ตอนที่ 4 ผิดหวัง
ระหว่างที่พ่อของปลายฟ้ารอเข้ารับการผ่าตัดใหญ่พยาบาลและเจ้าหน้าที่ก็เข้ามาคอยแนะนำเรื่องการเตรียมร่างกายของคนไข้เพื่อให้พร้อมสำหรับการผ่าตัดให้มากที่สุด ระหว่างนี้ภีร์เข้ามาตรวจคนไข้เตียงข้าง ๆ ตลอดและได้เจอกับปลายฟ้าที่อยู่เฝ้าผู้เป็นพ่อทุกครั้ง
เมื่อทีมแพทย์ได้ข้อสรุปแนวทางการรักษาพ่อของปลายฟ้า ทางแพทย์เจ้าของไข้ก็ได้แจ้งให้ญาติได้รับทราบในวันต่อมา ซึ่งการผ่าตัดครั้งนี้พ่อของปลายฟ้าต้องใช้ศัลยแพทย์ในการผ่าตัดครั้งนี้ด้วย กระบวนการรักษาจะมีหมอแผนกอายุรกรรมทำงานร่วมกับแผนกศัลยกรรม โดยตอนนี้ยังไม่ได้ระบุชื่อแพทย์ที่จะเป็นคนทำการผ่าตัดเพราะทางโรงพยาบาลจะเป็นคนจัดทีมแพทย์เอง
ช่วงสายวันนั้น
ปลายฟ้าและแม่ถูกเชิญให้เข้ารับฟังสรุปแนวทางการรักษาจากทีมแพทย์ภายในห้องประชุมของโรงพยาบาล โดยมีทีมแพทย์ 4 คนและเจ้าหน้าที่อีกสามคนนั่งอยู่ภายในห้อง และอีกฝั่งของโต๊ะก็มีปลายฟ้าและแม่ของเธอนั่งอยู่ เมื่อทุกคนที่เกี่ยวข้องเข้ามาภายในห้องประชุมจนครบหมอของขวัญซึ่งเป็นแพทย์เจ้าของไข้เคสนี้ก็เริ่มสรุปแนวทางการรักษาโดยละเอียด
“เชื้อร้ายที่ตรวจพบอยู่ส่วนปลายของกระเพาะอาหารยังไม่ได้ลุกลามไปทั้งหมด ทางทีมแพทย์จึงสรุปแนวทางการรักษาโดยการผ่าตัดซึ่งการผ่าตัดมีให้เลือกอยู่สองวิธีคือ หนึ่งต้องตัดกระเพาะอาหารของคนไข้ออกทั้งหมดเพื่อป้องกันเนื้อร้ายลุกลาม และสองจะใช้วิธีการผ่าตัดชิ้นเนื้อส่วนที่เป็นเนื้อร้ายออกทั้งหมด และจะรักษากระเพาะอาหารส่วนที่ดีไว้ให้ได้มากที่สุดเพื่อจะไม่ให้มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนไข้ต่อไปในอนาคต ทางเราจึงอยากปรึกษาญาติของคนไข้ว่าทางญาติจะตัดสินใจเลือกวิธีการแบบไหน ซึ่งแต่ละแบบนั้นมีข้อดีข้อเสียต่างกัน” แพทย์หญิงของขวัญโชว์แผ่นเอกซเรย์ประกอบคำอธิบายให้ปลายฟ้าและแม่ได้ทราบ
“ก่อนตัดสินใจหนูขอถามความคิดเห็นของหมอภีรภัทรหน่อยค่ะ สำหรับเคสนี้คุณหมอมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างคะ” ปลายฟ้าโยนคำถามไปให้คุณหมอหนุ่มเพื่อประกอบการตัดสินใจแทนที่จะเป็นแพทย์เจ้าของไข้
“สำหรับผม ผมเลือกที่จะตัดเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อร้ายออกครับและจะใช้การทำคีโมร่วมด้วยเพราะการรักษาอวัยวะส่วนที่สำคัญไว้เป็นแนวทางที่ดีที่สุด การใช้ชีวิตของคนไข้หลังการรักษาก็เป็นเรื่องสำคัญมากเหมือนกัน แต่ญาติคนไข้ต้องเข้าใจด้วยนะครับไม่ว่าจะเลือกวิธีการไหน การผ่าตัดก็มีความเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้นครับ”
“ค่ะ ฉันเข้าใจค่ะ ฉันขอเลือกวิธีที่คุณหมอภีรภัทรเสนอค่ะ” ปลายฟ้าพยักหน้าเข้าใจสิ่งที่คุณหมอหนุ่มอธิบายให้ฟังเมื่อสักครู่ ดวงตากลมโตมองไปยังคุณหมอหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยสายตาแห่งความหวังทั้งที่ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าหมอคนไหนจะเป็นคนผ่าตัดให้พ่อเธอ
“งั้นสรุปญาติคนไข้เลือกวิธีที่สองนะคะ ส่วนทีมแพทย์ที่จะทำการผ่าตัดเคสนี้จะเป็นคุณหมอดนัยค่ะ สำหรับวันผ่าตัดจะให้ทางพยาบาลแจ้งญาติคนไข้อีกทีนะคะว่าจะเป็นวันไหน ทางเราจะพยายามสุดความสามารถค่ะ” เมื่อได้คำตอบจากญาติหมอเจ้าของไข้ก็สรุปแนวทางการรักษาให้ฟังอีกครั้งพร้อมแจ้งให้ทราบถึงทีมแพทย์ที่จะทำการผ่าตัดในครั้งนี้
“คุณหมอที่จะทำการผ่าตัดพ่อฉันไม่ใช่หมอภีรภัทรหรอกเหรอคะ” ใบหน้าหวานที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัยถามออกมาเพราะเข้าใจว่าเคสของพ่อเธอคุณหมอภีรภัทรซึ่งเป็นคนตรวจพบความผิดปกติจะเป็นคนผ่าตัดให้
“เปล่าค่ะ เคสนี้คุณหมอดนัยเป็นคนผ่าตัดค่ะ ทีมแพทย์ของโรงพยาบาลเราเป็นหมอที่มีความสามารถทุกคน ญาติคนไข้วางใจได้ค่ะ” ภีร์เอียงสายตามองหน้าปลายฟ้าที่กำลังทำหน้าผิดหวังอีกครั้งทั้งที่ก่อนหน้านี้สีหน้าเธอเริ่มดีขึ้นหลังจากได้ฟังการชี้แจงแนวทางการรักษา
เหตุการณ์ก่อนเข้าห้องประชุม
“หมอภีร์คะ ฉันขอทราบเหตุผลหน่อยได้ไหมคะว่าทำไมคุณถึงปฏิเสธการผ่าตัดคนไข้รายนี้ ทั้ง ๆ ที่คุณเป็นคนตรวจเจอและศึกษาข้อมูลมาตั้งแต่แรก” หมอของขวัญหมอแผนกอายุรกรรมถามขึ้นเมื่อเธอโดนภีร์ปฏิเสธการเชิญเข้าร่วมเป็นศัลยแพทย์ในเคสนี้
“เหตุผลส่วนตัวครับและอีกอย่างหมอดนัยเองก็ผ่าตัด เคสลักษณะนี้มาเยอะคงทำได้ดีแน่นอนครับ”
“โอเคค่ะ ฉันยอมรับการตัดสินใจของคุณ”
ทุกคนเดินแยกย้ายออกจากห้องประชุมเมื่อได้ข้อสรุปในการรักษา เหลือเพียงสองคนสุดท้ายที่นั่งเก้าอี้ด้านในสุดคือหมอภีร์และปลายฟ้า ทั้งสองนั่งอยู่โดยไม่มีใครพูดอะไร ก่อนที่ภีร์จะเอื้อมมือไปหยิบเอกสารตรงหน้าแล้วลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไปจากห้อง
“คุณหมอภีรภัทรคะ ฉันขอคุยกับคุณสักครู่ได้ไหมคะ” ฝ่ามือหนาที่กำลังเอื้อมเปิดประตูต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง
“ครับ มีอะไรกับผมครับ”
“คือ..ฉันจะขอร้องให้คุณหมอมาช่วยผ่าตัดพ่อของฉันได้ไหมคะ คือไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อใจหมอดนัยนะคะ แต่เคสของพ่อฉันคุณหมอเป็นคนตรวจเจอไม่ใช่เหรอคะ ฉันคิดว่าคุณหมอเป็นคนผ่าตัดน่าจะดีกว่า” เสียงเล็กพูดออกไปยาวเหยียดแทบไม่เว้นช่วงหายใจ
“หมอที่ทำการตรวจวินิจฉัยไม่จำเป็นต้องทำการรักษาด้วยตัวเองเพราะการรักษาจะถูกประเมินโดยทีมแพทย์ที่เหมาะสมเพราะฉะนั้นทีมแพทย์ที่ทางโรงพยาบาลเลือกมานั้นเหมาะสมที่สุดแล้วครับ ผมขอตัวนะครับมีตรวจคนไข้ต่อ” ภีร์พูดจบก็เปิดประตูเดินออกจากห้องไปทันทีโดยไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำว่าคนที่ยังยืนอยู่ในห้องนั้นจะรู้สึกแบบไหนที่ได้รับคำตอบแบบนั้นกลับไป
“ฉันก็แค่ไว้ใจคุณที่สุด ทำไมคุณใจร้ายจังคะ” ดวงตากลมโตเอ่อคลอไปด้วยน้ำสีใสที่พร้อมจะไหลหยดลงอาบแก้ม กระดาษทิชชูสีขาวถูกดึงออกมาจากกล่องและเช็ดลวก ๆ ที่หางตา
ซื๊ด..เสียงซื๊ดน้ำมูกที่ตั้งท่าจะไหลออกมากลับเข้าไปที่เดิม
เฮ้อ!..ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปลายฟ้าใช้เวลาจัดการอารมณ์และความรู้สึกที่แย่ของตัวเองประมาณห้านาที เมื่อเช็กความเรียบร้อยบนใบหน้าที่เกือบชุ่มไปด้วยน้ำตาแล้วก็รีบสาวเท้าเดินกลับไปหาผู้เป็นพ่อที่ห้องพักผู้ป่วย
“พ่อเป็นยังไงบ้างคะรู้สึกปวดท้องหรือเปล่า” ปลายฟ้าที่เดินกลับมาหาผู้เป็นพ่อในห้องผู้ป่วยถามขึ้นเบา ๆ แม้จะดีใจที่พ่อของเธอจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีแต่ลึก ๆ ก็ยังเสียใจเมื่อคนที่จะทำการผ่าตัดให้พ่อเธอไม่ใช่หมอคนที่เธอหวังและเชื่อใจ
“ก็นิดหน่อยพอทนได้”
“อีกไม่กี่วันพ่อจะต้องเข้ารับการผ่าตัดแล้วนะพ่อต้องทำใจให้สบายไม่ต้องกังวลอะไรหมอที่นี่เขาเก่งเขาจะช่วยให้พ่อหาย” ร่างบางที่นั่งลงตรงเก้าอี้ข้างเตียงคนไข้พยายามกลั้นน้ำตาและฝืนยิ้มบอกคนเป็นพ่อเสียงเบา มือบางยื่นไปจับแขนที่เริ่มเหี่ยวย่นตามกาลเวลาของคนเป็นพ่อเพื่อให้กำลังใจ
“แล้วหมอที่จะผ่าตัดให้พ่อคือคนไหนล่ะ ใช่หมอผู้ชายที่เจอวันก่อนหรือเปล่าที่บอกว่าเป็นคนตรวจเจอน่ะ” เสียงแหบถามลูกสาวเพราะอยากรู้ว่าหมอคนไหนจะเป็นคนที่ช่วยตัดเจ้าเนื้อร้ายไปให้พ้นร่างกายของตน เพราะเอาเข้าจริง ๆ ตอนนี้ครอบครัวเขาก็ฝากความหวังไว้ที่หมอหนุ่มคนนั้นเพียงคนเดียว
“หมอที่จะผ่าตัดให้พ่อชื่อหมอดนัยค่ะเขาเคยผ่าตัดเคสลักษณะนี้มาเยอะพ่อไม่ต้องกังวลไปนะคะหมอที่นี่เก่งทุกคนค่ะ ทางโรงพยาบาลเขาจัดทีมแพทย์ที่เก่งที่สุดมารักษาพ่อเลยนะคะ” เสียงเจื้อยแจ้วบอกกับผู้เป็นพ่อออกไป สายตาเศร้าสร้อยพยายามไม่สบตาผู้เป็นพ่อเพราะกลัวจะเห็นความกังวลที่ซ่อนอยู่ในแววตาที่ปิดไม่มิด
“หมอภีร์คะมีอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงเรียกคุณหมอหนุ่มไม่ได้มีเพียงภีร์เท่านั้นที่ได้ยินแต่หญิงสาวที่กำลังนั่งเฝ้าผู้เป็นพ่ออยู่ก็ได้ยินจนต้องหันไปมองเช่นกัน ปลายฟ้าหันไปมองคุณหมอหนุ่มก่อนที่ทั้งคู่จะสบตากัน ดวงตากลมโตที่ภีร์เห็นอยู่ตอนนี้เจือไปด้วยความผิดหวังยามที่มองมายังเขาแต่ชายหนุ่มไม่คิดสนใจ
“เอ่อ ไม่มีอะไรครับ” สายตาคมของภีร์ละจากปลายฟ้าแล้วหันไปตอบพยาบาลสาวก่อนจะเดินนำไปที่เตียงคนไข้ในความดูแลโดยไม่ได้สนใจทักทายหรือพูดอะไรกับคนที่สบตากับตนเมื่อครู่ที่ผ่านมา ปลายฟ้ารู้สึกผิดหวังและเสียใจเพราะเธอเคยหวังลึก ๆ ว่าคุณหมอหนุ่มที่เคยเจอกันมาบ้างที่โรงเรียนสอนดนตรีจะเห็นใจเธอ อย่างน้อยก็ในฐานะครูของลูกสาวเขาก็ยังดีแล้วช่วยผ่าตัดให้พ่อของเธอ แต่กลายเป็นว่าปลายฟ้าคิดผิดเพราะนอกจากภีร์จะไม่ใช่คนที่ผ่าตัดให้พ่อของเธอแล้ว คุณหมอหนุ่มยังแสดงท่าทางเหมือนไม่ต้องการจะคุยกับเธอด้วยซ้ำ
ภีร์ใช้เวลาตรวจคนไข้ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็แล้วเสร็จและกลับไปนั่งทำงานต่อที่โต๊ะบนห้องทำงานชั้นบนซึ่งเป็นห้องทำงานประจำของทั้งสามคนซึ่งห้องอยู่ติดกับห้องทำงานส่วนตัวของผู้บริหารโรงพยาบาลอย่างหมอภาคย์
แววตาเศร้าสร้อยของหญิงสาวเมื่อตอนสายในห้องประชุม ดวงตากลมโตที่คลอไปด้วยน้ำตากับเสียงปนสะอื้นยังวนอยู่ในหัวของเขา ภีร์หยิบเอกสารงานวิจัยขึ้นมาอ่านหวังจะไล่ภาพนั้นออกจากหัวแต่มือเจ้ากรรมกลับเผลอไปหยิบวิจัยเกี่ยวกับโรคมะเร็งกระเพาะอาหารจนในหัวเขาตอนนี้เหมือนเกิดภาพหลอนขึ้นในหัวตลอดเวลา
“โธ่เว้ย! ออกไปจากหัวฉันสักทีได้ไหม” ใบหน้าหล่อเหลาฟุบลงกับโต๊ะมือสองข้างยกขึ้นผมจนฟูฟ่องไม่เป็นทรง
“มึงเป็นห่าอะไร ถ้าเหนื่อยมึงก็ไปนอนพักสักงีบ นั่งโวยวายอยู่แบบนี้ก็ไม่ช่วยห่าอะไร” เวย์ที่เดินเข้ามาพอดีพูดขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนอยู่ในสภาพที่ดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
“กูตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหมวะ” ใบหน้าคมที่เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะเอ่ยถามเพื่อนออกไป
“อะไรของมึงไอ้ภีร์ ช่วยขยายรูปประโยคคำถามของมึงด้วยกูไม่ใช่ไอ้ภาคย์ที่จะเข้าใจทุกสิ่งที่มีพูด” สายตางุนงงมองหน้าเพื่อน แต่ไม่ทันที่ภีร์จะตอบกลับก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แอ๊ด…
“มองหน้ากูมีอะไร” ภาคย์ถามขึ้นเมื่อสายตาของเพื่อนทั้งสองจับจ้องมาที่ตน
“กูตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหมวะ” คำถามเดิมที่ถามเวย์ก่อนหน้าถามภาคย์ออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ภีร์ได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการ
“ถูกหรือผิดมึงรู้ตัวดีที่สุด”