง “คุณรู้ไหมคะว่าทอมวางแผนอะไรไว้”
หลาย ๆ ครั้งที่คําพูดของซิบิลทําให้คริสโตเฟอร์ต้องประหลาดใจว่า ทําไมเวบสเต้อร์จึงไว้เนื้อเชื่อใจภรรยามากถึงเพียงนี้ เพราะซิบิลจะพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอต้องการจะพูด บางครั้งเธอจะตอบคำถามที่มีผู้ถามตั้ง 2 อาทิตย์มาแล้วด้วยซ้ำ
“ทอมเชิญ เดนนิส ฟอร์เล่ย์ มือขวาของท่านประธานาธิบดีเอาไว้ แล้วตอนนี้ ฮารี่ แม๊คกินเน่ย์ ก็ไม่ได้อยู่ในเมือง ฉันก็เลยเชิญภรรยาของเขา เป๊กกี้น่ะค่ะ มาด้วย แม่นี่แกคิดว่าตัวเองเป็นอุปทูตสหรัฐมากเสียกว่าสามีของแกเองอีก”
เวบสเต้อร์หยิบรายงานของคริสโตเฟอร์ขึ้นมาถือไว้ ก่อนที่จะเอาไปเก็บในตู้เอกสารล๊อคกุญแจอย่างเรียบร้อย เขาพูดว่า
“น้องชายของฟอร์เล่ย์ เคยถูกลอบยิงมาพร้อมกันกับผม ตัวน้องน่ะดีแน่ แต่นายคนนี้เป็นยังไงยังไม่รู้”
“เอ๊ะคุณนี่แปลก ก็อุตส่าห์ไปร่วมประชุมกับเขามาตลอดอาทิตย์ที่แล้ว ยังไม่รู้อีกหรือคะว่าเขาเป็นคนอย่างไร” ซิบิลหันไปว่าสามี “ฉันต้องเล่าให้คุณฟังค่ะ ปอล ฟอร์เล่ย์มาปารีสครั้งนี้ เพื่อจะมาบอกให้เดอโกลควรจะได้รู้ไว้ถึงนโยบายของสหรัฐ เป็นตัวแทนของท่านประธานาธิบดีน่ะค่ะ ลําพังฟอร์เล่ย์น่ะ เดอโกลไม่เชิญมาหรอกค่ะ” ซิบิลถอนหายใจทําหน้ายิ้ม ๆ เมื่อกล่าวอย่างชื่นชมว่า
“คนมหัศจรรย์อะไรอย่างนั้นก็ไม่รู้ ฉันหมายถึงประธานาธิบดีเคนเนดี้น่ะค่ะ ท่าทางเป็นคนมีเซ็กแอบพิลออกจะตายไป ตอนที่เขาจับมือฉันนะคะ คุณรู้ไหมว่าฉันบอกเขาว่าอย่างไร ฉันบอกว่า ฉันทนคุณแทบไม่ไหวแล้วละค่ะ ท่านประธานาธิบดี”
“แล้วเขาตอบคุณว่าอย่างไรละ ซิบิล”
“เขาว่า ดีใจจริงที่ได้พบคุณ แล้วเขาก็เดินผ่านฉันไปหาแจ๊กกี้น่ะสิคะ”
เวบสเต้อร์เชยคางภรรยา
“ซิบิล คุณต้องไม่เล่าเรื่องอย่างนี้ให้ใครฟังอีกนะ โดยเฉพาะ เมื่อฟอร์เล่ย์มาถึงที่นี่ เขาไม่รู้จักนิสัยของคุณดีพอ”
“โอ๊ย ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันจะทําตัวให้น่านับถือทีเดียว แหม...ทำอย่างกับว่านายคนนี้น่ะ กุมชีวิตชาวอเมริกันไว้ทั้งประเทศอย่างนั้นแหละ เป๊กกี้ แม๊กกินเน่ย์ก็เหมือนกันเที่ยวเล่าให้ใครต่อใครฟังว่า คนในซิ่มบาต้องการข้าวพร้อม ๆ กับที่ต้องการความเคารพนับถือ คือพูดดถูกเขาน่ะค่ะ ว่าเป็นขอทานแล้วก็ยังหยิ่งอะไรทำนองนั้น ฉันไม่ชอบหน้าเท่าไรนักหรอก”
“เฮ่ย...ไปผสมมาร์ตินมาให้อีกแก้วดีกว่าน่า” เวบสเต้อร์พูดยิ้ม ๆ
“อ๋อ...ได้สิคะ ฉันต้องคอยรับใช้คุณอยู่อย่างนี้แหละค่ะ ในขณะที่คุณกับปอลคุยกันเรื่องหักหลังเอย เรื่องฆ่าฟันทรมานกันเอย”
“เราไม่ได้สนุกกับมันนักหรอกน่า”
“โอ๊ย สนุกสิคะ มันต้องสนุกแน่ ๆ เชียวทั้งสองคนนั่นแหละ” ซิบิลกระแทกเสียงใส่สามี เป็นผลให้บุรุษทั้งสองหันมาหัวเราะให้กันอย่างขบขันในท่าทางของเธอ