บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

ตอนนี้ คริสโตเฟอร์ปลอดภัยแล้ว ถ้าตํารวจลับในไซง่อนจะสอบสวนหลุ่งก่อนที่จะสังหารเขาเสีย และถ้าหลุ่งจำเป็นที่จะต้องเปิดปากพูด ก็คงจะเล่าให้ตำรวจฟังได้เพียงว่าบุรุษที่เขารู้จักนั่นเป็นชาวอเมริกัน ผมสีบรอนซ์ ผู้มีนามว่า “ครอฟอร์ด” พูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้ความ...มันก็เท่านั้นเอง

และนี่เองคือพรสวรรค์ประการหนึ่ง ที่ติดค้างจะต้องอธิบายไว้ตั้งแต่ตอนต้น สําหรับคุณลักษณะพิเศษของคริสโตเฟอร์คือ เขามีหูไว้สําหรับเรียนรู้สําเนียงของทุกภาษา ครั้งใดก็ตามที่เขาได้ยินคนพูดกันด้วยสําเนียงใหม่ ๆ แปลก ๆ เขาจะบันทึกมันไว้ในสมองอย่างรวดเร็ว และเพียงไม่นานเขาก็จะเข้าใจภาษานั้น ไม่มาก ก็น้อย แม้ว่าจะไม่เคยเรียนมาก่อนก็ตาม และจากพรสวรรค์นี้เอง ที่ทำให้ครั้งหนึ่ง เขาเป็นผู้ที่มีความสามารถในการเขียนบทกวีได้อย่างมีชื่อเสียง

เขากําลังรําลึกถึงคําพูดที่เขากับบาร์เน่ย์ วอลโกวิกซ์ บุรุษจากศูนย์ในไซง่อน ได้เคยพูดคุยกันก่อนหน้าที่เขาจะเดินทางมากรุงเทพฯเพื่อพบหลุ่ง ที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งกลางกรุงไซง่อน

“ผมว่าไอ้หลุ่งของคุณรากเลือดแน่คราวนี้ เชื่อผมเถอะน่า ว่าพวกญวนนี่ไม่เคยเชื่อผมเลยว่า คนอเมริกันจะพูดฝรั่งเศสได้อย่างที่คุณพูด ไอ้พวกนี้อยู่ใต้ตีนฝรั่งเศสมานาน เลยคิดว่าพวกมันเท่านั้นที่พูดภาษานี้ได้ดี เอาเป็นว่า คราวนี้คุณจะต้องปลดเบ็ดเสียทีแล้วละปอล”

“ผมว่าหลุ่งไม่น่าจะถึงกับต้องถูกจับนะ เพราะเท่าที่รู้มา เขาก็ไม่ได้ติดต่อเกี่ยวข้องกับพวกเวียดกงนี่”

วอลโกวิกซ์บิขนมปังใส่ปาก ยกไวน์ดื่มตามเข้าไปละลายมัน เขาเป็นคนที่มีเบื้องหลังเกี่ยวกับเรื่องฟัน ถึงขนาดที่ต้องเอาออกหมดทั้งปาก ทั้งนี้มิได้เป็นเพราะปัญหาทางด้านสุขภาพหรือต้องการที่จะเสริมสวยแต่อย่างไร แต่เป็นเพราะ พนักงานสอบสวนชาวญี่ปุ่นในพม่า พยายามที่จะถอนมันออกมาทั้งรากทั้งโคน เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งสำหรับคนที่มีอาชีพอย่างเดียวกันนี้ เขาเชื่อกันว่าผู้ที่ผ่านการทรมานถึงขั้นนั้นมาแล้ว และยังสามารถที่จะยืนหยัดอยู่ได้ ย่อมเป็นผู้ที่เชื่อถือไม่ได้อีกต่อไป

วอลโกวิกซ์รู้ตัวดีในเรื่องนี้

“ความจริงกับความไม่จริงน่ะ มันต่างกันตรงไหนนะ คุณรู้ไหมคริสโตเฟอร์ว่าคุณช่วยเหลืออะไรไอ้หมอนั่นไม่ได้แล้ว”

“น่าจะได้” คริสโตเฟอร์ตอบอย่างครุ่นคิด “ตอนนี้หลุ่งอยู่ในกรุงเทพฯกําลังคอยที่จะพบผม ผมน่าจะสั่งให้เขาอยู่ที่นั่นต่อไปได้”

“แล้วมันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นบ้างล่ะ นูห์ก็บอกเราอยู่แล้วว่า มันกําลังจะตามไปลากตัวไอ้หมอนั่นในกรุงเทพฯ เพราะต้องการที่จะพิสูจน์ว่า เราให้ความช่วยเหลือมันมากแค่ไหนและถ้าคุณทํา มันก็จะต้องรู้ทันทีว่าเรากําลังช่วยเจ้าหลุ่งนี่อยู่ ซึ่งเราจะยอมอย่างนั้นไม่ได้” วอลโกวิกซ์แทรกความหนักแน่นลงไปในน้ำเสียง “เรายุ่งยากกับเจ้าหมอนั่นกับพรรคการเมืองซังกะบ๊วยมันมามากแล้ว”

“แต่ไอ้พวกนั้นจะฆ่าเขา” คริสโตเฟอร์ว่า

“ใช่ ไอ้พวกนั้นจะต้องตามฆ่ามันในกรุงเทพฯแน่ถ้าจําเป็น เราช่วยเหลือมันมากไม่ได้แน่ คุณเข้าใจไหม...ผมว่า คุณทําใจเสียดีกว่าน่าคริสโตเฟอร์ ชีวิตของคนบางคนน่ะมันก็ไม่คุ้มค่าที่จะให้ความช่วยเหลือนักหรอก”

“ถ้าอย่างนั้น คุณช่วยทําอะไรให้สักหน่อยได้ไหม วอลโกวิกซ์” คริสโตเฟอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมอยากให้คุณเรียกเขาด้วยชื่อ เพราะเขาเป็นคนที่มีตัวตนจริง ๆ สูง 5 ฟุต 6 นิ้ว อายุ 29 ปี แต่งงานแล้ว มีลูก 3 คน เป็นคนที่ได้รับการศึกษาขั้นมหาวิทยาลัย 3 ปีมาแล้ว ที่เขายอมทําทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับการขอร้องให้ทํา และเราก็เป็นคนหนึ่งที่ทำให้เขาต้องเป็นเช่นนั้น”

“ตกลง...เป็นอันว่าเขาเป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อละ” วอลโกวิกซ์ว่า “แล้วเขาพิสูจน์ได้ไหมล่ะว่า เมื่อเดือนที่แล้ว เขาไม่ได้ไปจมอยู่ในเวียงจันทน์”

“ก็เขาถูกสั่ง ถูกว่าจ้างให้ทําอย่างนั้นไม่ใช่หรือ” คริสโตเฟอร์ว่า “เขาไม่ได้เข้าไปขโมยรายงานนั้นมาเพราะต้องการที่จะทําเพื่อตัวเองนี่หว่า แล้วหลุ่งที่ไม่ใช่คนเดียวที่ไม่สามารถจะหาข้อมูลได้ว่า โดมินก่า เข้าไปทําอะไรอยู่ในเวียงจันทน์ เมื่อเดือนกันยายน”

“ผมบอกแล้วไง ว่าผมต้องการให้หลุ่งทํางานนี้ให้สําเร็จ เพราะผมรู้ดีว่า เมื่อมันเป็นเด็กน่ะ มันอยู่ในบ้านของไอ้โดห่...นี่ เพราะฉะนั้น มันก็ควรที่จะเข้านอกออกในบ้านนั้นได้จริงไหม ?”

“บาร์เน่ย์” คริสโตเฟอร์เรียกชื่อแรกของวอลโกวิกซ์ “คุณก็รู้อยู่ว่า ถ้าหลุ่งทําเช่นนั้นโดจะฆ่าเขาเสียทันที คุณเข้าใจไหม คุณก็รู้อยู่เต็มอกว่า โดมินว่า เป็นหน่วยสืบราชการลับของเวียดนามเหนือ แล้วคุณคิดหรือว่าคนพวกนั้นจะไม่รู้ว่า ทุกวันนี้ หลุ่งทํางานให้กับใคร”

“ผมไม่เห็นจะต้องรับรู้ว่าได้โดมันจะรู้อะไรบ้าง” วอลโกวิกซ์ตอบอย่างดื้อดึง “แต่ผมรู้เพียงว่า หลุ่งทํางานให้ผมไม่สําเร็จ”

“อ้าว...หลุ่งก็รายงานทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารู้เขาเห็นให้คุณแล้วนี่...โดอยู่กับอีหนูกกกันอยู่ในห้องถึง 3 วัน 3 คืน เขาเอารูปออกมาให้คุณได้ดูเป็นหลักฐานด้วย”

“แต่เขาไม่ยักรู้ว่า อีหนูคนนั้นเป็นใคร... เฮอะ...” วอลโกวิกซ์ทำสุ้มเสียงเยาะเย้ย แล้วเขาก็หันไปหาบริกร ทําสัญญาณให้คิดเงิน ปากก็พูดว่า

“คุณเห็นผู้หญิงคนนั้นไหม คนที่นุ่งบิกินี่สีขาวนั่นน่ะ”

คริสโตเฟอร์หันไปมอง บอกตัวเองได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นฝรั่งเศส...หล่อนกําลังปีนขึ้นมานั่งบนขอบสระน้ำ กําลังยกมือขึ้นลูบปอยผมที่เปียกโชก รูปร่างเหมือนนางระบํา

“คุณสังเกตที่หน้าท้องผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า”

คริสโตเฟอร์สั่นศีรษะ

“ดูให้ดี ๆ สิ เห็นไหมว่ายายนั่นไม่มีสะดือ สังเกตหรือเปล่า”

คริสโตเฟอร์หันไปมองผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งหนึ่งอย่างสนใจ แล้วก็เห็นว่าหน้าท้องของผู้หญิงคนนั้นราบเรียบจริง ๆ เสียด้วยซึ่งถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นรอยบาง ๆ พาดจากเอวซ้ายไปเอวขวา

บริกรเดินเข้ามาส่งบิลล์ให้

“คริสโตเฟอร์” วอลโกวิกซ์ว่ามือก็นับเงินส่งให้บริกร “ผมรู้ว่าคุณเป็นคนที่มีจิตใจดีและใคร ๆ ก็รู้ว่าคุณเป็นคนอย่างนั้น แต่จําไว้นะว่า หลุ่งไม่ใช่ลูกคุณ เขาทํางานเป็นสายลับ คุณไปกรุงเทพ ฯ สิ ไปพบเขาเสียเอาเงินไปให้เขา เปิดตาเขาออกให้ดูโลกเสียบ้าง แต่ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว”

“คุณหมายความว่า นูห์จะจัดการกับเขาอย่างนั้นรึ ?”

“ก็ไอ้นูห์เอง มันจะไม่ตายมั่งรึไงนะ” วอลโกวิกซ์ถอนหายใจอย่างรําคาญ “เชื่อเถอะน่า ถึงยังไง เราก็เห็นจะต้องลบชื่อนายหลุ่งของคุณออกจากบัญชีได้แล้ว”

บัดนี้ บนเครื่องบินเที่ยวบินกลับนี้เอง คริสโตเฟอร์กําลังบังเกิดความรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับตัวเองอย่างที่สุด แน่ละ...คําพูดของวอลโกวิกซ์อาจจะไม่ใช่คําสั่ง แต่เขาก็ได้ปฏิบัติต่อหลุ่งอย่างไม่ยุติธรรมไปแล้ว...ยิ่งกว่านั้น เขากําลังคิดถึงเวลา 20 วันที่ผ่านมา...20 วันที่เขาเดินทางผ่านมาแล้ว 9 ประเทศ บินผ่านเข้าไปในเขตแดนต่าง ๆ ที่เวลาและอากาศเปลี่ยนแปลง จนไม่รู้ว่าร้อนหรือหนาว ซึ่งทั้งภาษาและชื่อของตัวเองก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย

เครื่องบินเจ๊ทที่เขาโดยสารกําลังบินผ่านออกจากเขตแดนประเทศไทย รังษีของดวงอาทิตย์ฉายฉานจับต้องยอดเจดีย์อันเป็นสัญญลักษณ์ของประเทศ ดูเป็นประกายงามเหมือนแก้วผลึก คริสโตเฟอร์ถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ออก...เป็นวันสุดท้ายของเดือนตุลาคมปี 1963 สถานที่ที่เขาจะต้องกลับไปเพื่อเขียนรายงาน

เขาพยายามสํารวมใจให้ราบเรียบ พยายามทบทวนความทรงจําว่าเขาได้ศึกษาได้พบเห็นอะไรมาบ้าง ในระยะ 20 วันที่ผ่านมา ...แต่ภาพของหลุ่งก็กลับมารบกวนจิตใจของเขาอีก เขาพยายามปิดเปลือกตาลง ภาพของผู้หญิงฝรั่งเศสที่เขาพบที่สระน้ำ...คนที่ไม่มีสะดือ ผลุดขึ้นมาลอยอยู่ตรงหน้า...ภาพของผู้หญิงผิวสีน้ำตาลที่เขาซื้อให้หลุ่งเมื่อคืนก่อนที่กรุงเทพฯ และภาพสุดท้าย คือภาพของมอลลี่ สาวน้อยที่กําลังรอคอยเขาอยู่ในกรุงโรม

“ง่วงนอนแล้วหรือคะ ?” เสียงแอร์โฮสเตสถามอยู่ข้าง ๆ

“ไม่ครับ...ขอเหล้าผมสักแก้วสิ” แล้วคริสโตเฟอร์ก็เอนหลังพิงพนัก คิดอะไรต่อมิอะไรชวนสยองใจไปตามเรื่อง

เขารําลึกถึงโคลงบทหนึ่งที่เคยเขียนไว้

“ความปรารถนา มิใช่สิ่งที่ความตายจะหยุดยั้งได้... แต่เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างร่างที่ไร้วิญญาณกับทารกในครรภ์ จากชั่วลมหายใจหนึ่งไปสู่อีกช่วงลมหายใจหนึ่งนั่นเอง”

นานนักหนามาแล้วที่เขาถูกปลูกฝังให้เกิดความรักในการเขียนหนังสือ และความบันดาลใจครั้งแรกที่ทําให้เขาเขียนมันขึ้น ก็คือ หลังจากการตายของปู่ มนุษย์คนเดียวที่อุ้มชูเขามา...ความตายมาถึงทุกคนเสมอ และเท่าเทียมกัน เพียงแต่ใช้เวลาที่แตกต่างกันเท่านั้น และเขาก็บังเกิดความสงสัยว่า ความตายเป็นสิ่งสุดท้ายที่นําสันติมาสู่คน ดังที่ใช้พูดปลอบกันอยู่เสมอจริง ๆ หรือ...

แต่ทําไมคนที่ซื่อสัตย์จึงต้องถูกปล่อยทิ้งให้ตาย...ทำไมมนุษย์จึงต้องกระทำการที่โหดร้ายต่อกัน ทั้งที่ต่างคนต่างก็รู้ว่า วันหนึ่งตัวเองต้องตาย

หลุ่ง เริ่มกลับมารบกวนจิตใจของเขาอีกแล้ว...หลุ่งอาจจะเป็นคนชาติใดก็ตามที่เกิดมาในโลกนี้ แต่ทําไมจะต้องเป็นเขาที่ชี้ชะตาและวันตายให้หลุ่ง...ทําไมเขาจะต้องผูกพันตัวเองไว้ถึงเพียงนี้

มนุษย์อาจจะตายด้วยรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่มนุษย์ก็ไม่ควรจะฆ่ามนุษย์ด้วยกันเองอย่างไร้สัจจะถึงเพียงนั้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel