บทที่ 3
คริสโตเฟอร์เดินเรื่อย ๆ ไปตามทางเดินที่ทอดแนวขนานไปกับลําน้ำแซน ลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดพากลิ่นระเหยของไอน้ำจากแม่น้ำนั้นมาริน ๆ เขาเดินผ่านจตุรัส ปอง อเล็กซองเดร 3 ที่ซึ่งครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ได้จุมพิตสตรีผู้เป็นภริยา กลิ่นอวลอบของผิวส้มในริมฝีปากคนั้นยังซาบซึ้งอยู่ในความทรงจํา ภาพปั้นม้าบินที่อยู่บนหลังคาพระราชวังโบราณดูเป็นเงาสะท้อนสีดำเลื่อมลาย เมื่อต้องแสงไฟที่ฉายฉานอยู่ทั่วไปในตัวเมือง
เขายังจําได้ว่า เมื่อแคทธี่เห็นภาพนั้นเข้าครั้งแรกเธอวิจารณ์อย่างขัน ๆ ว่า
“คนฝรั่งเศสรักษาสัญญลักษณ์พิกลนี้ไว้ทําไมนะคะ”
เพราะเป็นครั้งแรกที่เธอเพิ่งจะเคยเห็นรูปปั้นของสัตว์สี่ขา ที่พยายามจะบินอยู่เหนืออาคารรูปร่างล้าสมัยเช่นนั้น
ขณะที่เขาเดินไปเรื่อย ๆ นั้น คริสโตเฟอร์สังเกตเห็นตำรวจ 2 คน ยืนรักษาการณ์อยู่ที่สะพานถือปืนไว้ในมือ เขาเดินผ่านตํารวจทั้ง 2 คนนั้นช้า ๆ อย่างใจเย็น จนกระทั่งถึงปลายสะพานอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นเงามืด เขาจึงได้หันกลับไปตรวจตราอีกครั้งหนึ่งว่ามีใครติดตามมาหรือไม่ คริสโตเฟอร์แน่ใจว่า เขารู้จักนครปารีสดีกว่าเมืองอื่น ๆ ในอเมริกาเสียอีก เพราะที่ปารีสนี่เองเขาเริ่มเรียนภาษาฝรั่งเศส ลงมือเขียนหนังสือเล่มแรก และเรียนรู้การที่จะพาผู้หญิงไปนอนด้วย แต่บัดนี้ ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะรู้สึกรู้สมอะไรกับมันได้อีกต่อไป เพราะก็ที่ปารีสนี่อีกนั่นเอง ที่เขาถูกถอนสัญชาติ และกลายเป็นคนไร้อาชีพ ไม่อาจที่จะดําเนินชีวิตต่อไปได้อย่างสงบสุข
ใกล้กับมาดดาเลน คริสโตเฟอร์แวะเข้าไปที่บาร์เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง และเรียกโทรศัพท์ไปหาทอม เวบสเต้อร์ ซึ่งเมื่อตอนที่ทอมรับสายนั้น เขาได้ยินเสียงกริ๊กเบา ๆ และรู้ได้ทันทีว่า โทรศัพท์กําลังถูกดักฟัง เสียงที่พูดโต้ตอบกันนั้นเบาลง มีเสียงครางเบา ๆ เหมือนเสียงเทปที่กําลังเดินเข้ามาแทนที่
“ทอม นี่ผมเอง คาลิเช่อร์พูด” คริสโตเฟอร์เริ่มงานของเขา “คืนนี้ผมจะอยู่กับมากาเรต”
“อา...หมายความว่า คุณมีอะไรดี ๆ ทํามากกว่าที่จะมากินเหล้ากับผมน่ะสินะ”
คริสโตเฟอร์ยิ้มให้หูโทรศัพท์ เขากําลังพูดโต้ตอบกันด้วยภาษาอังกฤษ เพราะเวบสเต้อร์พูดฝรั่งเศสได้ไม่ดีนัก แถมยังเป็นคนหูตึง เหตุผลประการหนึ่งที่เวบสเต้อร์มักจะอ้างว่าการที่เขาพูดภาษาอื่นไม่ได้ดีก็เพราะไปมัวเรียนภาษาอาหรับอยู่
“พรุ่งนี้บ่ายโมงมากินกลางวันกับผมสิ คาลิเช่อร์ เอาที่เทลอาวังก็แล้วกัน คุณชอบกินล๊อบสเต้อร์ไม่ใช่หรือ?”
“ไม่เลวนี่ ตกลง” คริสโตเฟอร์วางสายทันที สําเนียงที่เวบสเต้อร์ตอบโต้มานั้นบอกให้รู้ว่า เขาออกจะภูมิอกภูมิใจอยู่ไม่น้อย กับการที่สามารถใช้ปฏิภาณในการเลือกหาคําพูดธรรมดา ง่าย ๆ มาใช้ได้อย่างทันการ รอยยิ้มบาง ๆ ยังฉาบอยู่บนใบหน้าของคริสโตเฟอร์เขารู้ดีว่า เวบสเต้อร์ไม่ค่อยคล่องในการที่จะใช้โค๊ดพูดกันเท่าใดนัก และตลอดเวลา 7 ปีที่ผ่านมา เวบสเต้อร์รู้เพียงว่าชื่อใดก็ตามที่ขึ้นต้นด้วยอักษร ซี หมายถึงคริสโตเฟอร์ และ มากาเรต หมายถึงบ้านซึ่งอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง ที่ถนน รือ โบนาปาร์ต ซึ่งคริสโตเฟอร์มีกุญแจสําหรับไขเข้าออกโดยเฉพาะ
ที่จริงนั้น เวบสเต้อร์จัดว่าเป็นมืออาชีพ เมื่อเขาอายุได้ 20 ปี ได้ใช้ความสามารถเข้าไปเป็นเสนาธิการระงับการกระทํารัฐประหารในรัฐแห่งหนึ่งทางตะวันออกใกล้ไว้ได้โดยที่ฝ่ายกบฏกลับฆ่าฟันกันเอง แทนที่จะทําลายสถาบันการปกครองลง และเจ้าชายผู้ครองรัฐแห่งนั้น ก็เลยกลายมาเป็นเพื่อนรักกันกับเขา จนตราบเท่าทุกวันนี้ และ...มันก็เหมือนนักการบริการชั้นดีทั่ว ๆ ไป ที่รู้จักการสร้างเพื่อน และใช้เพื่อนที่สร้างไว้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองคุณลักษณะพิเศษสําหรับเวบสเต้อร์ก็คือ เป็นคนใจแข็ง และไม่เคยสะทกสะท้านไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ทั้งเวบสเต้อร์และคริสโตเฟอร์ต่างก็เป็นบุคคลพิเศษอยู่มาก ค่าที่ว่า เขาต่างไม่ต้องการความช่วยเหลือจากกันและกัน อยู่ในโลกที่คนทํางานลับเฉพาะเท่านั้นที่จะรู้ และก่อนหน้าที่จะเข้ามารับงานชิ้นนี้ ได้ถูกทดสอบมาแล้วอย่างละเอียดถี่ถ้วน ในทุกเรื่องที่เป็นทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ซึ่งถูกจัดเข้าแพิ่มประวัติไว้หมด
ปีละครั้ง เมื่อวันทำงานครบรอบปีของคนเหล่านี้มาถึง เขาจะต้องถูกส่งเข้าเครื่องจับเท็จ ซึ่งเครื่องนี้จะวัดแม้แต่จังหวะการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตและชีพจรดูเหมือนเจ้าเครื่องนี้จะรู้ไปเสียทุกอย่าง รู้กระทั่งว่าคนที่ส่งเข้าเครื่องจับเท็จนี้เป็นคนรักร่วเพศหรือไม่ และสุดท้ายเจ้าเครื่องนี้ก็จะบอกได้อีกว่า คนที่ส่งมาตรวจนั้นมีความรู้สึกอย่างไร กระวนกระวายหรือไม่ ถ้าคําตอบออกมาว่า “ไม่” คน ๆ นั้นก็ถือว่า “ผ่าน”
และสําหรับเวบสเต้อร์แล้ว ไอ้เรื่องที่จะกระวนกระวายกระสับกระส่ายนั้นยากมาก คนที่จะผ่านการทํางานมาถึงขั้นนี้ได้จะต้องเป็นคนใจเย็นเท่ากับเลือดเย็น คนเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาเพื่อที่จะ “ปฏิบัติการ” และรายงาน แต่จะไม่เป็นผู้ที่ตัดสินในความถูกหรือผิดใด ๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่เขาจะ ต้องทําคือหารอยด่างหรือจุดตําหนิในชีวิตของคนที่จะพาตัวเข้าไปรู้จักให้ได้ แล้วเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ความเจนจัดเท่านั้นที่สอนคนพวกนี้ว่ามนุษย์ที่เกิดมานั้น เราจะตัดสินได้ว่าเป็นคนดีหรือคนชั่วในวินาทีแรกที่ได้เห็นทีเดียว
พวกเขาทุกคนจะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับการเมืองอย่างเด็ดขาด แต่ก็มิได้หมายความว่าจะต้องเป็นคนดีมีศีลธรรม เขาจะรู้เพียงความต้องการของตนเอง อาจจะโกหก หลอกลวงพูดอะไรก็ได้กับคนทุกคน ไม่ยกเว้นแม้แต่เด็กหรือผู้หญิงที่นอนด้วย แต่...ไม่ใช่กับรัฐบาลของเขา แต่ในระหว่างกันและกันแล้ว คนเหล่านี้จะพูดแต่ความจริงกันเท่านั้นสัมพันธภาพของเขาลึกล้ำยิ่งเสียกว่าความเป็นสามีภรรยาด้วยซ้ำและความต้องกาในความซื่อสัตย์ระหว่างกันนั้น เหมือนเห็นคนทุกคนที่ต้องการความรักนั่นเทียว
ดังนั้น จึงไม่แปลกนักที่เวบสเต้อร์ ต่อหน้าคริสโตเฟอร์ ด้วยดวงตาที่คลอไปด้วยหยาดน้ำตา ด้วยฤทธิ์เหล้าที่เขาดื่มเข้าไปเพื่อระงับความเสียใจที่ต้องสูญเสียมือขวาของเขาซึ่งเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่เขาได้พากเพียรฝึกฝนไว้เป็นอย่างดีด้วยกระสุนปืน ในการต่อสู้ที่อัครา โดยสมาชิกของขบวนการกาเนี่ยน ซึ่งถูกสั่งสอนอบรมกันมาว่า การฆ่าเท่านั้นที่พวกสายลับจะพึงกระทําต่อผู้ที่เป็นศัตรูของตน
คริสโตเฟอร์พูดปลอบใจเขาว่า
“ชีวิตของเด็กคนนั้นก็เหมือนชีวิตของเรา ๆ นี่เอง มันคล้าย ๆ กับนิยายเผชิญโชคที่เขียนให้เด็กอ่านนั่นแหละ”
“แต่เขาตายไปแล้ว” เวบสเต้อร์ตอบเสียงต่ำ “คุณจําได้ไหมว่าคนของเราตายไปแล้วกี่คน ผมบอกชื่อให้ก็ได้”
“ไม่จําเป็นหรอก ผมเองก็จําได้” คริสโตเฟอร์ตอบ และสั่งเหล้ารอบใหม่มาให้เวบสเต้อร์ “แต่ทอม...คุณก็รู้นี่นาว่า ในทางกลับกัน ถ้าเราเป็นฝ่ายฆ่าเสียเอง คุณจะรู้สึกอย่างไร”
“ผมก็หัวเราะน่ะสิ” เวบสเต้อร์ตอบทันที “เรื่องตายสําหรับผมน่ะหรือ มันเรื่องตลกจะตายห่...”
คริสโตเฟอร์หยิบแก้วเหล้าขึ้นมาถือไว้ในมือ “โอเค...ถ้าอย่างนั้น แก้วนี้สําหรับผู้ที่จากไป”
เขากระดกเหล้าเข้าปาก แล้วกระแทกแก้วลงบนโต๊ะ
ดึกมากแล้ว ในที่พัก ซึ่งเขาเรียกว่า “มากาเรต” คริสโตเฟอร์กินอาหารที่เหลืออยู่ในตู้เย็น จากนั้นก็อาบน้ำ เมื่อเสร็จสรรพแล้ว ก็นั่งลงตรงหน้าเครื่องพิมพ์ดีดขนาดกระเป๋า ลงมือพิมพ์รายงานอย่างตั้งอกตั้งใจ จนกระทั่งได้ยินเสียงยวดยานเริ่มสัญจรไปมาบนท้องถนนที่เลียบริมฝั่แม่น้ำแซน
รายงานฉบับนั้นเขามิได้เขียนถึงหลุ่งเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่แนบใบเสร็จรับเงินที่มีรอยพิมพ์นิ้วมือของหลุ่งประทับอยู่ลงไป จากนั้น เขาก็ถอดริบบิ้นออกจากเครื่องพิมพ์ เอากระดาษที่จดโน้ตสั้น ๆ มาวางเข้าแล้วจุดไฟเผา เมื่อมันไหม้จนมอดแล้ว ก็โกยขี้เถ้าที่เหลืออยู่โยนทิ้งลงไปในโถส้วม
เขาสอดรายงานฉบับนั้นไว้ในปลอกหมอน ล้มตัวลงนอน และหลับติดต่อกันไปเป็นเวลาถึง 12 ชั่วโมง
ในตอนที่หลับนั้น เขาฝันเห็นแคทธี่ กำลังยืนอยู่กลางห้องเช่าแห่งหนึ่งในกรุงแมดริด ซึ่งเขาเช่าไว้เป็นที่พักสําหรับเวลาเอาผู้หญิงไปนอน แคทธี่ในความฝันบอกเขาว่าเธอคลอดลูกแล้ว...และแม้ในความฝันนั้น ภายใต้จิตใต้สํานึก คริสโตเฟอร์รู้ดีว่า เขาไม่เคยมีลูก และจะไม่มีเป็นอันขาด
ความฝันของเขาดูเหมือนจะจบลงตรงนี้