บทที่ 5
เดนนิส ฟอร์เล่ย์มาถึงบ้าน ทอม เวบสเต้อร์ พร้อมกับเป๊กกี้ แม๊กกินเน่ย์ ท่าทางของเขาดูจะไม่ใช่คนที่มีความสุขนัก เขาก้มศีรษะให้ซิบิล และคริสโตเฟอร์ เมื่อได้รับการแนะนํา แต่ไม่ได้ส่งมือให้จับ ฟอร์เล่ย์ เป็นคนผอมสูง มีประวัติเป็นนักบาสเกตบอลล์ของมหาวิทยาลัย ขณะที่กําลังพูด มือไม้ของเขาจะจับต้องส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็ยกมือขึ้นลูบผม แกะสายนาฬิกาออกแล้วใส่เข้าไปใหม่ ดวงตาสีฟ้าจางของเขามีแววฉลาด มองตรงไปยังคู่สนทนา ใบหน้ามีริ้วรอยของแผลเป็นเล็ก ๆ อยู่ทั่ว เครื่องแต่งกายของเขาเลียนแบบอย่างมาจากท่านประธานาธิบดีเคนเนดี้โดยตรง เครื่องดื่มที่เขาชอบก็คือไดควิรี่ ไม่ต้องผสมน้ำตาล สูบซิการ์มวนยาว คู่สนทนาแรกของเขาแทนที่จะเป็นเจ้าของบ้าน กลับเป็นเป๊กกี้ แม็กกินเน่ย์ และที่ซิบิลกับคริสโตเฟอร์สังเกตเห็นก็คือ เป๊กกี้จุดซิการ์ให้เขาด้วยไล้เต้อร์ตั้งโต๊ะ
“ดูท่าทางของเขาสิ” ซิบิลว่า “กระทั่งเสียงพูดก็ลอกมาจากท่านประธานาธิบดี พวกหน้าใหม่ละก้อเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น คุณสังเกตหรือเปล่าคะ ยิ่งใกล้บัลลังก์เท่าไหร่ก็ยิ่งแพร่เชื้อได้เร็วเท่านั้น”
ขณะที่ซิบิลวิจารณ์อยู่นั้น ท่าทีของฟอร์เล่ย์ที่กำลังรับฟังเรื่องราวบางอย่างจากเป๊กกี้อยู่ดูจะพอใจมาก เขาผงกศีรษะรับรองคําพูดของเธออยู่ตลอดเวลา จนในที่สุด เขาก็ถือแก้วว่างของเธอมาส่งให้ซิบิล
“ที่นี่เหมาะที่จะเป็นบ้านจริง ๆ นะครับ” ฟอร์เล่ย์ยิ้มแย้ม “คุณค้นมันพบได้อย่างไรนะ”
“แหม...ธรรมดาเหลือเกินละค่ะ” ซิบิลยิ้มแย้มตอบ “ก็เพราะพวกฝรั่งเศสคิดว่าชาวอเมริกันจะต้องเช่าทุกสิ่งทุกอย่างจากเขานะสิคะ”
ฟอร์เล่ย์มองซิบิลอย่างพินิจพิจารณา
“พนันกันก็ได้” เขาว่า “ผมว่าคุณเป็นผู้หญิงที่หลักแหลมที่สุดในปารีสนี่” เขายิ้มใส่ตาเธอด้วยท่าทางเจ้าชู้ “อ้อ...ผมขอโซดาเปล่านะครับ เที่ยวนี้เติมน้ำแข็งให้หน่อยก็ดี”
ซิบิลรับแก้วจากมือฟอร์เล่ย์แล้วเดินตรงไปที่บาร์ ฟอร์เล่ย์หันมาทางคริสโตเฟอร์เหมือนรอเวลาอยู่แล้ว
“เวบสเต้อร์บอกผมว่า คุณเพิ่งมาจากไซง่อน”
“ครับ”
“คุณคงได้พบกับเดียมห์และน้องชายของเขาด้วยสินะ”
“ผมพบที่งานเลี้ยงรับรองที่นูห์จัดขึ้น ส่วนใหญ่ฟังที่เขาคุยกับคนอื่น ๆ มากกว่า”
ฟอร์เล่ย์รับแก้วจากมือซิบิล
“ผมอ่านเรื่องที่คุณเขียนลงในหนังสือพิมพ์แล้ว เขียนดีนี่ครับ ทําไมคุณไม่เขียนทุกอย่างที่รู้ลงไปเล่า”
“ปรกติแล้วผมไม่เขียนเรื่องที่ไม่รู้จริง” คริสโตเฟอร์ตอบ
“เอาละ ถ้าอย่างนั้น เรามาพูดกันตรง ๆ ผมก็มีตาเหมือนกัน และผมก็รู้ว่าคุณทํางานกับเวบสเต้อร์”
“อย่างนั้นหรือครับ ?”
“ผมยืนยันได้ในนาทีแรกที่เห็น เอาละ คุณเพิ่งมาจากไซง่อนใหม่ ๆ แล้วผมก็รู้ด้วยว่า งานของคุณที่นั่นไม่เลว ผมอยากได้รายงานนั้น ถ้ามีประโยชน์จริง ผมจะเอาเรื่องเสนอนาย เมื่อพบกันพรุ่งนี้”
ดูเหมือนจะมีคน ได้ยินข้อความที่เขาโต้ตอบกัน เวบสเต้อร์คนหนึ่งละ กล้องยาเส้นที่ดับแล้วคาอยู่ระหว่างฟัน ใบหน้าของเป๊กกี้ แม๊กกินเน่ย์สดใสขึ้น เธอเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า เคยเห็นชื่อคริสโตเฟอร์บนปกหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ฉบับที่มีชื่อเสียงที่สุดของอเมริกา และเคยอ่านข้อเขียนของเขา แต่ไม่นึกว่า จะเป็นตัวจริงของคริสโตเฟอร์ที่เธอพบในวันนี้เท่านั้น
“ผมว่า” คริสโตเฟอร์กล่าวอย่างครุ่นคิด “ต่อไปนี้ อเมริกาเห็นจะต้องโดดเดี่ยวเสียแล้ว”
“ทำไม”
“เพราะเวียดนามกําลังคิดว่า อเมริกันพยายามที่จะล้มล้างรัฐบาลของโงดินเดียมห์”
“เรารู้จักคนพวกนี้ดี” ฟอร์เล่ย์ตอบ “พวกนี้ไม่ชอบคนอเมริกันทั้งนั้น แล้วไงอีก”
คริสโตเฟอร์ไม่ตอบ
“คุณคิดว่ารัฐบาลสหรัฐจะร่วมงานกับเดียมห์ได้หรือ ?” ฟอร์เล่ย์ถาม
“อาจจะไม่ได้ เพราะเดียมห์ต้องการที่จะหยุดการทําสงคราม และให้อเมริกันออกจากเวียดนามให้หมด น้องชายของเขาพูดเรื่องนี้ในเวียดนามเหนือ พวกนี้มีญาติอยู่ที่ฮานอย ทั้งโฮจิมินท์และโงดินเดียมห์ติดต่อกันมาก่อน”
“อย่างนั้นก็สวย คุณคิดไหมว่า เราอาจจะต้องคิดดอกเบี้ยกับการที่เขาพูดเรื่องของเรากับโฮจิมินห์ลับหลังเราก็ได้”
เวบสเต้อร์ออกเดินช้า ๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าฟอร์เล่ย์กับคริสโตเฟอร์ ฟอร์เล่ย์ก้าวเข้าไปหาคริสโตเฟอร์อีกก้าวหนึ่ง เขาเห็นอาการของเวบสเต้อร์ และตอนนี้ไม่ต้องการให้ใครมาขวางกั้นเขาไว้
“เขาขอความช่วยเหลือจากเรา” ฟอร์เล่ย์พูด “เราเองก็ต้องเอากําลังทางทหารเข้าเป็นเครื่องประกัน แล้วคุณคิดว่าเราจะอยู่ไหวไหม เราต้องอดทนต่อการฉ้อราษฎร์บังหลวง แล้วเงินเหล่านั้น ก็เอาไปเลี้ยงไอ้พวกที่นิยมลัทธิฟาสซิสม์ แล้วปล่อยให้โครงการทั้งหลายแหล่จมน้ำครำอย่างนั้นรึ ?”
“ผมไม่เห็นมันจะแตกต่างกันที่ตรงไหน นอกจากจะเป็นการใช้เงินผิดประเภทและผิดระเบียบทางการเมืองของอเมริกาไปหน่อย”
ใบหน้าของฟอร์เล่ย์แดงจัด เขาเอานิ้วผลักหน้าอกของคริสโตเฟอร์
“เสรีภาพของประชาชนทั้งที่เข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ และประชาชนก็หมายถึงประเทศทั้งประเทศ ถ้าคุณคิดว่าเราต้องการจับเวียดนามไว้ เพราะกลัวว่าจะต้องผิดหวังในการเลือกตั้งคราวหน้าละก้อ หมายความว่าคุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเคนเนดี้และคนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาเลย”
“ผมไม่มีคําตอบสําหรับเรื่องนี้หรอกครับ คุณฟอร์เล่ย์”
เวบสเต้อร์วางมือเขาลงบนแขนของฟอร์เล่ย์
“ซิบิลบอกว่าอาหารพร้อมแล้ว เชิญครับ”
ฟอร์เล่ย์จ้องมองหน้าคริสโตเฟอร์
“คุณคิดว่าเราควรทําอะไรที่นั่น...ไม่ทําอะไรเลยอย่างนั้นรึ ?”
“บางที...การไม่ทําอะไรเลย...ก็คือการกระทําที่ดีที่สุดเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้น ก็จําไว้ ว่าไอ้ความคิดของคุณน่ะ ไดโนเสาว์เต็มที”
ฟอร์เล่ย์ส่งแก้วที่ถืออยู่ในมือให้เวบสเต้อร์ และเดินนําเข้าไปในห้องอาหารโดยมีซิบิลกับเป๊กกี้เดินตามไปติด ๆ
อารมณ์ของฟอร์เล่ย์ดีขึ้น เมื่อเข้าร่วมโต๊ะอาหารที่มีซิบิลอยู่ทางขวาและเป๊กกี้อยู่ทางซ้าย เขาตั้งต้นคุยโขมงเกี่ยวกับประธานาธิบดีเคนเนดี้
“ทั่วทั้งทําเนียบมีแต่หมากับเด็ก หนังสือดี ๆ และรูปภาพที่มีค่าทั้งนั้น” ฟอร์เล่ย์ว่า “แล้วก้อ...เสียงดนตรี” ฟอร์เล่ย์ทําท่าชื่นชม
“ที่จริงมันก็เหมือนบ้านของคนธรรมดานี่เอง เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยที่แฟรงคลินรูสเวลอยู่แล้ว สําหรับตัวผม ถ้าอยากจะพบท่านประธานาธิบดีเมื่อใด ก็เพียงแต่เดินเข้าประตูห้องไปก็ได้พบแล้ว ท่านเป็นคนง่าย ๆ ประตูห้องทํางานของท่านจะเปิดออกสู่โลกภายนอกเสมอ...บางทีนะ...บางทีท่านนึกสนุกขึ้นมา ท่านก็ยกหูโทรศัพท์ไปล้อเล่นกับพนักงานที่ทํางานอยู่ในทําเนียบ ถามไถ่เรื่องงานการของเขาอย่างเป็นกันเองที่สุด” ฟอร์เล่ย์กวาดสายตาไปยังบุคคลที่อยู่โดยรอบ และออกจะพอใจ เมื่อเห็นว่า ทุกคนให้ความสนใจในเรื่องที่เขากําลังเล่าอยู่
“ท่านจะบอกว่า คุณสน๊อดดร๊าส นี่ประธานาธิบดีของคุณพูดนะ ทําไมวันนี้ถึงต้องจมอยู่กับงานล่ะ วันหยุดไม่ใช่รึ ความดันขึ้นหรือเปล่า”
“แหม...” เป๊กกี้อุทานอย่างชื่นชมสุดซึ้ง “ถ้าข้าราชการทุกคนได้อัธยาศัยของท่านมาสักนิดก็จะดีนะคะ...” เธอทำท่าแย้มยิ้ม “ทุกวันนี้น่ะ เราได้แต่หวังกันว่า ข้าราชการทุกคนจะเป็นกันเองกับประชาชนอย่างนี้ พนักงานของสถานทูตน่ะ มีแต่ความคิดกับกําลังกายเท่านั้น แต่ความเป็นกันเองที่น่าจะเป็นนโยบายหลักของประเทศใหญ่ ๆ อย่างเรา ยังไม่เห็นมีนะคะ”
“อ้าว...แต่ที่คริสโตเฟอร์เขาคุยกับผมเมื่อครู่นี้น่ะ เขามีความเห็นไม่เหมือนคุณนะเป๊กกี้” ฟอร์เล่ย์เริ่มเสียดสี
“เพื่อนของทอมอีกหลายคนแหละค่ะ ที่จะต้องอบรมกันเสียใหม่” เป๊กกี้จีบปากว่า
“คุณว่าอย่างไรนะคะ” ซิบิลเสียงแข็งขึ้นมาทันที
“โอ... เราทุกคนรู้นิสัยเพื่อนของสามีคุณทั้งนั้นแหละค่ะ” เป๊กกี้โต้ “จริงไหมคะคุณฟอร์เล่ย์ คุณเคยเห็นเวลาที่ท่านประธานาธิบดีพัทลูกกอล์ฟไหมล่ะคะ เวลาที่ท่านใช้ความคิดน่ะ คุณคิดว่าท่านไม่รู้หรือว่าข้าราชการของท่านเป็นอย่างไร คุณฟอร์เล่ย์คงไม่เอาเรื่องตลกมาเล่าให้เราฟังแน่ ๆ”
“ครับ” ฟอร์เล่ย์ยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “เป็นความจริงที่ว่า ท่านประธานาธิบดีเล่นกอล์ฟเหมือนกัน แต่เล่นเพื่อฆ่าเวลา หรือเวลาที่มีอะไรยุ่งเหยิงมากเท่านั้น บางทีพวกเราก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมด้วย แต่มันก็ดูเป็นงานเป็นการเหลือกำลัง มันหมายถึงว่าท่านมีเรื่องสำคัญที่จะต้องตัดสินใจ และแต่ละเรื่องที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายทั้งนั้น แต่คุณรู้ไหม หัวใจของท่านประธานาธิบดีนั้นเหมือนแก้วผลึก เรียบใส และสะท้อนได้งดงามแวววาวเสมอ และการตัดสินใจของท่านมักจะดีเยี่ยม ท่านรู้จักจัดสถานการณ์ และเข้าใจมันได้อย่างลึกซึ้ง เราเพียงแต่เสนอเรื่องขึ้นไปเท่านั้น ท่านก็สามารถที่จะรับรู้มันไว้ได้ทันที”