บทที่ 6
หมอหนุ่มสะพายกระเป๋าเดินทางของตัวเองลงมาจากบันไดบ้านด้วยความเคร่งเครียด จนมารดาที่นั่งรอส่งลูกชายอยู่ต้องทักขึ้นด้วยความเป็นห่วง
"ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะตาอ้าย" อรวรรณถาม พร้อมกับเข้าไปสวมกอดลูกชายคนโต
"อวยพรผมหน่อยสิครับแม่"
"อ้อนแม่แต่เช้าเลยนะ" คนเป็นพ่อเดินมาแซวอย่างอารมณ์ดี
"จะให้อ้อนพ่อหรอครับ ?"
"ยอกย้อน" อธิเข้ามากอดคอลูกชาย แล้วหัวเราะรวน
"แล้วลูกกับหนูพิ้งค์นี่ยังไง ?"
"ไม่ยังไงครับแม่ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม" อาชวินตอบตามตรง
"มีปัญหาอะไรกัน บอกแม่ได้หรือเปล่า ?"
"ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ระหว่างผมกับเขาเหมือนมีกำแพงหนาาๆที่มองไม่เห็นกั้นอยู่" หมอหนุ่มพูดยิ้มๆ แต่แววตาของเขามันกำลังท้อถอยอย่างเห็นได้ชัด
"เวลามันจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง" คนอาบน้ำร้อนมาก่อนแนะนำ
"ผมก็หวังว่าอย่างนั้นครับพ่อ"
"งั้นก็ไปได้แล้ว อย่าให้คนอื่นเขาต้องรอเรา" อธิบอกลูกชาย แล้วตบบ่าให้กำลังใจ
"ครับ สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับแม่"
ร่างสูงเดินไปขึ้นรถอย่างรวดเร็ว เพราะเขาต้องไปที่ๆหนึ่งก่อน แล้วจึงค่อยกลับไปสมทบกับคณะเดินทาง
ด้วยความเป็นคนชอบวางแผนทำให้เขากะระยะเวลาเดินทางได้ดี และที่สำคัญเขายังได้น้องเขยคนเล็กคอยเป็นกำลังเสริมที่ดีอีกต่างหาก
"ทำไมคุณถึงไม่รับโทรศัพท์ผมล่ะพิ้งค์ ?" เขาตัดพ้อใส่ปลายสาย
(พิ้งค์พึ่งมาถึงโรงพยาบาลค่ะ)
"วันนี้ตื่นสายนะครับ" เขาแซวตามปกติ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยเข้าหูเธอนัก
(พิ้งค์เหนื่อยค่ะ)
"หายเหนื่อยไวๆนะครับ" อาชวินบอกด้วยรอยยิ้มต่อให้ใครๆมองว่าเขาโง่เง่าที่พยายามอย่างไร้จุดหมาย แต่สำหรับเธอ คนที่เขายกทั้งหัวใจให้ ต่อให้ต้องเจ็บอีกสักกี่ครั้งกี่หน เขาก็รักเธออยู่ดี
(ค่ะ)
"อวยพรให้หน่อยสิ จะไม่ได้เจอกันตั้งสามเดือนเลยนะ"
(ตั้งใจทำงานนะคะ อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยล่ะ)
"ขอบคุณครับ" ร่างสูงพูดจบ ปลายสายก็วางไปทันที ราวกับว่าเธอเบื่อจะคุยกับเขาเต็มทน
~พี่ลีเชื่อว่าหลายๆคนเคยมีอาการนี้ค่ะ 'รักเขาข้างเดียว'~
เสียงรายการวิทยุชื่อดัง ทำให้เขานิ่งฟัง
~ดิฉันเคยเป็นค่ะ คุณพี่~
~เจ็บมากเลยใช่ไหมคะ ราวกับมีกำแพงกั้นไว้ เหนื่อยก็เหนื่อย แถมเผลอๆยังต้องทนดูเขารักกับคนอื่นอีก~
~นั่นน่ะสิคะ~
~สำหรับใครที่กำลังมีอาการอย่างนี้อยู่ อย่าลืมเยียวยารักษาใจตัวเองบ้างนะคะ~
มือหนาเอื้อมไปปิดวิทยุทันที เพราะเขารู้สึกเจ็บปวดที่ใจขึ้นมาหนึบๆ แต่ก็ยังคงใช้สติในการขับรถและมุ่งหน้าไปยังร้านดอกไม้ที่ทิวากรมักจะแวะเวียนมาเสมอ
แถมน้องเขยคนเล็กของเขายังโม้สรรพคุณของร้านอย่างกับเป็นร้านของตัวเองยังไงอย่างนั้น นี่ถ้าไปถึงร้าน แล้วเห็นว่าเจ้าของร้านสวยล่ะก็...เขาคงต้องโทรไปฟ้องน้องสาวสักหน่อยแล้ว
"สวัสดีครับ รับดอกไม้อะไรดีครับ ?" เสียงทุ้มๆของพนักงานหนุ่มหน้าหล่อยิ้มแฉ่งต้อนรับ
"ดอกกุหลาบครับ"
"ไม่ทราบว่าลูกค้าจะรับสีอะไรดีครับ ?" พนักงานหนุ่มหน้าอ่อนถามต่อ
"สีขาวแล้วกันครับ"
"สีขาวนะครับ เอาแบบจัดเป็นช่อหรือว่ายังไงดีครับ ?"
"แกถามจู้จี้จัง เดี๋ยวฉันก็ไล่ออกมันซะเลย" เสียงแหลมของเจ้าของร้านเดินออกมาพร้อมร่างอุ้ยอ้าย ทำเอาอาชวินโล่งใจที่ครอบครัวของน้องสาวจะไม่สั่นคลอน
"เอ้า !! แล้วเจ๊จะให้ผมทำยังไงล่ะครับ" เด็กหนุ่มโวยวายกลับ
"ฉันจัดการเอง จะไปถูพื้นที่ไหนก็ไปทำไป๊"
"จัดเป็นช่อให้ผมด้วยครับ ผมอยากจะสั่งไปส่งที่นี่ทุกวันเลยได้ไหมครับ" หมอหนุ่มถามขึ้น แล้วยื่นแผนที่ไปให้เจ้าของร้าน
"โรงพยาบาลอีกแล้วหรอ ?" เจ้าของร้านชะงัก เพราะเมื่อปีที่แล้ว ก็มีทหารสั่งดอกไม้ไปส่งที่โรงพยาบาลเหมือนกัน
"ใช่ครับ"
"คุณทิวากรเขาแนะนำมาหรอคะ ?"
"ครับ" อาชวินตอบ
"ดีจัง งั้นฉันลดให้ค่ะ สามเดือนก็ประมานนี้ค่ะ ดอกกุหลาบมันแพงกว่าดอกแก้วนะคะ ลดให้สามพัน" แม่ค้าพูดเองเออเองคนเดียวเสร็จสรรพ แล้วเลื่อนเครื่องคิดเลขมาตรงหน้าเขา
"ครับ"
"ขอให้สมหวังเหมือนคู่คุณทิวารกรนะคะ เอาใจขนาดนี้ การันตีเลยค่ะ ว่าสาวๆต้องหวั่นไหวชัวร์ๆ"
"ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะครับ" อาชวินขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืด เขาจึงรีบควักเงินออกามาจ่าย
"เขียนการ์ดไหมคะ ?"
"ไม่ดีกว่าครับ"
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยเขาก็รีบบึ่งรถไปยังสถานที่นัดหมายของคณะเดินทางทันที เพราะไม่อยากให้ทุกคนต้องรอเขา อย่างที่พ่อเฝ้าย้ำนักย้ำหนา...