โจรในครัว -Ep.5-
Ep.5
(Phraphai talk)
จ๊อก~ จ๊อก~
สิ้นเสียงอีตานั่นท้องฉันก็ร้องขึ้นมาทันทีค่ะ ฉันขมวดคิ้วทำปากยื่นให้อีตาผู้กองลักษณ์แล้วสะบัดตูดเข้ามาในห้องพร้อมๆ กับเขาที่เดินออกไป คิดจะแกล้งฉันงั้นเหรอ ก็ฉันติดเหตุสุดวิสัยไหมล่ะ แทนที่จะหยวนๆ ให้กันหน่อย ไม่มีน้ำใจเลย ฉันเป็นผู้หญิงนะ!
ฉันเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่กองแอ้งแม้งอยู่ปลายเตียงขึ้นมาสวมใส่ อุตส่าห์เตรียมไว้แล้วแท้ๆ เพราะความขี้ลืมของตัวเองแท้ๆ เลย ทำไมฉันก็คงไม่ต้องอับอายเรื่องผ้าหลุดหรอก แถมยังอดกินข้าวอีก
พอใส่เสื้อผ้าเสร็จสายตาฉันก็ไปสะดุดอยู่กับเสื้อยืดคอกลมสีเขียวขี้ม้ามีตราสัญลักษณ์เดียวกับรูปในธงที่มีปักอยู่ทั่วทั้งหน่วย แล้วก็ยังมีชื่อหน่วยสีครามคลุมดินด้วย มองปุ๊บภาพที่หมอนั่นเอาเสื้อมาใส่ให้ฉันก็ฉายชัดขึ้นมาในหัว ยอมรับว่าตอนนั้นมีแสงออร่าเปล่งประกายอยู่รอบตัวหมอนั่นเลยค่ะ แถมฉันยังแอบคิดไม่ดีกับกล้ามหน้าท้องและแผงอกแน่นๆ นั่นอีกด้วย แต่แล้วยังไงล่ะ มีดีทุกอย่างยกเว้นปากกับสายตาไง ไม่รู้ว่าเย็นชาแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนเลยหรือเปล่า เฮ้ออ! ในเมื่อไม่ได้กินข้าวก็รีบเข้านอนดีกว่า พอหลับความหิวก็คงหลับไปด้วย
ตกดึก
จ๊อก~ จ๊อก~
"โอ๊ยยย~" ฉันนอนกลิ้งไปกลิ้งมาไม่เป็นสุขเลยค่ะ ก็ท้องมันเอาแต่ร้องแล้วฉันก็หิวมากด้วย ไม่ไหวแล้วโว๊ยย!
แต้ก!
ฉันลุกขึ้นนั่งเปิดโคมไฟ เฮ้ออ~ รู้งี้ฉันพกมาม่ากาน้ำร้อนมาด้วยดีกว่า ใครจะไปรู้ล่ะก็นึกว่าจะอยู่สบาย ฮือออ~ เอ๊ะ!...ฉันว่าฉันลองเดินไปดูที่โรงอาหารดีกว่า ไม่เชื่อหรอกค่ะว่าจะไม่มีอะไรกิน คิดได้แบบนั้นฉันก็รีบลงจากเตียงไปยืนหน้ากระจกมัดผมเป็นมวย ก่อนจะถอดเสื้อออกเอาเสื้อในมาใส่ คือตอนนอนฉันไม่ชอบใส่เสื้อในน่ะค่ะ แต่นี่จะออกไปข้างนอก ถึงจะไม่มีใครมาเดินเพ่นพ่านแต่ฉันก็ต้องใส่ค่ะ
ฉันค่อยๆ เปิดประตูชะโงกมองซ้ายขวา เฮ้อ~ ค่อยโล่งใจหน่อยที่มันไม่ได้มืดตึ๊บอย่างที่คิด ฉันออกจากห้องแล้ววิ่งเบาๆ ออกไปโรงอาหารที่อยู่ฝั่งตึกใหม่ มันไม่ไกลเท่าไหร่ค่ะ เดินประมาณ...ยี่สิบก้าวได้มั้งคะ มันผ่านทางรถเข้าออกด้วย ฉันเลยเห็นป้อมยามไกลๆ ด้านหน้า ยี่สิบก้าวแต่ก็เหนื่อยเอาเรื่องแฮะ ถึงสักที
แกร็ก!
เอ๋! ประตูเหล็กไม่ได้ล็อคนี่นา ในที่สุดฟ้าก็เห็นใจฉัน ฉันรีบวิ่งปู๊ดผ่านโต๊ะกินข้าวนับยี่สิบโต๊ะได้เข้าไปในครัว มีตู้เย็น มีถ้วยชาม มีถาด มีช้อน มีเตาแก๊ส มีน้ำมันและเครื่องปรุงครบเลยค่ะ คิกๆๆๆ ถือว่าฉันก็ทำบุญมาเยอะเหมือนกันนะเนี่ย เอาล่ะลองเปิดตู้เย็นตู้ใหญ่ดูซิมีอะไรกินบ้าง
หึ...มีอะไรกินน่ะเหรอ ความว่างเปล่าไงคะ ว่างเปล่ามาก!
ค่ะ ที่บอกว่าทำบุญมาเยอะคือจริงๆ แล้วมันยังไม่เห็นผลหรอกค่ะเพราะกรรมบังอยู่ ตู้เย็นตู้เบ้อเริ่มยัดฉันใส่ไปได้สามคนแต่ไม่มีอะไรในนี้เลยค่ะ ฮืออ! อยากร้อง~
ฉันปิดตู้เย็นแล้วนั่งยองๆ กอดเข่ามันอยู่ตรงนี้เพราะฉันหิวข้าวมาก ไม่มีอะไรเลยจริงๆ เหรอ มองก็ไม่ค่อยเห็นเลย คือฉันไม่กล้าเปิดไฟค่ะ แล้วก็ไม่รู้ว่าเปิดตรงไหนด้วย แต่มันยังพอจะมีแสงไฟจากด้านนอกเผื่อแผ่เข้ามาในนี้อยู่บ้าง อาจจะสลัวๆ ไปหน่อยแต่ก็พอจะลูบๆ คลำๆ ได้อยู่ มันจะไม่มีอะไรเลยจริงๆ น่ะเหรอ? ฮึบ!
ฉันลุกขึ้นยืนกวาดสายตามองฝ่าความมืดสลัวหาของประทังชีวิตต่ออย่างมุ่งมั่น หน่วยงานใหญ่เบ้อเริ่มคนตกห้าสิบกว่าคนมันจะไม่มีของเหลือเลยจริงๆ น่ะเหรอ หรืออีตาผู้กองนั่นจะเอาไปซ่อน
"นั่นใครน่ะ!"
(Luck talk)
เสียงเหมือนขวดถูกขยับและเสียงก๊อกแก๊กที่ดังมาจากในครัวของโรงอาหารทำให้ผมต้องส่องไฟฉายผ่านกรงเหล็กเข้าไปข้างใน วันนี้เป็นเวรตรวจของผมผมเลยมาเดินตรวจตามปกติ โรงอาหารของเราเป็นปูนสูงขึ้นมาแค่เอว ที่เหลือเป็นกรงเหล็กสี่เหลี่ยมเล็กๆ ผมเดินมาไขประตูครัวไม่ได้เดินไปเข้าประตูเหล็กด้านหน้า พอเข้ามาก็เห็นเงาคนดำๆ ก้มหลบอยู่ที่เคาน์เตอร์ครัว ผมค่อยๆ หยิบวอที่เหน็บอยู่ข้างกางเกงขึ้นมา ก่อนจะส่งเสียงเรียกไอ้ตาร์เพราะมันเดินตรวจอยู่ข้างหลังตึก
"แกมาที่โรงอาหารหน่อยตาร์"
(ทราบครับผู้กอง)
ผมเอาวอเหน็บไว้ที่ขอบกางเกงขาสั้นที่เดิม แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาเงาดำที่ผมเห็นแวบๆ โจรเหรอ? ไม่น่าใช่นะครับ แต่ถ้าโจรคนนี้มันฉลาดน้อยก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะคนที่นี่...ไม่ใช่สิ คนเกือบจะทั้งประเทศรู้ดีว่าเขตนี้เป็นเขตของหน่วยสีครามคลุมดิน ตั้งแต่ผมประจำการมายังไม่เคยมีหมาแมวที่ไหนกล้าเข้ามาขโมยเล็กขโมยน้อยเลยสักตัว
"ออกมา! ท่าไม่อยากเจ็บตัวก็อย่าคิดสู้ ไม่ว่าแกจะมากี่คนก็เอาฉันกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ไม่ลงหรอก" ผมเริ่มเดินเร็วไปที่หลังเคาน์เตอร์ แต่เงาดำนั้นกลับคลานหนีผมอย่างไว ผมเลยต้องวิ่งตามไปจับ คิดว่าคลานวนรอบตรงนี้แล้วจะรอดเหรอ
"แกจะไปไหน!!"
"กรี๊ดดด!!!" ผมสะดุ้งให้กับเสียงกรีดร้องที่ดังทะลุแก้วหู ไอ้คนที่ผมคิดว่าโจรมันกระโดดขึ้นข้ามเคาน์เตอร์ครัว เสียงขวดเครื่องปรุงตกแตกระเนระนาด หม้อไหกระทะหล่นพื้นเสียงดังโครมคราม ผมฉายไฟไปที่หน้าของผู้หญิงที่วิ่งหนีผมหลบซ้ายหลบขวา แต่เธอเร็วมากครับ ดูหน้าไม่ออกเลยว่าเป็นใคร เอ๊ะ! แต่เหมือนในหน่วยจะมีผู้หญิงอยู่แค่คนเดียว หรือว่านี่จะเป็น....
แป๊ะ
พรึบ!
ไฟในครัวสว่างวาบเป็นบริเวณกว้างเมื่อไอ้ตาร์วิ่งเข้ามาเปิดไฟ สิ่งแรกที่ผมเห็นคือห้องครัวเละสุดๆ พอเงยหน้ามองร่างบางที่ยังก้าวขาค้างไว้จากการวิ่งหนีผมก่อนหน้านี้ จึงได้รู้ว่าไอ้โจรที่ผมวิ่งตามคือแม่นักเขียนจอมวุ่นวายนี่เอง
"มีอะไรกันเหรอครับ?" เสียงไอ้ตาร์ถามขณะที่มือมันยังคงค้างอยู่ที่สวิตช์ไฟ มันทำหน้างงๆ ใส่ผมสลับกับมองพระพายที่ตอนนี้ยืนเหนื่อยหอบกันทั้งคู่ เฮ้อ! มันผิดจากที่ผมพูดซะที่ไหน ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะหาภาระและความลำบากใจมาให้ ผมถึงไม่คิดจะหาแฟนยังไงล่ะครับ ผมยืนเท้าเอวจ้องหน้าเธอที่ตอนนี้สลดลงนิดหน่อย มาวันแรกก็สร้างปัญหานู่นนี่นั่น แล้วสามเดือนเธอจะไม่ทิ้งระเบิดก้อนใหญ่ใส่หน่วยผมเลยเหรอครับ
"คะ..คือว่าฉัน!..."
"คุณคิดจะทำอะไรคุณพระพาย! คุณรู้ไหมว่ากฎของที่นี่คืออะไร? คุณมาแอบๆ ย่องๆ ในที่มืดแบบนี้ใครเห็นก็คิดว่าโจร แถมยังวิ่งหนีอย่างกับโจรจริงๆ ซะอีก ถ้าผมหรือคนอื่นๆ ใช้อาวุธกับคุณคุณรู้ไหมจะเกิดอะไรขึ้น? นอกจากคุณจะเจ็บตัวพวกผมก็จะเดือดร้อนเข้าใจไหม!!"
(Phraphai)
ฉันสะดุ้งเฮือกให้กับเสียงเข้มที่ดุขึ้นลั่นครัวโรงอาหาร ดวงตาคมมองฉันอย่างอาฆาตพร้อมกับกรามที่นูนแข็งขึ้นข้างเรียวปากหนาได้รูป เขาถอนหายใจใส่ฉันเหมือนโล่งใจที่ไม่เผลอทำร้ายฉันและโมโหที่ฉันเข้ามาพังครัวของเขาดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ แล้วร่างสูงก็หันหลังเดินออกไปด้วยความโมโหจัด เหลือก็แต่นายตำรวจอีกคนที่ยืนหน้าแห้งตัวรีบ คงเพราะกลัวผู้กองของเขานั่นแหละค่ะ ฉันเองก็รู้สึกผิดมากด้วย ถ้ายอมมอบตัวตั้งแต่แรกข้าวของเขาคงไม่พังขนาดนี้
"อย่าคิดมากเลยครับคุณนักเขียน" ฉันเงยหน้ามองคุณตำรวจที่ตัดรองทรงสูงหน้าตาหล่อเหลาคล้ายๆ ลูกครึ่งญี่ปุ่น เขายิ้มให้ฉันเหมือนจะบอกว่าเขาเองเคยเห็นมุมนี้ของผู้กองลักษณ์จนชินแล้ว แต่ฉันพึ่งเคยเห็นไง ทำใจชินไม่ได้จริงๆ ค่ะ สร้างศัตรูกับใครไม่สร้าง ดันไปสร้างกับคนที่มีตำแหน่งสูง
"เรียกฉันว่าพระพายเถอะค่ะ คือ...ฉันแค่หิวข้าวเลยเข้ามาหาอะไรกิน ขอโทษนะคะที่ทำตัววุ่นวาย"
"ผมชื่อตาร์ครับ อย่ากังวลไปเลยครับ ผู้กองลักษณ์ก็แค่เป็นห่วงคุณ ในใจเขาคงคิดว่าถ้าเผลอใช้แรงหรือใช้อาวุธทำคุณที่เป็นผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บจะทำยังไง"
"ก็พูดดีๆ กว่านั้นก็ได้นี่คะ" ฉันพึมพำเบาๆ แล้วหลบตาคุณตาร์ ฉันควรไปขอโทษหมอนั่นไหมนะ ถ้าเขายังโกรธอยู่ ต่อไปอีกสามเดือนข้างหน้าฉันคงอยู่ไม่ราบรื่นแน่ๆ
"เอาเถอะครับ เดี๋ยวพวกเราช่วยกันทำความสะอาด แล้วเดี๋ยวผมทอดไข่ให้กิน"
"มีไข่ด้วยเหรอคะ?" ฉันรีบเงยหน้าถาม ไหนไข่ล่ะ ฉันมองหาทั่วแล้วยังไม่เห็นไข่เลย อย่าว่าแต่ไข่ หมูสักชิ้นก็ไม่มี
"นั่นไงครับ เหลืออยู่ในแผงตั้งห้าใบ" ฉันหันไปมองตามนิ้วของคุณตาร์ที่ชี้ไปบนชั้นข้างตู้เย็น หืม! ฉันอยากจะเขกหัวตัวเองสักสิบที ใครบอกเธอห๊ะยัยพระพายว่าไข่ต้องอยู่แต่ในตู้เย็น ถึงชั้นที่มีไข่วางอยู่นั้นมันจะตั้งลึกไปหน่อยก็เถอะ แต่ถ้าฉันมองหาดีๆ ไม่กระวนกระวายรีบร้อน เรื่องพวกนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น ผู้กองลักษณ์ก็อาจจะไม่ต้องใจหายและโกรธขนาดนั้น
"คุณตาร์ไปนอนเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันเก็บทำความสะอาดเอง ฉันเป็นคนทำเละเทะ ฉันก็ต้องทำความสะอาดเอง ไม่รบกวนคุณตาร์หรอกค่ะ" ฉันบอกแล้วก้มเก็บเศษขวดที่แตก อ่ะๆ ไม่ต้องคิดว่ามันจะบาดมือฉันเหมือนนางเอกในนิยาย ฉันไม่โง่เก็บมันจนทำให้ตัวเองเจ็บหรอกค่ะ
"ไม่ได้หรอกครับ ถ้าผมไปแปลว่าผมต้องล็อคและปิดที่นี่เรียบร้อยหมดแล้ว แล้วคุณจะทอดไข่กินข้าวได้ยังไง ที่นี่ไม่มีอาหารเหลือหรอกครับ เราทำพอดีคน ประหยัดงบประมาณน่ะครับ แล้วก็ไม่มีของสดค้างในตู้เย็นด้วย ใครที่เป็นเวรทำอาหารจะต้องออกไปซุปเปอร์ตอนตีสี่เพื่อซื้อของสดมาทำอาหารให้ทุกคนกิน"
ฉันเลิ่กลั่กให้กับคำพูดของคุณตาร์ อดทอดไข่กินงั้นเหรอ เอิ่ม...งั้นให้เขาอยู่ก่อนดีกว่า แล้วเรื่องอาหารสดอีก ที่นี่เขาใช้แรงและทรัพยากรคนกันอย่างคุ้มค่าเลยเนอะ ถึงว่า...ไม่เห็นมีพ่อบ้านแม่บ้านสักคน ดีอย่างนึงคืออยู่กันเหมือนครอบครัวเลย
"งั้นก็...รบกวนคุณตาร์ด้วยนะคะ"
"กับผมไม่ต้องเกรงใจครับ เก็บแรงไว้มองหน้าผู้กองลักษณ์ตอนเช้าดีกว่า เขาไม่ค่อยชอบผู้หญิงน่ะครับ เพราะคิดว่าผู้หญิงเป็นภาระและมักจะสร้างแต่ปัญหา แล้วคุณพระพายก็ดันทำให้เขาเชื่อมั่นในอุดมการณ์เดิมซะด้วย ชาตินี้เขาคงไม่แต่งงานแน่นอนครับ"
"ขะ..ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?" ซวยแล้วไงฉัน รู้แบบนี้ทำตัวน่ารักๆ ว่านอนสอนง่ายดีกว่า จะได้อยู่ที่นี่แบบง่ายๆ แต่คงไม่ทันแล้วล่ะค่ะ
"ฮ่าๆๆๆ อย่าสนใจเลยครับ รีบเก็บดีกว่าคุณจะได้กินข้าวแล้วรีบเข้านอน เดี๋ยวผู้กองลักษณ์เดินมาอีกรอบแล้วยังเห็นพวกเราอยู่จะซวยเอา"
"ค่ะๆๆ!"