บทย่อ
เมื่อวันที่ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ แห่งสหรัฐอเมริกา ถูกลอบสังหารในดัลลัสนั้น หยาดน้ำตาแห่งฤดูใบไม้ร่วง หล่นพราวลงทั่วแผ่นดินอเมริกา และนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ยังไม่มีใครช่วยขับหยาดน้ำตานั้นให้เดือดแห้งลงได้.....และหยดน้ำตาหยาดหนึ่งนั้น ได้จารึกไว้ในหนังสือเล่มนี้ "เธอะ เทียร์ส ออฟ ออตั้ม” “...ท่านครับ มันเป็นฤดูใบไม้ร่วงในอเมริกาจริง ๆ เสียด้วย ในวาระที่ท่านประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกลอบสังหาร...วันที่ 22 พฤศจิกายน...คําว่า “เธอะ เทียร์ส ออฟ ออตั้ม” นั้น ทําให้ประชาชนชาวอเมริกันต้องเสียน้ำตาไปมากมายสักเพียงไหนสําหรับฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น ท่านก็คงทราบแล้ว..... “...คุณจะเห็นได้ว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในดัลลัสครั้งนั้น เราได้มองเห็นน้ำใจของคนอเมริกันครั้งใหญ่หลวง คือความร่วมอยู่ในความทุกข์อันเดียวกันนั่นแสดงว่าประชาชาติอเมริกันนั้นมิได้แตกแยก...ซึ่งผมขอย้ำอย่างภาคภูมิใจ...” -------------------------------
บทที่ 1
...บทหนึ่งจากคําโคลงของวอลแตร์กล่าวไว้ว่า
“ในการดํารงชีวิตอยู่นั้น มนุษย์เป็นหนี้การตัดสินใจอยู่ประการหนึ่งคือการตายอย่างมีสัจจะ”
ปอล คริสโตเฟอร์ นับว่าเป็นบุรุษผู้โชคดีอยู่ไม่น้อยค่าที่มีผู้หญิงมาตกหลุมรักเข้าถึง 2 คน และผู้หญิงทั้งสองคนนั้นต่างก็ข้องใจอยู่ในปัญหาอันเดียวกันคือ เหตุไฉนเขาจึงเลิกเขียนหนังสือ หรือกาพย์กลอนที่เคยส่งชื่อเสียงให้เขาเป็นอย่างมากเสีย...แคทธี่ ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขานั้น ระบุลงไปเลยว่า ต้องมีอีหนูที่ไหนสักคนหนึ่งเป็นแน่ ที่ทำลายพรสวรรค์ในเรื่องนี้ของเขาเสีย ดังนั้น เธอจึงตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเทพลังรักทั้งหมดในตัวให้กับเขา โดยหวังว่า บางทีการทําเช่นนั้น จะเค้นความลับในเรื่องนี้ออกจากร่างกายของเขาได้...แต่ก็เหลวเปล่า เพราะปอลคิดแล้วว่า เธอไม่มีสิทธิที่จะต้องรู้ในเรื่องนี้ เพราะถึงรู้ก็จะไม่มีวันเข้าใจ ดังนั้น สิ่งที่แคทธี่ปฏิบัติต่อเขาคือหนีกลับไปอเมริกา
คราวนี้ก็มาถึงอีหนูของเขา เจ้าหล่อนผู้นี้เกิดหลงใหลเขาขึ้นมา หลังจากที่ได้อ่านหนังสือประเภทบทกวีเล่มหนึ่งที่เขาเขียนขึ้นไว้เมื่อ 15 ปีที่ล่วงมาแล้ว ซึ่งถ้าจะพูดกันชัด ๆ ก็คือ เป็นหนังสือเล่มเดียวที่เขาเขียนขึ้นไว้ ก่อนหน้าที่จะเริ่มงานในหน้าที่ “สายลับ” ให้กับองค์การซีไอเอ
ก็จดหมายของเจ้าหล่อนคนนี้นี่เองที่เขานั่งอ่านไปยิ้มไป ขณะที่รอเวลาเครื่องบินเที่ยวที่จะนําเขาไปสู่โรม ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพมหานคร...จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงโฆษกของท่าอากาศยาน ประกาศกําหนดเวลาของสายการบินที่เขาจะเดินทางเป็นภาษาไทย...เขารอจนกระทั่งได้ยินประกาศนั้นเป็นภาษาอังกฤษ จึงลุกขึ้น และเดินไปยังประตูทางออก ...ซึ่งถ้าจะมีใครสักคนหนึ่งที่กําลังจับตาหรือเฝ้าติดตามเขาอยู่แล้วจะจับสังเกตไม่ได้เลยว่า โดยแท้ที่จริงแล้ว เขาเข้าใจภาษาไทยเป็นอย่างดี (เรื่องนี้เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว ซึ่งจะต้องอธิบายในตอนหลัง)
คริสโตเฟอร์ลอดตัวเข้าไปในเครื่องบินอเมริกันที่ฉ่ำด้วยไอเย็น แอร์โฮสเตสส่งยิ้มหวานมาให้เป็นการต้อนรับ แต่เขาไม่ได้ยิ้มตอบ เพราะตอนนี้ฟันกําลังดํา ด้วยยาถ่านที่เขาเคี้ยวอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันโรคท้องร่วง
เที่ยวบินนี้ เขากําลังจะเดินทางไปโรม หลังจากที่เขาได้เดินทางผ่านย่านอาเซีย ซึ่งเขาได้ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ และได้สิ้นสุดลงเมื่อคืนนี้ ซึ่งนับเป็นคืนสุดท้ายของการเดินทางช่วงนี้...ซึ่งเขาใช้มันในกรุงเทพฯ กับบุรุษชาวเวียดนามคนหนึ่งชื่อ หลุ่ง
คริสโตเฟอร์ถอนใจ ชีวิตที่เต็มไปด้วยการเดินทาง มันก็ยากที่จะอธิบายเหมือนกันว่า ทําไมเขาจะต้องตั้งหน้าตั้งตาเดินทางถึงเพียงนี้ ทําไมเขาจะต้องไป และในการเดินทางเเต่ละครั้ง เขาก็จะต้องเป็นฝ่ายกำหนดเอาเองว่าจะไปที่ไหน และใช้เวลานานสักเท่าไร...
เมื่อค่ำวานนี้เองที่เขาได้พบกับหลุ่ง อากาศริมฝั่งแม่น้ำเย็นชื่นพอี่จะเดินคุยกันได้ คนทั้งสองจึงเดินเล่นเรื่อย ๆ เลียบไปตามฝั่งน้ำ และการ “คุย” สําหรับเขาหมายถึงการที่หลุ่งเป็นฝ่าย “รายงาน” เหตุการณ์ต่างๆ ให้เขาทราบ ซึ่งกว่าจะเสร็จก็กินเวลาไม่น้อย
จากนั้นทั้งสองก็เข้าไปในภัตตาคาร สั่งอาหารไทยมาชิม สั่งแชมเปญมาดื่มและคุยกันต่อด้วยภาษาฝรั่งเศส
ดึกมากแล้ว ตอนที่คริสโตเฟอร์ส่งเงินจํานวนหนึ่งให้ผู้ร่วมงานของเขาเอาไปจ่ายให้กับอีหนู ซึ่งถูกเรียกมานั่งข้าง ๆ หลุ่ง...มือเล็ก ๆ ของอีหนูมิได้เงียบเหมือนท่าทีที่สงบเสงี่ยมนั้นเลย มันไต่อยู่บนตักของหลุ่ง...หลุ่งทําหน้ายิ้ม ๆ ถอนหายใจแรงและหลับตาลงอย่างเพลิดเพลิน แต่มือของเขาก็ตอบโต้อยู่กับอีหนูเหมือนกัน ด้วยการไต่ลงไปบนลวดลายดอกไม้บนเสื้อที่หล่อนสวมใส่ จากลายดอกไม้ ก็ค่อย ๆ เลื่อนเข้าไปตามผิวเนื้อและซอกคอ...ตอนนั้นมันเกือบจะตีสามอยู่แล้ว
“ยืมเงินหน่อยสิ” ฤทธิ์แอลกอฮอล์ฉาบละไอเสียงของหลุ่ง
คริสโตเฟอร์ สบัดแบ๊งค์ร้อยออกมาให้หลุ่ง 2 ใบ หลังทําท่าจะจูงนางของเขาออกไป แต่ไม่ก่อนที่จะหันมาหลิ่วตาให้คริสโตเฟอร์
“เห็นจะต้องพิสูจน์สักหน่อยว่าจริงไหมที่เขาว่ากันว่า อีหนูพวกนี้ เต้นระบําให้คุณดูก่อนอย่างว่าก็ยังไหว” เขาพูดเป็นภาษาฝรั่งเศสเร็วปรื่อ
คริสโตเฟอร์ยิ้มรับ พยักเพยิดให้หลุ่ง แล้วก็เอาใบละร้อยส่งให้หลุ่งอีกหนึ่งใบ
หลังจากที่หลุ่งออกไปแล้ว เขายังคงนั่งอยู่อีกพัดใหญ่ กับบาร์เทนเด้อร์ที่ง่วงหงำเกือบตีสี่แล้วรึนี่...เขาเรียกบาร์เทนเด้อร์ที่สับปะหงกอยู่กับโต๊ะให้ลุกขึ้นมาคิดเงิน...และหลังจากชําระเงินแล้ว เขาก็เดินออกไปข้างนอกเหมือนคนที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง
คริสโตเฟอร์เดินทอดน่องช้า ๆ ไปตามทางเดินที่ยังสงัดเงียบอยู่ ระเหยของไออากาศข้างนอกคือกลิ่นขยะ ผักเน่าๆ ฝาท่อระบายน้ำที่เปิดทิ้งไว้ข้างถนน ขอทานโรคเรื้อนคนหนึ่งนอนอยู่บนทางเท้า พอได้ยินเสียงคนเดินผ่านมาก็เผยอเปลือกตาขึ้น ร้องครางออกมาเบา ๆ คริสโตเฟอร์หย่อนเงินเหรียญลงในขันขอทาน แล้วก็เดินเลยไป
เขาไม่รู้ตัวว่าเดินมานานสักเท่าไร แต่มันก็มาถึงริมฝั่งน้ำเข้าจนได้ และที่ท่าน้ำนั่นเอง เขาว่าจ้างคนเรือคนหนึ่งให้พาไปเที่ยวตลาดน้ำ ตอนนั้น เขาเหลือเวลาก่อนที่จะออกเดินทางไปสนามบินถึง 3 ชั่วโมง...อากาศในแม่น้ำฉ่ำชื่น ดูเหมือนเขาจะเป็นคนผิวขาวเพียงคนเดียวที่ยังไม่ได้หลับ ขณะที่คนพื้นบ้านเริ่มตื่นกันบ้างแล้ว และกำลังกระจายกันออกไปทํามาหากิน
เมื่ออยู่กับตัวเอง เขาตั้งต้นคิดเงียบ ๆ...น่าแปลกที่เขาคิดถึงหลุ่ง เขากําลังคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ที่ห้องน้ำในบาร์ ตอนที่หลุ่งพิมพ์ลายนิ้วมือลงบนใบเสร็จรับเงินที่เขาเตรียมมาให้ เพราะหลังจะต้องรับ “เงินเดือน” เมื่อเสร็จสรรพแล้ว หลุ่งก็เอาวิสกี้ในแก้วที่ถือติดมือเข้าไปในห้องน้ำ ล้างรอยหมึกพิมพ์ออกเสีย ตอนนี้เองที่คริสโตเฟอร์ชูซองที่อัดแน่นด้วยเงินสวัสฟรังส์ สีน้ำเงินสดใสล่ออยู่ตรงหน้าของหลุ่ง
“ผมจะเก็บเงินนี่ไว้ให้คุณตอนเช้านะ”
หลุ่งซึ่งมักจะจบคืนของเขากับอีหนูอย่างสม่ำเสมอพยักหน้ารับ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่เชื่อ เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของคริสโตเฟอร์อยู่แล้ว และก็ได้ตกลงกันแล้วนี่ว่า เช้าวันนี้เราจะต้องพบกันอีกครั้งหนึ่ง ตั้งนาฬิกาให้ตรงกันเสียด้วยซ้ำ
แต่ขณะนี้...ขณะที่หลุ่งกําลังหลับ ไหลไม่ได้สติอยู่กับอีหนู คริสโตเฟอร์กําลังล้วงซองเงินนั้น ออกมาจากด้านในของกระเป๋าเสื้อนอก เขาหยิบแผ่นหมึกพิมพ์ออกมาพร้อมกันสอดลงไปในซองเงิน ผนึกซองนั้นเสีย แล้วหย่อนมันลงไปข้างเรือ... เขาจ้องมองดูซองนั้น หมุนคว้างอยู่ในสายน้ำสีน้ำตาลอ่อนของแม่น้ำเจ้าพระยา จนมันจมหายไป
เขายิ้มให้ตนเองอย่างพอใจ หลุ่งไม่เข้าใจดอกว่า ทำไมเขาจึงต้องทำเช่นนั้น อาจจะเป็นเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อกันอย่างมากก็เป็นได้ หลุ่งน่าจะรู้นี่นาว่า คนที่เป็นสายลับนั้น บางครั้งก็จำเป็นต้องเสียสละกันบ้าง แต่หลุ่งจะรู้ตัวหรือไม่ว่าตนเองอยู่ในฐานะสายลับ ยังเป็นสิ่งที่น่าสงสัย...เพราะกับเขาแล้ว หลุ่งจะทํางานให้อย่างเต็มอกเต็มใจเสมอ โดยที่คริสโตเฟอร์ก็ช่วยเหลือทางด้านการเงินเป็นการตอบแทน มันเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างสมน้ำสมเนื้ออยู่แล้ว แม้ว่าคริสโตเฟอร์จะเป็นคนขาว และหลุ่งเป็นคนผิวเหลือง แต่เขาก็ออกจะเชื่อมั่นในตัวคริสโตเฟอร์อยู่มาก ๆ เห็นจะมีอยู่ครั้งหนึ่งเหมือนกันที่หลุ่งถามคริสโตเฟอร์ซื่อ ๆ ว่า
“เงินที่คุณให้ผมนี่ เป็นเงินดี ๆ จากคนดี ๆ อย่างคุณใช่ไหม?”
คริสโตเฟอร์ยิ้มใส่ตาหลุ่ง ขณะที่ตอบว่า “ใช่”
แต่แล้ว เขาเองกลับเป็นฝ่ายโยนเงินหมื่นฟรังส์ลึกลับนั้นลงไปในแม่น้ำ ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากจะเชื่อความคิดของตนเองที่ว่า ชาวเวียดนามผู้นั้น จะเชื่อว่าการสูญเสียเงินจำนวนนี้ย่อมหมายถึงว่า เขาได้สูญเสียความคุ้มครองจากผู้ที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจเสียแล้ว หลุ่งจะยังคงต้องเชื่อมั่นว่า คริสโตเฟอร์จะกลับไปหาเขาอีก เพราะเคยทําอย่างนั้น...แต่แท้ที่จริงแล้ว หลุ่งเองต่างหากที่ต้องกลับ...กลับไปสู่ไซง่อนและจะต้องตายที่นั่น