๖ ความเจ็บปวดเกาะกินใจ (๑)
๖
ความเจ็บปวดเกาะกินใจ
หลังพันดาราออกจากห้อง วิศวกรหนุ่มก็นั่งตกตะกอนความคิด โซฟากว้างถูกจับจองโดยเจ้าของห้อง มือหนายกขึ้นเสยผมที่ปรกหน้าอย่างรำคาญ ปกติตนไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจใคร หากไม่ชอบก็แค่เดินผ่านหรือมองเพียงหางตาเท่านั้น
แต่กรณีของหญิงสาวต่างออกไปเพราะหล่อนคือแฟนเก่าที่เขารักมากจนลืมไม่ลง และการเลิกราก็ไม่ได้มาจากหมดรัก เหตุผลคือฝ่ายหญิงนอกใจต่างหาก ซึ่งทำให้ไม่อาจลืมเลือนได้แม้ระยะเวลาจะผ่านมาค่อนข้างนาน
ไม่เคยเข้าใจเหตุผลที่ทำให้ร่างบางกลับเข้ามาในชีวิตตนอีกครั้ง ไม่คิดจะถามทั้งยังพยายามปฏิเสธหัวใจตัวเอง ในอดีตถูกหล่อนทำร้ายมากเกินไป เขาเป็นพวกรักแรงเกลียดแรง ถ้าได้รักก็ยกให้หมดหัวใจ ถ้าได้เกลียดก็แทบไม่อยากมองหน้า
ทว่าหล่อนอยู่เส้นก้ำกึ่ง จะรักก็ไม่ใช่จะเกลียดก็ไม่เชิง...
มันจึงคาราคาซังอยู่แบบนี้ไม่ยอมจบสักที
“เฮ้อ” ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า ช่วงนี้เขาไม่สบายเพราะโหมงานหนัก ทั้งยังตากฝนแล้วมาเจอแดด ครั้นเนื้อครั้นตัวทั้งวันแต่ก็ยังไม่ได้กินยา คิดว่าเดี๋ยวมันก็หายเอง
เอื้ออังกูรเป็นประเภทกินยายาก ทั้งขมและเม็ดใหญ่ถ้าเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง หากไม่เป็นมากถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อเขาก็ไม่แตะต้องมันเด็ดขาด ทำให้ตอนคบกับพันดาราหล่อนต้องเกลี่ยกล่อมหลายชั่วโมงกว่าแฟนหนุ่มจะยอมกินยา
ร่างหนาลุกไปยังห้องครัวโดยถือถุงอาหารที่หล่อนทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า หยิบของสดออกมามองก่อนจะทิ้งลงถังขยะ แต่พอเจอองุ่นก็ชะงัก รู้ว่ามันไม่ใช่ของโปรดตนแต่เป็นผลไม้สุดโปรดของร่างบางมากกว่า
ถอนหายใจแล้วคิดหนักว่าจะทำอย่างไรต่อไป
จำต้องวางของสดที่เหลือไว้อย่างนั้นแล้วหันมาเปิดตู้เย็นหยิบน้ำเปล่าดื่มจนหมดขวด ตอนนี้ไม่สนใจอาการปวดหัวของตนเอง เพราะเขาจำได้เพียงแววตาเสียใจระคนกล่าวโทษที่พันดาราส่งมาให้
เขาทำอะไรผิดนักหรือไง พูดแค่นั้นถึงกับต้องมองเหมือนเป็นฆาตกร คิดแล้วก็หงุดหงิดมากกว่าเดิมจนเผลอทุบลงบนซิงค์ล้างจ้าน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูเรียกความสนใจจากร่างหนา เขายังไม่ได้เปลี่ยนชุดและใส่เพียงเสื้อคลุมอาบน้ำ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันสงสัยว่าใครมายามวิกาลเช่นนี้ คงไม่ใช่ดาราสาวกลับมาเอาของหรอกนะ
คิดพลางก้าวไปยังประตูก่อนจะเปิดออกโดยไม่ได้ส่องตาแมว เห็นคนที่ไม่ได้เจอหน้าสักพักเพราะหล่อนไปทำงานต่างประเทศ ก้มมองสองมือที่หอบของมาเต็มและฉีกยิ้มกว้างให้ร่างหนาจนเขาไม่อาจปฏิเสธได้
“พี่เอื้อ ผึ้งขอเข้าไปข้างในได้ไหมคะ” มองดวงตากลมที่เปล่งประกายสดใส หล่อนอยู่ในชุดเรียบร้อยเหมือนทุกครั้งที่เจอกัน
พรนลัท พฤกษากร รุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัยและยังเป็นเพื่อนสนิทของพันดารา พวกเขารู้จักกันมาหลายปีแต่เพิ่งจะได้พูดคุยและสนิทสนมกันเมื่อช่วงสองปีหลัง หล่อนเป็นเพื่อนคุยที่ดีทั้งยังเป็นคนสนุกสนานเฮฮา
“เข้ามาสิ” เห็นรอยยิ้มหวานเช่นนั้นก็ปฏิเสธไม่ลง ร่างสูงจำยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาในพื้นที่ของตนเองเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าหล่อนเข้ามาในคอนโดมิเนียมถึงขั้นขึ้นมาบนห้องของเขาได้อย่างไร
“รู้ห้องพี่ได้ยังไง” คนตัวเล็กมองรอบห้องอย่างสำรวจ ก่อนกระชับมือที่ถือของไว้แน่นค่อยหันมาสบตาร่างสูงที่จ้องนิ่ง ทำเอาเริ่มกลัวเสียแล้ว
ถึงอีกฝ่ายจะเป็นแฟนเก่าของเพื่อนสนิท แต่ตอนนี้หล่อนได้ตัดขาดความเป็นเพื่อนกับดาราสาวผู้โด่งดังเรียบร้อย แทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ปีก่อน และคนผิดไม่ใช่ตน
ความในใจของหล่อนคิดว่าเขาเองก็คงทราบ ถึงจะไม่สนิทกับเอื้ออังกูรแต่ก็เคยคุยด้วยหลายประโยค หล่อนปรับทุกข์กับเขาเรื่องแฟนเก่าและใช้เรื่องนั้นเข้าหาฝ่ายชายจนได้สถานะพี่น้องมาครอบครอง ทว่ายังไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นมากกว่านั้น
“จำได้ว่าพี่อยู่คอนโดนี้ แล้วก็ใช้เส้นนิดหน่อยค่ะ” พยายามยิ้มกลบเกลื่อนเพื่อไม่ให้เขาโกรธที่ถูกลุกล้ำความเป็นส่วนตัว
ร่างบางแอบใจสั่นกับการแต่งตัวของอีกฝ่าย มีเพียงชุดคลุมที่แหวกจนเห็นแผงอกหนา ผมเปียกลู่ยังไม่แห้งสนิททำให้รู้ว่าเขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อสะท้านไม่ต่างจากครั้งยังเป็นนักศึกษา
รุ่นพี่คนดังของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ใครบ้างจะไม่รู้จัก...
เธอเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ตกหลุมรักเอื้ออังกูรตั้งแต่แรกเห็น ทว่าต้องมาแพ้ให้แก่เพื่อนสนิทที่เป็นดารา จำต้องเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ในอกไม่เผยให้ใครได้รู้ มองดูคนทั้งคู่ได้ครองรักกันอย่างเจ็บปวด และภาวนาให้เลิกกันในเร็ววัน
แต่สองคนนั้นก็เก่งที่แอบคบกันมาได้ถึงห้าปี...
“คราวหลังอย่าทำอีก พี่ไม่ชอบ” บอกตามตรง เขาไม่ค่อยชอบเรื่องการใช้เส้นสายเท่าไหร่ รู้ว่าครอบครัวของอีกฝ่ายรวยและค่อนข้างมีเส้นสายพอสมควร
แน่ล่ะ ตระกูลพฤกษากรที่มีพ่อเป็นถึงเจ้าของช่องยักษ์ใหญ่ แถมเธอยังเป็นน้องสาวของกนต์ธรอีกต่างหาก โลกช่างกลมเหลือเกิน
“ค่ะ” ตอบหน้าหงอย ไม่รู้ว่าสำนึกผิดจริงหรือแค่แสร้งทำ
“รออยู่ที่โซฟาก่อนแล้วกัน พี่ขอไปเปลี่ยนชุดหน่อย” เผยยิ้มพลางพยักหน้าไม่เกี่ยงงอน รีบไปนั่งยังโซฟาห้องรับแขก ฝ่ายร่างสูงก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ดูสุภาพมากกว่านี้ เพราะการเคาะประตูของพันดาราที่เหมือนมีเรื่องคอขาดบาดตาย ทำให้เขาต้องเร่งไปเปิดโดยไม่ได้สวมชุดที่ดูดีกว่านี้
ก่อนกลับเธอยังสร้างบาดแผลไว้ให้เขาอีก คิดพลางถอนหายใจแล้วเลือกเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงวอร์มสีเข้มมาสวม
ขณะที่แขกสาวก็มองรอบห้องพลางอมยิ้มมีความสุข คอนโดมิเนียมแห่งนี้น้าชายของหล่อนเป็นเจ้าของ แค่โทรหาและเอ่ยขอร้องไม่กี่นาทีก็ทราบห้องและสามารถขึ้นมาได้โดยง่าย คิดว่าอย่างไรเอื้ออังกูรก็ไม่ใจร้ายถึงขนาดจะฟ้องร้องกันหรอก
ช่วงนี้เธอต้องทำคะแนนเสียหน่อยหลังปล่อยเขานานเกินไป
หล่อนเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเพราะไปเรียนคอร์สแฟชั่นดีไซน์ระยะสั้น เปลี่ยนอาชีพมาหลายครั้งจนบิดาคร้านจะพูด เรียนจบก็เข้าวงการแต่ดูเหมือนจะไม่รุ่ง และหล่อนไม่อยากเป็นเบอร์สองรองจากพันดาราจึงผันตัวทำงานเบื้องหลัง
ลองเป็นผู้จัดก็ไม่ง่าย ละครที่เธอดูแลเรตติ้งตกและโดนกระแสลบจากผู้บริโภค ทั้งเนื้อหาและตัวนักแสดงนำที่มีข่าวฉาว ล่มจมไปตามกันจนต้องหาอาชีพอื่น
ลงท้ายที่การอยากลองเป็นดีไซน์เนอร์ อ้อนวอนของบิดาหลายครั้งจนท่านตอบตกลง เธอจึงบินไปไกลถึงฝรั่งเศสเพื่อเรียนและกลับมาประเทศไทยเมื่อวันก่อน
คิดถึงเอื้ออังกูรใจจะขาด...
“มีธุระอะไรเหรอ” ออกจากห้องก็มานั่งที่โซฟาตัวเล็กเยื้องกับหล่อน ถึงพวกเขาจะเคยคุยกันบ้างแต่ก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อขนาดนั้น
ร่างสูงไม่ใช่คนที่จะทำตัวสนิทสนมกับเพศตรงข้าม เขาค่อนข้างวางระยะห่างพอสมควร ยกเว้นว่าจะเป็นแฟนหรือเพื่อนสนิทจริงๆ ที่ไม่คิดอยากพัฒนาความสัมพันธ์ไปมากกว่านั้น
ซึ่งชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าพรนลัทคิดกับเขาอย่างไร
หากไม่เข้าข้างตนเองมากเกินไปเหมือนหญิงสาวจะพยายามเข้ามาใกล้ชิดเพื่อหวังเป็นมากกว่าพี่น้อง ทว่าเขาไม่อยากด่วนสรุปหรือรวบรัดปฏิเสธ ในเมื่อหล่อนก็เป็นรุ่นน้องที่นิสัยดีคนหนึ่ง
“ผึ้งซื้อของมาฝากพี่เอื้อค่ะ พรุ่งนี้ไม่ว่างเลยเอามาให้วันนี้” มองดูของในมือที่แค่เห็นแบรนด์ก็รู้ว่ามันแพงแค่ไหน เกรงใจหล่อนจนไม่อยากรับเอาไว้ แต่คิดว่าปฏิเสธไปอีกฝ่ายก็คงไม่ฟังและยื้อจะให้เหมือนเดิม
ใบหน้าหวานฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นฝ่ายชายรับไปแต่โดยดี ตอนแรกก็กังวลกลัวเขาจะบอกให้เอากลับ เห็นอย่างนี้ก็เริ่มมีความหวังบ้างแล้ว
“ขอบใจนะ แค่ก” เสียงไอของร่างสูงทำให้หล่อนตระหนก เกือบเผลอลุกไปแตะหน้าผากมนเพื่อตรวจอุณหภูมิร่างกายของเขา แต่ดีที่ยั้งตัวเองไว้ได้ทัน รีบกุมมือแน่นไว้บนหน้าตักไม่ให้เผลอทำเรื่องที่ไม่ควร
“พี่เอื้อไม่สบายเหรอคะ กินยาหรือยัง” รีบถามอย่างเป็นห่วง มองใบหน้าคมที่ซีดกว่าปกติก็ยิ่งไม่อยากกลับ
“เดี๋ยวพี่จัดการเอง ขอบคุณสำหรับของฝาก” เหมือนจะเป็นการไล่กรายๆ หญิงสาวก็ไม่กล้าจะเอ่ยอะไรนอกจากยิ้มเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรค่ะ ผึ้งเต็มใจ” บทสนทนาถูกตัดตรงนั้น เจ้าของห้องไม่เอ่ยชวนคุย และหล่อนก็ไม่รู้จะถามอะไรเขาดี
แน่นอนว่าพรนลัทยังไม่อยากออกจากห้อง เธอต้องการคุยกับชายหนุ่มให้มากกว่านี้เพื่อสานสัมพันธ์ แต่ดูแล้วเขายังไม่มีทีท่าจะเดินข้ามสะพานที่ตนอุตส่าห์ทอดให้ ชักไม่แน่ใจว่าเอื้ออังกูรลืมเพื่อนของตนหรือยัง
คิดแล้วก็ใจสั่นไหว ยอมรับว่าเป็นคนไม่ดีที่หวังให้สองคนนี้เลิกรากันตลอดระยะเวลาห้าปีที่ได้แต่เฝ้ามอง ต้องยิ้มให้เขาเหมือนไม่คิดอะไรทั้งที่ใจก็แอบรักมาตลอด เคยคบผู้ชายเพื่อทำให้ลืมวิศวกรหนุ่ม ทว่ามันก็แค่ชั่วเวลาประเดี๋ยวประด๋าว
รักนั้นไม่ยั่งยืน...
“ถ้างั้นผึ้งขอตัวกลับก่อนนะคะ พี่เอื้อจะได้พักผ่อน” กระชับกระเป๋าสะพายก่อนลุกจากโซฟา เจ้าของห้องเห็นแบบนั้นก็เดินไปส่งหล่อนที่หน้าห้องด้วยใบหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ
เอื้ออังกูรมีระยะห่างกับเพศตรงข้ามเสมอ ถึงอยู่ในห้องสองคนก็ไม่เข้าใกล้เกินระยะห้าเมตร เว้นช่องว่างให้รู้ว่าเป็นเพียงพี่น้อง ต่างจากตอนที่อยู่กับพันดาราลิบลับ
ซึ่งเมื่อก่อนหล่อนคือแฟนของเขา ทว่าตอนนี้เป็นเพียงคนเคยรู้จักกันเท่านั้น
“ไว้ว่างๆ ผึ้งขอไปหาที่บริษัทได้ไหมคะ” เดินออกจากห้องก่อนหันมาถามเพื่อหาข้ออ้างในการไปมาหาสู่ ร่างหนาไม่เห็นว่ามันจะเสียหายตรงไหนจึงพยักหน้าตกลง
อย่างน้อยพรนลัทก็เป็นรุ่นน้องที่รู้จักมาเป็นสิบปี และยังติดต่อกันเสมอ ถ้าไม่ติดที่หล่อนเป็นเพื่อนสนิทของพันดารา บางทีเขาอาจพิจารณาอีกฝ่ายก็ได้
แต่การเอาเพื่อนของแฟนเก่ามาเป็นแฟนดูจะไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่ และอีกอย่างตนก็ไม่ได้ชอบหล่อนในเชิงชู้สาว
