11 เขาคงไม่มีใคร
“ยายดีใจด้วยนะปิ่นในที่สุดหลานสาวของยายก็มีแฟนสักที” คุณยายละมัยรู้สึกดีใจมากๆ หลังจากปิ่นปินัทธ์เล่าเรื่องที่กรัณย์กรขอเธอเป็นแฟนให้ฟัง
หลานสาวของเธอเคยมีแฟนสมัยที่เรียนอยู่แต่ก็เลิกรากันไปนานแล้วจากนั้นปิ่นปินัทธ์ก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือจนสอบบรรจุครูได้ที่โรงเรียนใกล้บ้านและเธอก็ไม่เห็นว่าหลานสาวจะเปิดใจคบผู้ชายคนไหนอีกเลย
หลังจากทำงานผ่านมาเกือบสามปีปิ่นปินัทธ์ก็ยังไม่มีใคร พอรู้ว่าตอนนี้ตกลงคบกับคุณหมอกรัณย์กรแล้วคุณยายก็รู้สึกโล่งใจมากๆ เพราะคุณหมอดูเป็นคนดีและน่าจะดูแลหลานสาวของเธอได้ในวันที่ตนเองไม่อาจจะดูแลหลานสาวได้อีกต่อไป คุณยายมีลูกสามคนคือมารดาของเธอคุณลุงศักดิ์และป้าสาซึ่งสองคนนั้นแยกครอบครัวออกไปแล้วแต่ก็ยังไปมาหาสู่และแวะซื้อของใช้มาให้คุณยายอยู่ตลอด ปิ่นปินัทธ์เป็นหลานสาวคนเดียวที่ยายละมัยห่วงที่สุด
“ปิ่นไปทำงานก่อนนะคะยาย”
“เย็นนี้หมอรัณย์เขาจะมากินข้าวที่บ้านไหม”
“หมอเข้าเวรค่ะยายเขาคงมาไม่ได้ คงมากินข้าวที่บ้านเราอีกทีเช้าวันอาทิตย์เลยค่ะ ยายถามทำไมคะมีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าหรอก ถ้าหมอจะมายายจะได้เตรียมกับข้าวรอ แล้วก็อยากจะคุยกับหมอนิดหน่อย”
“เรื่องสำคัญหรือเปล่าคะ”
“ไม่หรอกยายแค่อยากจะบอกหมอว่าตอนนี้หมอเขาก้าวเข้ามาในครอบครัวของเราแล้ว ยายก็อยากจะพูดกับเขาให้รู้เรื่องอยากจะฝากเขาให้ดูแลปิ่น”
“ทำไมจะต้องฝากเขาให้ดูแลปิ่นด้วยล่ะคะ ปิ่นดูแลตัวเองได้ การเป็นแฟนกันไม่ได้หมายความว่าจะต้องให้อีกคนมาดูแลสักหน่อยต่างคนต่างดูแลกันน่าจะดีกว่านะคะ”
“ยายก็แค่พูดเผื่อไว้เผื่อว่ายายเป็นอะไรไป”
“โธ่ ยายของปิ่นยังแข็งแรงลุกมาทำกับข้าวให้ปิ่นได้ทุกเช้าแบบนี้ ยายจะต้องอยู่กับปิ่นไปอีกนานค่ะ”
“เรื่องอนาคตมันเป็นสิ่งไม่แน่นอน ยายก็แก่ตัวลงทุกๆ วัน ถ้าจะให้ดีอย่าคบกับคุณหมอนานเลยนะ”
“ทำไมล่ะคะ เมื่อกี้ยังดีใจที่ปิ่นมีแฟน แล้วทำไมตอนนี้บอกไปให้ปิ่นอย่าคบกับคุณหมอนานล่ะคะ ปิ่นงงนะคะยาย”
“ยายหมายถึงอย่าคบกันเป็นแฟนนาน อยากจะให้รีบแต่งงานเผื่อยายจะอุ้มหลานก่อนเป็นอะไรไป”
“ยายขาห้ามพูดเรื่องแบบนี้อีกนะคะ ปิ่นอยากให้ยายอยู่กับปิ่นนานๆ ปิ่นไปทำงานแล้วนะคะ ยายอยู่บ้านก็อย่าทำงานหนักล่ะ ตอนเย็นเจอกันค่ะ”
หญิงสาวขับรถออกมาจากบ้านด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างกังวลเพราะคำพูดของยายทำให้เธอเริ่มคิดหนัก ยายของเธออายุมากแล้วจริงๆ ร่างกายของท่านโรยราไปทุกวัน ถึงแม่จะไม่มีโรคประจำตัวก็ตาม
หญิงสาวมาถึงโรงเรียนในเวลา 07.30 นาฬิกา ขณะที่นั่งตรวจการบ้านอยู่ในห้องคุณครูพรศิริ ครูประจำชั้นนักเรียนชั้นประถมปีที่สองก็แวะเข้ามาทักทาย
“ทำอะไรอยู่ปิ่น”
“ปิ่นกำลังตรวจการบ้านอยู่เลย ขวัญล่ะตรวจเสร็จแล้วเหรอ”
“ตรวจได้ครึ่งเดียว กำลังปวดหัวกับตัวหนังสือเด็กก็เลยวางไปก่อนน่ะแล้วก็มีเรื่องจะถามปิ่นด้วย”
“จะถามเหรอขวัญ” ปิ่นปินัทธ์วางงานในมือลง
“เรื่องส่วนตัวนิดหน่อยถามได้ไหม”
“ถามได้เลยเรารู้จักกันมาตั้งสามปีแล้ว ขวัญจะถามอะไรล่ะ”
“เมื่อวันก่อนขวัญผ่านไปแถวบ้านปิ่นด้วยนะ”
“แล้วทำไมไม่แวะเข้าไปล่ะ ยายก็บ่นถึงอยู่เหมือนกันนะว่าช่วงนี้ทำไมครูขวัญไม่ค่อยแวะไปที่บ้านเลย”
“ขวัญก็อยากจะแวะอยู่หรอกแต่วันนั้นที่บ้านปิ่นมีแขก เห็นมีรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน
“รถคันสีดำใช่ไหม”
“ใช่ขวัญเห็นหลายครั้งแล้ว ว่าจะถามปิ่นแต่ก็ไม่มีโอกาสถามสักทีแต่เดาว่าต้องเป็นรถของแฟนปิ่นใช่ไหม”
“ทำไมถึงคิดว่าเป็นรถแฟนปิ่นล่ะ อาจจะเป็นรถเพื่อนของยายก็ได้”
“ไม่มีทางหรอกขวัญว่าจะต้องเป็นรถของแฟนปิ่นแน่เลย บอกมานะเขาเป็นใคร ทำงานอะไรทำไมขวัญไม่ค่อยรู้เรื่องนี้เลย” พรศิริคาดคั้น
“ไม่ใช่แฟนขวัญหรอกเราก็แค่เพิ่งคุยกันได้ไม่นาน”
“เพิ่งรู้จักแต่พาไปกินข้าวที่บ้านแล้วแบบนี้นี้ขวัญว่าน่าจะไม่ใช่เพื่อนธรรมดาหรอกนะ แล้วเขาเป็นใครล่ะ”
“ถ้าปิ่นบอกขวัญไปขวัญห้ามบอกเรื่องนี้กับใครนะ”
“ทำไมล่ะปิ่น หรือแอบไปเป็นเมียน้อยใครอย่าทำแบบนั้นเด็ดขาดนะปิ่นทั้งสาวทั้งสวยจะยอมเป็นเมียน้อยคนอื่นได้ไง”
“ไปกันใหญ่แล้วที่ปิ่นไม่ได้เป็นเมียน้อยใคร แต่ที่บอกขวัญว่าห้ามบอกใครเพราะเราเพิ่งจะเริ่มคุยกันเอง ไม่อยากให้คนอื่นรู้มากเกิดคุยกันแล้วมันไม่เข้าใจ มันไม่คลิกก็จะได้ไม่ต้องมาคอยตอบคำถามว่าทำไมถึงเลิกคุยกันยังไงล่ะ”
“ก็ได้ขวัญสัญญาว่าจะไม่บอกใคร แล้วตกลงเขาเป็นใครล่ะหล่อไหม”
“ขวัญเคยพาลูกศิษย์ไปที่โรงพยาบาลใช่ไหม”
“หมายถึงโรงพยาบาลที่โรงเรียนเราทำประกันอุบัติเหตุด้วยใช่ไหม”
“ใช่โรงพยาบาลนั้นแหละ”
“มีอะไรหรือเปล่าหรือเขาเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลนั้น”
“อือเขาเป็นหมอ”
“เจอกันที่นั่นเหรอ”
“เจอกันตอนพาออมสินไปเย็บแผลที่หัวน่ะ”
“ทำไมเวลาขวัญพาเด็กไปไปโรงพยาบาลไม่เจอหมอหนุ่มๆ หล่อๆ บ้างเลยนะส่วนใหญ่ก็เจอแต่หมอตี๋ๆ หรือไม่ก็เจอหมอผู้หญิง เขาชื่ออะไรล่ะ ลองบอกมาเผื่อขวัญจะเคยเห็นหน้า”
“เขาชื่อหมอกรัณย์กรน่ะ ขวัญเคยเจอไหม”
“หมอกรัณย์กร ขวัญเคยตรวจกับเขาด้วยนะตอนนั้นน่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่แล้วไปหาหมอตอนเย็นหมอเขาออกตรวจนอกเวลาพอดีน่ะ คนนี้หล่อมากจริงๆ ปิ่นคบกับเขาแล้วใช่ไหม”
“ยังไม่ถึงขั้นคบหรอกแค่เริ่มคุยกันน่ะ ปิ่นไม่รู้ว่าเขามีแฟนแอบมีแฟนอยู่ที่ไหนหรือเปล่า”
“คงไม่หรอกมั้งดูท่าทางเขาก็เป็นคนดีนะ ถ้ามีแฟนแล้วก็คงไม่จีบผู้หญิงไปทั่วหรอก”
“ปิ่นก็ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกัน”
“ไม่มั่นใจอะไร”
“ก็ปิ่นเคยได้ยินมาหมอก็จะเป็นแฟนกับหมอหรือไม่ก็คนที่ทำงานด้านสาธารณสุขเหมือนกัน”
“ไม่เห็นจะต้องกังวลอะไรเลยนี่ ปิ่นทั้งสวยทั้งหุ่นดีขนาดนี้ไม่ว่าจะอาชีพไหนเวลาเห็นก็ต้องชอบทั้งนั้นแหละ”
“ถ้าเขามีแฟนอยู่แล้วล่ะขวัญ”
“ปิ่นคิดมากไปหรือเปล่า ว่าแต่เขาเคยพาปิ่นไปเจอเพื่อนๆของเขาบ้างไหมล่ะ ถ้าเขาพาไปก็แสดงว่าเขาบริสุทธิ์ใจและไม่ได้แอบซ่อนใครไว้จริงๆ”
“เรายังไม่เคยไปไหนด้วยกันเลย ส่วนใหญ่เขาก็จะมาทานข้าวที่บ้านตอนเย็นแค่นั้นแหละ หมอเขางานยุ่ง”
“หมอเป็นอาชีพที่งานยุ่งมากๆ แต่ถ้าเขายุ่งขนาดนั้นแล้วยังหาเวลามากินข้าวกับปิ่นได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก อย่าเพิ่งคิดมากไปเลยนะปิ่น”
“แต่วันอาทิตย์นี้เขาชวนปิ่นเข้ากรุงเทพ ว่าจะไปดูหนังและเดินซื้อของกัน”
“นั่นไงถ้าเขาพาปิ่นไปกรุงเทพก็เท่ากับว่าเขาไม่น่าจะมีใครอยู่นะ เพราะหมอเป็นอาชีพที่ยุ่งมากๆ วันหยุดแบบนี้ถ้าคนมีแฟนก็ต้องแบ่งเวลาให้แฟน แต่ถ้าเขามีเวลาให้ปิ่นแบบนี้ ขวัญว่าปิ่นมั่นใจได้เลยว่ายังไงหมอก็ไม่มีทางซ่อนใครไว้แน่นอน”
“ขอบใจนะขวัญปิ่นสบายใจมากขึ้นแล้วล่ะ แล้วขวัญล่ะกับแฟนตอนนี้เป็นยังไงบ้างก็”
“เลยเรื่อยๆ กำลังช่วยกันเก็บเงินอยู่ไม่น่าจะเกินปีหน้าคงพอจะจัดงานแต่งงานได้”
“ปิ่นแสดงความยินดีล่วงหน้าเลยนะ”
“แสดงความยินดี อย่างเดียวไม่ได้นะ ปิ่นต้องเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ขวัญด้วยตกลงไหม”
“ตกลงสิ”