ตอนที่3 เข้ามาเกี่ยวข้อง
เมื่อแยกกับปลายฟ้าภีร์ก็กลับขึ้นมาตรวจคนไข้ที่แผนกหลังจากนั้นก็มานั่งทำงานที่ห้องพักแพทย์ของแผนกอายุรกรรมซึ่งภีร์มีโต๊ะทำงานวางอยู่ที่นี่ด้วย นั่งทำงานไปได้สักพักใบหน้าหวานของญาติคนไข้คนเมื่อเช้าก็ลอยเข้ามาในหัวพานให้นึกถึงอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มขมวดคิ้วเหมือนคนครุ่นคิดเกี่ยวกับผลวินิจฉัยอาการป่วยพ่อของปลายฟ้าและรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างดลใจให้เขาต้องขอดูผลเอกซเรย์อีกครั้ง
“หมอขวัญ คนไข้เตียงหนึ่งหมอให้กลับบ้านแล้วเหรอครับ” ภีร์เอ่ยถามหมอเจ้าของไข้โต๊ะข้าง ๆ ทั้งที่รู้อยู่แล้วเพราะญาติคนไข้นั้นเดินเข้ามาบอกเขาก่อนหน้านั้นแล้ว
“ค่ะ..ให้รับยาแล้วกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านแล้ว มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ผมขอดูผลเอกซเรย์ของคนไข้รายนั้นอีกรอบได้ไหมครับ เมื่อสักครู่ผมยังดูไม่ละเอียดเลยอยากจะดูให้แน่ใจอีกครั้งน่ะครับ”
“ได้ค่ะ นี่ค่ะ” แฟ้มประวัติคนไข้ทั้งหมดถูกส่งให้ภีร์
ภีร์นั่งดูแผ่นฟิล์มเอกซเรย์อีกครั้งอย่างตั้งใจ คิ้วหนาดกดำค่อย ๆ ขมวดเข้าหากันราวคนกำลังใช้ความคิด
“ผมอยากเรียกคนไข้กลับมาตรวจให้ละเอียดอีกครั้ง รอยแผลที่เกิดมีบางจุดที่มีลักษณะพิเศษ ผมกลัวว่าแผลนั้นอาจจะไม่ใช่แผลที่เกิดจากการอักเสบธรรมดา” เสียงเรียบนิ่งพูดขึ้นเมื่อใช้เวลานั่งดูผลตรวจอย่างละเอียดอีกครั้งจนสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง
“คุณหมอภีร์กำลังจะบอกขวัญว่า แผลนั้นอาจจะเป็นรอยแผลที่เกิดจากอย่างสาเหตุอื่นอย่างนั้นเหรอคะ” เสียงหวานเจือกังวลเอ่ยถามขึ้น
“ครับ จากประสบการณ์ของผม..ผมคิดว่าอาจจะเป็นแบบนั้น” ภีร์ยืนยันสมมติฐานและความเป็นไปได้หนักแน่นจนอีกฝ่ายรีบทำตามที่ภีร์บอกอย่างไม่รอช้า
“ถ้างั้นขวัญจะติดต่อกลับไปหาคนไข้อีกครั้งให้เขาเข้ามาตรวจเพื่อยืนยันผลอีกครั้งนะคะ”
หมอของขวัญติดต่อไปทางครอบครัวของปลายฟ้าอีกครั้ง และแจ้งรายละเอียดทั้งหมดให้คนไข้และญาติทราบ แม่ของปลายฟ้ายินดีที่จะพาสามีกลับไปตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยครั้งนี้ต้องตรวจด้วยวิธีฉีดสีเข้าไปในกระเพาะและทำการฉายแสงส่องกล้อง
“ไม่ไป ไม่ไป พ่อไม่ได้เป็นอะไรหรอกยัยปลาย หมอเขาก็บอกแล้วว่ามันเป็นอาการของโรคกระเพาะ แล้วตอนนี้อาการปวดก็ดีขึ้นแล้ว จะให้กลับไปโรงพยาบาลอีกทำไม แค่คืนเดียวก็เบื่อจะตายแล้ว” ชายวัยห้าสิบปลาย ๆ กำลังโวยวายเสียงดังลั่นบ้าน
คำปฏิเสธและท่าทางดื้อรั้นของคนเป็นพ่อทำให้ปลายฟ้าต้องหนักใจเพราะสายที่ได้รับจากหมอเจ้าของไข้ ที่อ้างถึงนายแพทย์ภีรภัทรศัลยแพทย์มือหนึ่งของโรงพยาบาลได้สันนิษฐานอาการป่วยพ่อของเธอว่าไม่ปกติ ปัญหาตอนนี้คือพ่อของเธอไม่อยากกลับไปตรวจอีกเพราะเชื่อว่าตัวเองเป็นเพียงโรคกระเพาะ
“ถือว่าปลายขอนะพ่อ เรามีกันแค่สามคนปลายอยากให้พ่อกลับไปตรวจอีกครั้งให้แน่ใจ เพราะคุณหมอเจ้าของไข้แจ้งว่าการตรวจครั้งนี้จะตรวจด้วยวิธีฉีดสีเข้าไปในกระเพาะและทำการส่องกล้องดู โดยจะมีหมอผู้เชี่ยวชาญอีกท่านร่วมประเมินอาการด้วย ถ้าหากว่ากลับไปตรวจครั้งนี้แล้วผลยืนยันออกมาว่าพ่อเป็นเพียงโรคกระเพาะเหมือนเดิม ปลายสัญญาว่าจะไม่บังคับพ่อให้ไปโรงพยาบาลอีก” ดวงตากลมโตตอนนี้เริ่มเอ่อไปด้วยน้ำใส ๆ เสียงหวานปนสะอื้นขอร้องคนเป็นพ่อพร้อมกับนั่งคุกเข่าตรงหน้าแล้วร้องไห้ออกมา เมื่อเห็นน้ำตาของลูกสาวคนเป็นพ่อก็ไม่อาจทนดูได้จึงต้องยอมรับปากออกไปทั้งที่ใจเกลียดการไปโรงพยาบาลเต็มที
วันรุ่งขึ้น ณ โรงพยาบาล
ปลายฟ้าและคนเป็นแม่พาพ่อของเธอกลับมาที่โรงพยาบาลอีกตามที่หมอนัด เมื่อยื่นเอกสารเรียบร้อยแล้วพ่อของปลายฟ้าก็ถูกส่งตัวไปกลืนแป้งและส่องกล้องเพื่อตรวจหาความผิดปกติของบาดแผลในกระเพาะอาหารอีกครั้ง และเจ้าหน้าที่แจ้งว่าผลการตรวจจะออกในช่วงบ่ายขอให้ญาติคนไข้พาคนป่วยไปพักที่ห้องพักฟื้นผู้ป่วยนอกก่อน
ห้องตรวจ นายแพทย์ภีรภัทร
“เชิญคนไข้และญาติเข้าไปพบคุณหมอด้านในเลยค่ะ”
“คุณหมอสวัสดีค่ะ” มือเรียวยกขึ้นไหว้คุณหมอหนุ่มอย่างมีมารยาท รวมถึงหมอเจ้าของเคสอย่างหมอของขวัญด้วย
“สวัสดีครับ ผลตรวจร่างกายคนไข้อย่างละเอียดออกมาแล้วนะครับ”
“ผลจากการกลืนแป้งและเอกซเรย์ดูความผิดปกติของกระเพาะในครั้งนี้อย่างละเอียดออกมาว่าคนไข้เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะที่สามนะครับ แต่ตอนนี้ยังมีโอกาสรักษาให้หายได้เพราะเราตรวจพบแต่เนิ่น ๆ ถ้ารีบรักษาโอกาสรอดก็มากขึ้นไปด้วยครับ” ใบหน้าที่เคร่งขรึมเมื่อดูผลการตรวจแล้วต้องอธิบายให้คนไข้และญาติรับทราบถึงโรคที่กำลังเผชิญอยู่ แม้ภีร์จะลำบากใจที่จะแจ้งผลตรวจแต่ก็ต้องทำตามหน้าที่
“อะไรนะคะ พ่อฉันเป็นมะเร็งระยะที่สามอย่างนั้นหรือคะ” ปลายฟ้าเอ่ยถามหมอด้วยน้ำเสียงเบาหวิว หญิงสาวผู้ที่พึ่งได้รับข่าวร้ายของผู้เป็นบิดาถึงกับน้ำตาไหลคลอเบ้าและหยดลงอาบแก้มอย่างไม่รู้ตัว
ภีร์จึงหยิบทิชชูยื่นมาตรงหน้าแม้ว่าจะไม่ค่อยถูกชะตากับหญิงสาวเท่าไหร่แต่เวลานี้ก็คงไม่เหมาะนักที่จะไร้น้ำใจ ปลายฟ้ายื่นมือไปรับทิชชูจากคุณหมอหนุ่มเพื่อซับน้ำตาแห่งความโศกเศร้ากับสิ่งที่ได้รับรู้
“ทางเราจะรักษาให้เต็มที่ ตอนนี้สิ่งที่ควรทำคือทำจิตใจให้สบายอย่าเครียดทั้งตัวคนไข้แล้วก็ญาติด้วยนะครับ แล้วเดี๋ยวทางคุณหมอขวัญจะแจ้งเกี่ยวกับแนวทางการรักษาให้ทราบอีกครั้ง” เมื่อเห็นว่าปลายฟ้าเริ่มสงบลงจากอาการร้องไห้ภีร์จึงพูดต่อเพื่อให้ได้ข้อสรุปโดยเร็ว
“แล้วฉันต้องทำยังไงต่อไปคะเกี่ยวกับการรักษาอาการของคุณพ่อ” ปลายฟ้าถามหมอโดยไม่ได้เจาะจงว่าเป็นหมอคนไหนเพราะตอนนี้เธอห่วงอาการของพ่อเธอมากกว่า
“เนื่องจากผลการตรวจอย่างละเอียดพึ่งออกมา หมอคงต้องขอเอาผลไปประชุมกับทีมแพทย์ก่อนว่าจะรักษาด้วยการทำคีโมหรือว่าผ่าตัดที่จะเป็นผลดีต่อตัวคนไข้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว วันพรุ่งนี้หมอจะแจ้งทางญาติอีกทีนะคะว่าเราจะใช้แนวทางการรักษาด้วยวิธีไหน” แพทย์เจ้าของไข้บอกถึงแนวทางการรักษาที่วางไว้คร่าว ๆ ให้กับปลายฟ้าและแม่ของเธอให้ทราบ ตอนนี้ปลายฟ้าจิตใจแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทุกคำบอกเล่าของหมอขวัญปลายฟ้าต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะดึงสติกลับมาฟังให้มากที่สุด
“คืนนี้คนไข้ก็คงต้องเริ่มนอนที่โรงพยาบาลอีกครั้งนะคะเพราะหากว่าทางทีมแพทย์ได้ข้อสรุปยังไงคนไข้จะได้เตรียมตัวอย่างถูกวิธีเพื่อเข้ารับการรักษา”
“ญาติไม่ต้องห่วงนะคะทางโรงพยาบาลมีหมอฝีมือดีที่พร้อมดูแลคนไข้อย่างเต็มความสามารถค่ะโดยเฉพาะหมอภีร์ คนไข้ถือว่าโชคดีมากนะคะที่หมอภีร์มองเห็นถึงความผิดปกติได้เร็วจึงรีบเรียกกลับมาตรวจซ้ำ หมอภีร์เป็นศัลยแพทย์มือหนึ่งของที่นี่ค่ะ ญาติคนไข้วางใจได้ค่ะว่าอาการของคุณธิตินั้นต้องรักษาหายอย่างแน่นอนค่ะ”
หมอของขวัญให้กำลังใจปลายฟ้าเหมือนกับให้กำลังใจคนไข้ทุกคน ถึงจะเจอกับสีหน้าและแววตาน่าสงสารแบบนี้ทุกวันแต่มันก็ไม่ทำให้เคยชินสักที และเธอก็ทำได้เพียงการให้กำลังคนไข้และญาติ และใช้ความสามารถที่เรียนมาทั้งหมดรักษาคนไข้ให้ดีที่สุด
“ขอบคุณนะคะ” ปลายฟ้าหันไปยกมือไหว้ภีร์และหันมาไหว้หมอขวัญ
การพูดคุยกับญาติคนไข้เบื้องต้นเสร็จเรียบร้อยแพทย์หญิงของขวัญจึงขอตัวไปร่วมปรึกษากับทีมแพทย์เกี่ยวกับแนวทางการรักษาต่อไป ส่วนแม่ของปลายฟ้าก็ขอตัวไปหาสามีที่กำลังนอนอยู่ที่ห้องผู้ป่วย
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ” เมื่อห้องพักแพทย์ตอนนี้เหลือเพียงภีร์และปลายฟ้าและหญิงสาวก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรเกี่ยวกับอาการคนเป็นพ่อเพิ่มเติมภีร์จึงขอตัวเตรียมเดินออกจากห้อง
“เอ่อ คุณหมอคะแล้วคุณจะเป็นคนผ่าตัดให้พ่อฉันหรือเปล่าคะ” เท้ายาวหยุดชะงักทันทีขณะที่กำลังก้าวเท้าเดินออกจากห้อง
“ผมยังให้คำตอบตอนนี้ไม่ได้ครับเพราะผมไม่ได้เป็นคนจัดสรรทีมแพทย์ ญาติต้องรอหมอเจ้าของไข้แจ้งให้ทราบอีกทีนะครับ” เสียงเรียบนิ่งพูดขึ้นทั้งที่ยืนหันหลังให้หญิงสาวอยู่ เมื่อพูดจบเท้ายาวก็สาวเท้าเดินจากไปทันทีโดยที่ไม่แม้แต่จะหันกลับมามองเจ้าของคำถามที่ตอนนี้ยืนน้ำตาคลอเบ้าอยู่ในห้องเงียบ ๆ คนเดียว
“ค่ะฉันภาวนาให้เป็นคุณนะคะ..ที่จะผ่าตัดให้พ่อฉัน” เสียงพึมพำคล้ายคนละเมอพูดขึ้นก่อนจะหยิบกระดาษทิชชูสีขาวจากกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาซับน้ำสีใสที่ไหลออกมาบริเวณหางตา
ห้องอาหารของโรงพยาบาล
“อเมริกาโน่ร้อนเหมือนเดิมครับ” ภีร์เดินไปหยุดหน้าร้านกาแฟแบรนด์ดังแล้วสั่งกาแฟของตนเองเหมือนเช่นทุกวันก่อนจะจ่ายเงินแล้วรับกาแฟเดินไปหาที่นั่ง ภาพหญิงสาวที่นั่งร้องไห้เมื่อได้ทราบผลป่วยของผู้เป็นพ่อในความคิดของภีร์ช่างเป็นคนละคนกับผู้หญิงที่ยืนกอดกับผู้ชายอยู่ที่หน้าโรงเรียนเมื่อหลายวันก่อน เมื่อนึกถึงภาพวันนั้นภีร์ก็แค่นยิ้มเบา ๆ แล้วส่ายหัวกับมารยาของผู้หญิงที่พึ่งเดินจากมา
“นั่งคิดอะไรมีเคสยากเหรอวะ” สีหน้าจริงจังของภีร์ทำให้ภาคย์เป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน
“เปล่า” เสียงเรียบตอบกลับทั้งที่คิ้วทั้งสองข้างแทบผูกกันเป็นโบว
“แต่ท่าทางมึงบอกว่ามี” ภาคย์ย้ำขึ้นอีกรอบ
พรู่!! เสียงถอนหายใจเบา ๆ ออกจากปากศัลยแพทย์หนุ่ม
“มันก็มีบ้างแต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแค่หงุดหงิด” ภีร์ตอบออกไปตามความจริงเพราะเรื่องที่รบกวนจิตใจของเขาอยู่ตอนนี้นั้นไม่ใช่เรื่องงานแต่เป็นเรื่องอื่น
“เห็นว่าวันนี้ตรวจเจอมะเร็งเคสใหม่ ทางแผนกอายุรกรรมนัดประชุมกันให้วุ่น เห็นบอกว่าเป็นเคสพิเศษเพราะไม่เคยเจอลักษณะนี้” ภาคย์ที่พึ่งได้รับรายงานก่อนหน้าไม่กี่นาทีและนี่เป็นสาเหตุที่เขาเดินมาที่ห้องอาหาร
“อืม”
“แล้วเป็นไงตอนนี้เคสนี้”
“พึ่งแจ้งญาติคนไข้เมื่อกี้ว่าเป็นมะเร็ง ก็คงต้องผ่าตัด” ภีร์พูดไปตามผลการตรวจและวิเคราะห์เบื้องต้นแล้วว่ายังไงก็ต้องผ่าตัดเนื้อร้ายออกเพราะการทำคีโมอาจไม่สามารถฆ่าเชื้อร้ายได้หมดและทันเวลาก่อนที่จะลุกลามไปอวัยวะอื่น
“ได้ข่าวว่าเป็นพ่อของครูมินนี่ด้วยนี่”
“ใช่” ภีร์ละสายตาจากแก้วกาแฟตรงหน้าแหงนหน้ามองเพื่อนเพราะรู้วัตถุประสงค์ที่เพื่อนตนมานั่งอยู่ที่นี่เวลานี้
“มึงจะเป็นคนผ่าเองหรือเปล่า” เป็นไปตามคาดเสียงทุ้มของภาคย์เอ่ยถามขึ้น
“ถึงกูไม่ผ่าหมอคนอื่นก็มีเยอะแยะ” คำปฏิเสธทางอ้อมของภีร์ทำให้ภาคย์ถึงกับมีคำถามขึ้นในหัว
“มึงมีอะไรส่วนตัวที่อยากบอกกูไหมไอ้ภีร์” ภาคย์หรี่ตามองเพื่อนอย่างสงสัยในท่าที
“ไม่มี” ภีร์ตอบกลับเสียงเรียบ สายตาหลุบมองแก้วในมือ ยกขึ้นกระดกทีเดียวจนหมดแก้ว
“หึ! มึงมีพิรุธไอ้ภีร์”
“กูบอกไม่มีก็คือไม่มี แล้วมึงว่างหรือไงมานั่งจับผิดกูอยู่นี่”
“เออ..ไม่มีก็ไม่มีแล้วตอนนี้มึงมีเคสอะไรด่วนอีกไหม ถ้าไม่มีขึ้นไปข้างบนดูงานวิจัยกันหน่อยไหม” เมื่อภีร์ยืนยันว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรภาคย์ก็ไม่อยากเซ้าซี้แม้จะเห็นว่าท่าทางของภีร์ดูแปลก ๆ แต่ภาคย์ก็รู้นิสัยเพื่อนดีว่าถ้าถึงที่สุดคงพูดออกมาเอง ภาคย์จึงชวนภีร์ไปดูเอกสารงานวิจัยในห้องพักแพทย์ส่วนตัวที่ภาคย์ ภีร์ และเวย์ทำร่วมกัน
“อืม เดี๋ยวไปแล้วไอ้เวย์ล่ะ”
“เดี๋ยวมันตามไปมันกำลังเสร็จจากห้องผ่าตัด งั้นกูขึ้นไปรอพวกมึงก่อนนะ” ภาคย์พูดเสร็จก็เดินนำภีร์ออกไปจากห้องอาหาร ภีร์จึงยกกาแฟขึ้นดื่มอีกครั้งก่อนจะเดินตามเพื่อนออกไป ระหว่างที่กำลังมุ่งหน้ากลับไปเอาของที่แผนกภีร์ก็เจอกับปลายฟ้าอีกครั้งที่กำลังยืนกดซื้อน้ำจากตู้ขายน้ำอัตโนมัติ ภีร์คิดจะเดินเลี่ยงไปอีกทางเพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับหญิงสาว แต่ปลายฟ้าหันกลับมาเจอกับภีร์พอดีหญิงสาวจึงส่งยิ้มไปให้คุณหมอหนุ่มแต่รอยยิ้มหวานที่เจือไปด้วยความเศร้านั้นกลับถูกหมอหนุ่มทำเมินเหมือนมองไม่เห็นแล้วเดินผ่านไปเหมือนกับว่าเจ้าของรอยยิ้มนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย