๔ ความฝันที่เรามีกันและกัน (๑)
๔
ความฝันที่เรามีกันและกัน
เปิดประตูห้องเข้ามาก็ก็สับสวิตช์ไฟจนทั้งห้องสว่าง ร่างสูงห้อยกุญแจไว้ข้างฝาผนังก่อนสวมสลิปเปอร์เข้ามาในห้อง เขาจับแก้มที่ยังแดงเป็นรอยมือ สาเหตุคงไม่พ้นมาจากหญิงสาวที่ตนอาจหาญไปหักหาญน้ำใจหล่อน
เพียงเพื่อต้องการให้ใครบางคนเจ็บช้ำ และมันก็ได้ผลเมื่อดาราสาวเดินออกจากจุดเกิดเหตุให้ทัน ปล่อยใบหน้าคมกระทบฝ่ามือแรงจนหน้าหัน ไม่เคยคิดว่าคนตัวเล็กจะมือหนักเช่นนี้ เขาก็ไม่ทันได้ไตร่ตรองก่อนทำ ขอโทษขอโพยและให้หล่อนทำร้ายร่างกายไปหลายที
ความจริงมันเป็นเพียงการแตะปากเท่านั้น แถมเขายังใช้นิ้วโป้งกดไว้ที่ริมฝีปากคนตรงข้าม เอียงตัวเล็กน้อยเพื่อไม่ให้พันดาราเห็นเต็มๆ ว่ามันคือละครฉากหนึ่ง
“เฮ้อ” ถอนหายใจแล้วนั่งลงบนโซฟา ปลดเนกไทที่รัดคอออกแล้วเหม่อมองหน้าจอโทรทัศน์สีเข้ม ไม่รู้ว่าตนทำแบบนั้นไปทำไม ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน
แถมยังลากสุทัชชา พิศไพบูลย์มาเกี่ยวข้องอีก ทั้งที่พวกเขาเป็นเพียงเพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น แถมหล่อนยังมีคนที่แอบชอบ เพียงแค่ฝ่ายชายไม่ยอมรับรักสักที เอาแต่หนีอยู่นั่นจึงได้ปรับทุกข์กันบ่อยหน่อย
เคยทำงานด้วยกันหลายครั้งเพราะหล่อนก็เป็นคนมีฝีมือ ได้รับมอบหมายงานใหญ่หลายหน ทั้งยังนิสัยดีไม่เคยเอาเรื่องอื่นมาเกี่ยวข้องกับงาน
ที่สำคัญไม่คิดจะจับเขา นั่นทำให้เอื้ออังกูรวางใจเวลาอยู่กับหล่อน
“ช่วยไม่ได้ อยากกลับมาทำไม” บอกตนเองอย่างนั้นเพื่อไม่ให้รู้สึกผิดกับผู้หญิงทั้งสองคน เขาเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระกาย ไม่ลืมแขวนชุดไว้อย่างดีจะได้นำไปคืนหลังส่งซักเรียบร้อย ถ้าให้ส่งไปทั้งที่กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งก็อายทางร้าน
ขณะเดียวกันหญิงสาวที่กลับจากการไปร่วมงานฉลองของบริษัทก่อสร้าง ก็ร้องไห้มาตลอดเส้นทางกลับคอนโดมิเนียม ตั้งแต่เจอกับเอื้ออังกูรมีวันไหนบ้างที่พันดาราจะไม่เสียน้ำตา ผกาพรรณเห็นเช่นนั้นก็สงสารหญิงสาวเป็นอย่างมาก
เกลี่ยกล่อมหลายครั้งให้ล้มเลิกความตั้งใจกลับไปคืนดีกับฝ่ายชาย ทว่าเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จ หล่อนยังคงมุ่งมั่นตามง้อถึงจะมีชายหนุ่มแสนดีเพียบพร้อมตามจีบเป็นพรวน
“เป็นแบบนี้ต่อไปได้หมดน้ำตาเป็นลิตรแน่ เสียเงินซื้อทิชชู่อีก” ไม่รู้จะเตือนอย่างไรแล้ว ฝ่ายหญิงก็ไม่เคยเก็บเอาไปคิดหรือทำตามเลย
ผู้ชายมีอีกเป็นร้อยเป็นพันที่แสนดีไม่ทำให้ร้องไห้ แต่เจ้าหล่อนก็ไม่เลือก กลับปักใจอยู่ที่คนเดียวไม่เปลี่ยน จนสงสัยว่าเอื้ออังกูรเล่นเสน่ห์ใส่หรือเปล่า
แต่พอได้เจอตัวจริงก็เข้าใจทันที เธอเองยังอยากได้เข้ามาเป็นพระเอกในสังกัดเลย คนอะไรจะหล่อเหลามาดแมนขนาดนั้น อกผายไหล่ผึ่ง ลำตัวสูงใหญ่ท่วงท่าการเดินดูดีหมดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“พี่พายติดต่อแบรนด์กระดาษทิชชู่ ฮึก ให้หน่อยสิ บอกว่าเดี๋ยวดาวเป็นพรีเซ็นเตอร์ ให้เอง” เสียงขาดห้วงเพราะแรงสะอื้น คนฟังถอนหายใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น
ดูท่าคงต้องติดต่อแบรนด์กระทิชชู่แล้วล่ะ เผื่อได้ของฟรีมาใช้เพราะดูท่าต้องใช้อีกเป็นสิบโหล
หญิงสาวเช็ดน้ำตาที่ไม่ยอมหยุดไหล สะอื้นไห้ด้วยความเสียใจกับภาพบาดตา ไม่รู้ว่ามันคือความจริงหรือเขาแค่ต้องการเอาคืน แต่ทางไหนก็ทำให้หล่อนเจ็บจนหายใจไม่ออก
ไม่สามารถทนมองภาพนั้นได้จนต้องวิ่งออกมาจากจุดเกิดเหตุ หญิงสาวไม่เข้าไปในงานอีกเพราะตนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ จึงโทรบอกผู้จัดการและคุยกับคุณวิบูลย์ทางโทรศัพท์เพื่อขอโทษ
บอกเหตุผลว่าเป็นรอบเดือนและเปื้อนชุดสวย จึงไม่ขอเข้าไปในงาน ท่านก็รีบบอกว่าไม่เป็นไรทั้งยังเข้าอกเข้าใจอย่างดี ถึงรอดมาอย่างหวุดหวิด
“พี่ล่ะเชื่อจริงๆ รักเขามากเลยหรือไง แปดปีมาแล้วนะดาวลืมเขาเถอะ” ถ้าทำได้ง่ายหล่อนคงไม่ต้องมานั่งเจ็บปวดแบบนี้หรอก
สมองสั่งให้ลืมแต่ใจกลับจำ
ชายผู้เป็นรักแรกของหล่อน ความอ่อนโยนของเขา นิสัยแสนดีเข้าอกเข้าใจ อีกฝ่ายยอมทนอยู่ในเงามาตลอดห้าปี ไม่เคยแสดงตัวว่าเป็นแฟนเลยสักครั้ง ขนาดเธอโดนจับไปจิ้นกับชายอื่นเขายังไม่เคยกล่าวโทษ มีเพียงอาการหึงหวงเล็กน้อยแต่พอง้อก็หาย
เป็นเธอเสียอีกที่ทำร้ายอีกฝ่ายมาตลอด ถ้าจะโดนกลับคืนบ้างก็คิดว่าไม่เป็นไร พร้อมเข้าใจเหตุผลของเอื้ออังกูรทุกอย่าง
“ดาวลืมไม่ได้หรอก ดาวรักพี่เอื้อ พี่ก็รู้..” ท้ายประโยคพูดแผ่วลงเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต ผกาพรรณทำหน้าไม่ถูกแล้วเอื้อมมือมาจับไหล่เล็ก เข้าใจทุกอย่างและไม่พูดอะไรอีก
พวกเธอต่างผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาด้วยกัน ความรักที่หญิงสาวมีต่อฝ่ายชายทำไมตนจะไม่ทราบ ขนาดคบกับกนต์ธรหลายปียังไม่เคยลืมรักแรกได้เลย
คิดแล้วก็แอบสงสารฝ่ายชาย ที่เป็นได้เพียงเงาของใครอีกคนมาตลอด
บอกลากับผู้จัดการและคนขับรถ ค่อยขึ้นลิฟต์มายังเพนท์เฮาส์ของตน จัดการอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนแขวนไว้ที่ห้องแต่งตัวเพื่อที่พรุ่งนี้ผู้ช่วยจะได้นำไปซักและส่งคืนห้องเสื้อ
ส่วนมากถ้าชุดใส่ออกงานมักจะไปเช่ามากกว่าซื้อ เพราะไม่ค่อยได้ใส่บ่อย แต่หล่อนก็มีชุดออกงานที่ชอบอยู่สองสามตัว ซื้อมาเก็บไว้เผื่องานสำคัญ
อีกอย่างคือไม่อยากใส่ซ้ำ ถ้าซื้อมาก็ใส่ครั้งเดียวแล้วเก็บ เปลืองพื้นที่ตู้เสื้อผ้าและเสียทรัพยากร จึงหาร้านที่ไว้ใจได้แล้วทำเรื่องเช่าจนกลายเป็นลูกค้าระดับวีไอพี
หลังจากลงครีมเรียบร้อยก็เดินไปเปิดตู้เก็บของ หยิบกล่องความทรงจำมาถือไว้ ค่อยเดินไปนั่งบนเตียงที่เป็นสีเสา มีม่านคลุมเหมือนเตียงนอนเจ้าหญิงที่เคยดูในการ์ตูน
หยิบภาพถ่ายขึ้นมาดูแล้วหวนนึกถึงความรักที่เคยเบ่งบาน วันแรกที่เจอกัน วันที่เธอตกหลุมรักเขาจนอาจหาญไปทำความรู้จัก ทั้งยังกล้าไปเข้าค่ายอาสาซึ่งแน่นอนว่ากว่าจะขอมารดาได้เลือดตาแทบกระเด็น
แต่ก็ยังได้ไปพอกลับมาต้องทำงานจนไม่มีเวลาหยุดพัก
ทว่าหล่อนก็ยังมีความสุขเพราะการไปค่ายครั้งนี้ทำให้สถานะพี่น้องเปลี่ยนไป พวกเขากลายเป็นแฟนกันอย่างสมบูรณ์แบบ แถมยังได้จูบแรกมาอีกด้วย
ก๋ากั่นจริงเลยดาว เพิ่งเป็นแฟนก็ไปจูบเขาซะแล้ว
“ดาวคิดถึงพี่เอื้อ” ลูบใบหน้าคมที่ส่งยิ้มให้กล้อง เป็นรูปแรกที่พวกเขาถ่ายด้วยกันหลังตกลงเป็นแฟนได้ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง
พันดาราเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในคณะนิเทศศาสตร์ ผู้คนต่างเล่าลือถึงความสวยของหล่อน การเป็นดาราทำให้หลายคนสนใจ ทว่าหญิงสาวไม่ค่อยชอบแต่งหน้าไปเรียน จนเหมือนคนละคนกับในจอโทรทัศน์
ชื่อของเธอถูกกล่าวถึงบ่อยครั้ง แต่ที่บ่อยไม่แพ้กันคงเป็นเอื้ออังกูร รุ่นพี่ปีสองคณะวิศวกรรมศาสตร์ หนุ่มหล่อผู้แสนนิ่งขรึมเย็นชา เพื่อนของเธอชอบเขากันทั้งนั้นจนพาไปกินข้าวถึงคณะวิศวะทั้งที่คณะตัวเองก็มี
จนได้พบหน้าหล่อและจ้องตาคม วินาทีนั้นเหมือนตกอยู่ในภวังค์จนนิ่งค้างไปทั้งตัว อาการตกหลุมรักเป็นเช่นไรเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็วันนี้แหละ
หลังจากนั้นจึงพยายามพาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดชายหนุ่ม โผล่ไปให้เห็นหน้าแต่ไม่เข้าไปคุยหรือทัก เจอกันบ่อยเข้าก็คุ้นเคยไปโดยปริยาย
“พี่เอื้อคะ พี่ทำปากกาตกไว้ค่ะ” ช่วงอ่านหนังสือเตรียมสอบกลางภาค ห้องสมุดและร้านคาเฟ่มักจะมีนักศึกษาไปจับจองจนเต็ม
และช่างโชคดีที่พวกเขามาอ่านที่ห้องสมุดโต๊ะใกล้กัน ชายหนุ่มทำปากกาตกไว้หล่อนจึงรีบใช้โอกาสนี้เก็บและคืนให้เขา เป็นครั้งแรกที่ได้พูดคุยกันหลังจากเมียงมองมาหลายเดือน
“ขอบคุณครับ” ค้อมศีรษะแล้วหยิบปากกานั้นเก็บใส่กระเป๋า
“คุณรู้จักผมเหรอ” แล้วเงยหน้าขึ้นถามอย่างไม่คาดคิด คนตัวเล็กเผลอกัดปากไม่ให้ฉีกยิ้มที่ได้คุยกับเขามากกว่าหนึ่งประโยค
“ค่ะ เห็นพี่บ่อยเลยจำได้ ดาวนะคะ” แนะนำตนเองพร้อมมอบรอยยิ้มพิมพ์ใจให้เขา อย่างน้อยก็หวังว่าอีกฝ่ายจะจำตนเองได้
ร่างสูงทำเพียงพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้องสมุด หล่อนแอบเสียดายที่มีเวลาอยู่กับเขาน้อย พอดีกับเพื่อนที่ไปเข้าห้องน้ำกลับมาจึงได้มาอ่านหนังสือกันต่อจนถึงเช้าวันต่อมา
หลังจากนั้นยามเจอกันหล่อนก็จะทักทายเขาบ้าง แต่พูดเพียงแค่สองสามประโยคไม่ได้รู้จักกันจนสนิท ต้องเว้นระยะห่างไว้เพราะสถานะที่อยากได้ไม่ใช่น้อง
แต่เป็นแฟนต่างหาก...
“เธอเนี่ยนะจะไปเข้าค่ายอาสา ตลกแล้วยัยดาว คุณแม่ของเธอได้ฉีกอกพอดี” บอกเพื่อนสนิทอย่างกานต์ธีรา วิเศษพงษ์ที่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก จนมาเรียนมหาวิทยาลัยคณะและสาขาเดียวกัน กลายเป็นเพื่อนซี้ตัวติดกัน
“ฉันมีวิธีของฉันน่า แต่เธอต้องไปด้วยนะแก้วตา แล้วก็เธอด้วย” หันไปบอกกานต์ธีรา แล้วค่อยหันมามองพรนลัท พฤกษากรเพื่อนที่เพิ่งมาสนิทกันช่วงเข้าอุดมศึกษา จนกลายเป็นกลุ่มแก็งค์ที่มีสามสาวสวยระดับดาวคณะรวมตัว
“ได้สิ” ตกลงกันได้แล้วก็ไปสมัครเข้าค่าย
เธอต่อรองกับมารดาโดยใช้ข้ออ้างในการทำงานหนักกว่าเดิม เม็ดเงินที่ได้มาต้องเยอะกว่าทำให้ท่านอนุญาต โดยไม่รู้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะนำมาซึ่งเรื่องปวดหัวและจุดแตกหักกับลูกสาวเพียงคนเดียวของครอบครัว
และการไปค่ายอาสาครั้งนี้ทำให้เธอได้ใกล้ชิดกับเอื้ออังกูรมากกว่าเดิม นอกจากนั้นยังได้เห็นมุมต่างๆ ของเขา ทั้งความมีน้ำใจ ความเป็นผู้นำและเอื้อเฟือแก่ผู้อื่น ยิ่งหลงรักมากกว่าเดิมอีก หมายมั่นจะจับชายหนุ่มให้ได้!
“พี่เอื้อคะ ขนมค่ะ” ทำใจกล้าเข้าไปมอบแซนวิชให้ร่างสูง แล้วรีบผละออกมารวดเร็ว แอบดูว่าเขาจะเห็นกระดาษที่ซ่อนอยู่ข้างในไหม
และเมื่อชายหนุ่มเอาออกมาอ่านก็รีบหันมองหล่อน ทว่าร่างบางรีบหลบกลัวเขาเห็น ไม่รู้เอาความใจกล้ามาจากไหนถึงอาจหาญจีบผู้ชายได้ขนาดนี้
เย็นวันนั้นหลังทำงานอาสาเสร็จ ทุกคนต่างเรือนนอน ซึ่งเป็นโรงเรียนของหมู่บ้านถูกทำเป็นที่นอนชั่วคราวให้กลุ่มนักศึกษา ทว่ามีสองคนที่ไม่ยอมกลับ พวกเขาเลือกเดินไปยังริมแม่น้ำโขงในช่วงเย็น
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มสลับคราม แดดไม่ส่องจนแสบตาเหมือนตอนกลางวัน พอร่างบางเดินไปก็เห็นเขายืนอยู่ก่อนหน้าแล้ว เธอถึงกับกำมือแน่นเริ่มกลัวกับการสารภาพรัก