10 ไม่ปฏิเสธก็คือตกลง
จากเลี้ยงอาหารมื้อเย็นเพื่อเป็นการขอบคุณที่หมอกรัณย์กรช่วยเขียนประวัติให้ในครั้งนั้น ตอนนี้หมอกรัณย์กรก็ได้กลายเป็น แขกประจำที่มักจะแวะเวียนมาทานอาหารที่บ้านของปิ่นปินัทธ์บ่อยๆ จนคุณยายละมัยเริ่มสงสัยว่าทั้งสองคนกำลังคบกัน
“เขาก็แค่มากินข้าวเองค่ะยาย ไม่มีอะไรหรอก” ปิ่นปินัทธ์ตอบเมื่อถูกถามว่าตอนนี้กำลังคบกับหมอกรัณย์กรหรือเปล่า
“แต่ปกติยายไม่เห็นหนูพาเพื่อนที่ไหนมากินข้าวที่บ้านนะ”
“ก็เพื่อนส่วนใหญ่เขาเป็นคนแถวนี้นี่คะยาย เลิกงานเขาก็กลับบ้าน แต่หมอเขาเป็นคนกรุงเทพไม่ค่อยมีเพื่อนที่นี่เท่าไหร่”
“แต่ยายว่าหมอเขาต้องจีบหลานสาวของยายแน่ๆ เลยนะ”
“ไม่หรอกค่ะยายปิ่นก็แค่ครูธรรมดาคนหนึ่งคนอย่างหมอเขาต้องมีแฟนเป็นหมอด้วยกันสิคะ”
“ทำไมเป็นคิดแบบนั้นล่ะลูก”
“ก็มันจริงนี่คะส่วนใหญ่หมอก็จะเป็นแฟนกับหมอหรือไม่ก็เป็นแฟนกับเภสัชหรือพยาบาล พวกเขาทำงานลักษณะเดียวกันคุยกันรู้เรื่องมากกว่าค่ะ”
“เท่าที่ยายสังเกตยายว่าหมอรัณย์เขาต้องชอบหลานสาวของยายแน่ แล้วถ้าเกิดมันเป็นแบบนั้นจริงปิ่นคิดว่ายังไงล่ะ”
“ปิ่นไม่กล้าคิดหรอกค่ะยาย”
“ปิ่นตอบว่าไม่กล้าคิดแสดงว่าเคยคิดใช่ไหมล่ะ”
“มันก็มีนิดหน่อยค่ะยาย หมอเขาเป็นคนหน้าตาดีพูดจาสุภาพ เวลาที่ปิ่นคุยกับเขาแล้วรู้สึกดี รู้สึกสบายใจดีค่ะ”
“แสดงว่าปิ่นจะไม่ปิดกั้นตัวเองถ้าหากเขาจะขอเป็นแฟนใช่ไหมลูก”
“ปิ่นว่าเราอย่าคิดไปไกลเลยค่ะ ปิ่นกับเขาต่างกันมากแค่ได้เป็นเพื่อนกันก็ดีแล้วค่ะ”
“แต่ยายว่าตอนนี้ปิ่นก็โตพอที่จะมีแฟนแล้วนะ เท่าที่ดูก็เห็นว่าหมอเขาเป็นคนนิสัยดีคนหนึ่ง เขามาบ้านยายไม่ใช่จะคุยกับปิ่นแค่คนเดียวเหมือนคนที่เคยมาจีบเป็นคนก่อนๆ แต่หมอเขาถามสารทุกข์สุกดิบของยายด้วยมันเลยทำให้ยายรู้สึกว่าเขาใส่ใจปิ่นและคนรอบข้างดี”
“เขาอาจจะถามแบบนั้นเพราะเขามีอาชีพเป็นหมอหรือเปล่าคะ”
“ยายก็ไม่รู้นะ แต่เท่าที่สังเกตยายว่าเขาน่าจะชอบหลานสาวของยายบ้างล่ะ”
“ปิ่นก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ และไม่อยากคิดอะไรมากด้วยค่ะ”
“แล้วเสาร์นี้เขาจะมากินข้าวที่บ้านเราอีกไหม”
“ไม่ค่ะ วันเสาร์เขามีงานค่ะ แต่วันอาทิตย์เขาชวนปิ่นเข้ากรุงเทพค่ะ ปิ่นขอไปกับเขาได้ไหมคะ”
“ได้สิ ปิ่นโตแล้วไม่ต้องขออนุญาตยายก็ได้ ว่าแต่ปิ่นจะไปค้างด้วยไหม”
“ไม่หรอกค่ะ เราไปเช้าเย็นก็กลับ”
“จะกินข้าวเช้าก่อนไปไหมละยายจะได้ทำกับข้าวให้”
“ขอเป็นแค่ข้าวเหนียวหมูทอดก็พอค่ะยาย ง่ายดี”
“ได้จ้ะปิ่นอย่าลืมเตือนยายอีกทีหนึ่งนะ ยายจะได้หมักหมูไว้ตั้งแต่คืนวันเสาร์เช้ามาจะได้ทอดเลย”
“ค่ะยาย ถ้ายังงั้นปิ่นขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ ยายดูละครจบแล้วก็รีบเข้านอนนะคะ”
เมื่อเข้ามาในห้องนอนแล้วปิ่นปินัทธ์ก็นึกถึงคำพูดที่ตัวเองคุยกับยายเธอไม่รู้ว่าสถานะตัวเองกับหมอกรัณย์กรตอนนี้คืออะไรแต่ถ้าถามหัวใจตัวเองก็รู้สึกหวั่นไหวเวลาที่อยู่ใกล้เขา
หมอกรัณย์กรเป็นผู้ชายที่สุภาพอ่อนโยนคุยด้วยแล้วรู้สึกสบายใจเอามากๆ อีกทั้งการแสดงออกของเขาเธอก็พอจะมองออกอยู่บ้างว่าชายหนุ่มเข้ามาจีบ เพราะการขอบคุณที่ช่วยเรื่องออมสินมันน่าจะจบไปตั้งแต่การทานอาหารครั้งแรกแล้ว
หลังจากนั้นเขาก็ยังโทรมาคุยอยู่เกือบทุกวัน หรือเสาร์ไหนว่างเขาก็จะมาทานข้าวที่บ้านและบางครั้งก็ยังจะมาทานอาหารด้วยในตอนเย็น ซึ่งถือว่ามันค่อนข้างผิดปกติมากสำหรับคนที่งานยุ่งอย่างเขา แล้ววันอาทิตย์นี้เขาชวนเธอเข้าไปเที่ยวในกรุงเทพ ซึ่งปกติแล้วปิ่นปินัทธ์ไม่ค่อยเข้าไปกรุงเทพเท่าไหร่ถึงแม้ระยะทางจากสุพรรณบุรีไปกรุงเทพจะไม่ไกลแต่ที่ห้างสรรพสินค้าในเมืองก็มีครบทุกอย่างเธอก็ไม่มีความจำเป็นเข้าไปในเมืองที่วุ่นวาย
หญิงสาวนั่งทำใบงานและมองโทรศัพท์ไปด้วย เธอกำลังรอให้กรัณย์กรโทรมาหาซึ่งปกติแล้วถ้าคืนไหนเขาไม่เข้าเวรก็จะโทรมาคุยกับเธอประมาณสี่ทุ่ม ปิ่นปินัทธ์ไม่เคยคิดจะโทรหาเขาก่อนเพราะไม่รู้ว่าโทรไปแล้วจะเป็นการรบกวนทำงานของเขาหรือเปล่าทั้งที่ใจจริงก็อยากจะเป็นฝ่ายโทรหาชายหนุ่มบ้าง
เธอนั่งมองโทรศัพท์อยู่พักใหญ่ก็มีเสียงเรียกเข้าจากกรัณย์กรพอดี
“ขอโทษทีนะปิ่นที่โทรช้าไปให้หน่อยพอดีเมื่อกี้มีเคสฉุกเฉินเข้ามาติดๆ กันเลย” เขายุ่งตั้งแต่หัวค่ำกว่าจะได้พักก็เกือบห้าทุ่ม
“ถ้าคุณหมองานยุ่งไม่ต้องโทรหาปิ่นทุกวันก็ได้ ปิ่นเข้าใจค่ะ”
“แต่ผมอยากโทรหาหรือปิ่นรำคาญที่ผมโทรหาบ่อยๆ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ปิ่นไม่ได้รำคาญแต่ปิ่นรู้ว่าหมอไม่ค่อยมีเวลาค่ะ”
“ปิ่นว่าเราคุยกันแบบนี้ทุกวันมันดีไหม”
“ค่ะ”
“ผมว่าปิ่นน่าจะรู้ว่าผมโทรหาปิ่น มาทานข้าวกับปิ่นก็หลายครั้งเพราะอะไร”
“แล้วมันเพราะอะไรล่ะคะ หมอไม่บอกปิ่นก็ไม่รู้หรอกค่ะ”
“ผมพูดตรงๆ เลยได้ไหม”
“หมอจะพูดอะไรล่ะคะ” หญิงสาวกำลังใจเต้นแรงเพราะอยากจะรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมันเป็นสิ่งเดียวกับที่เธอกำลังคิดอยู่หรือเปล่า
“ผมก็ไม่อยากอ้อมค้อมหรอกนะ เพราะเราต่างก็โตกันแล้ว แต่ก็กลัวปิ่นจะตกใจ”
“จะพูดอะไรเหรอคะ ไหนบอกจะไม่อ้อมค้อม ปิ่นรอฟังอยู่ตั้งนาน หมอยังไม่เห็นพูดสักที”
“ปิ่นก็อย่าเร่งผมสิ ผมตื่นเต้นไปหมด” แล้วกรัณย์กรรู้สึกตื่นเต้นอย่างที่บอกกับหญิงสาวจริงๆ เพราะมันนานมาแล้วที่เขาไม่เคยรู้สึกใจเต้นแรงเวลาคุยกับใครหรืออยู่ใกล้ใครเหมือนกับคุณครู ปิ่นปินัทธ์มาก่อน
“ถ้าคุณหมอลำบากใจไม่ต้องพูดก็ได้ค่ะ ปิ่นแค่แซว วันนี้หมอทำงานหนักมาทั้งวันแล้วไปพักผ่อนก็ได้ค่ะ”
“เดี๋ยวสิปิ่น ไม่ใช่ว่าผมจะไม่พูดสักหน่อยผมแค่กำลังรวบรวมคำพูดอยู่”
หญิงสาวได้ยินเสียงถอนหายใจก่อนที่เขาจะพูดต่อ
“คือแบบนี้นะ ผมชอบปิ่นเราเป็นแฟนกันไหม” กรัณย์กรพูดออกไปแล้วก็เป็นกังวลกลัวเธอจะไม่ตอบตกลง
“อะไรนะคะ”
“ก็ปิ่นให้ผมพูดตรงๆ ไงเพราะผมพูดตรงแล้ว ผมรู้สึกชอบปิ่นและอยากขอเป็นแฟน ผมว่าปิ่นก็น่าจะรู้นะว่าผมมีความรู้สึกดีๆ ให้”
“ปิ่นไม่แน่ใจเท่าไหร่ ปิ่นคิดว่าหมออาจจะรู้สึกดีกับปิ่น แต่ไม่คิดว่าหมอจะขอเป็นแฟน”
“ทำไมล่ะ”
“ปิ่นว่ามันเร็วไปหรือเปล่า”
“เร็วที่ไหนล่ะปิ่น เรารู้จักกันมาสองเดือนแล้วนะครับ ผมเข้านอกออกในบ้านคุณก็บ่อยบางคนอาจจะคิดว่าเราเป็นแฟนกันแล้วด้วยซ้ำ ปิ่นตกลงไหมล่ะ หรือว่าปิ่นคบกับใครอยู่ แต่ผมว่าปิ่นน่าจะยังโสดนะ”
“หมอรู้ได้ยังไงคะว่าปิ่นยังโสด”
“เอาเป็นว่าผมรู้ก็แล้วกัน ตกลงเราเป็นแฟนกันแล้วนะ”
“ปิ่นตอบตกลงไปตอนไหม”
“ก็ปิ่นไม่ปฏิเสธผมก็ถือว่าปิ่นตกลง เพราะฉะนั้นวันอาทิตย์นี้จะเป็นเดตแรกของเรานะ ผมต้องวางสายแล้วมีคนไข้เข้ามาบ๊ายบายนะครับปิ่นฝันดีครับ”
คุณหมอหนุ่มพูดเสร็จแล้วก็ตัดสายไปทิ้งให้ปิ่นปินัทธ์มองโทรศัพท์ด้วยความสับสน เธอรู้ว่าเขาชอบรู้ว่าเขารู้สึกดีๆ ด้วยแต่ไม่คิดว่าเขาจะขอเธอเป็นแฟนแบบนี้ หญิงสาวอยากจะบอกเรื่องนี้กับคุณยายแต่เมื่อมองนาฬิกาแล้วก็คิดว่าป่านนี้ท่านคงจะเข้านอนไปแล้วแต่ไม่เป็นไรพรุ่งนี้เธอยังมีเวลาคุยกับท่านในตอนเช้าก่อนไปทำงาน