เหตุเกิดที่ห้องน้ำ -Ep.4-
Ep.4
(Luck talk)
ผมกดโทรศัพท์ดูเวลาบนหน้าจอ นี่มันหกโมงห้านาทีแล้ว ทำไมเธอยังไม่มากินข้าวตามเวลานัดอีก หรือว่าไดเอ็ท? แต่หุ่นบางขนาดนั้นยังจะไดเอ็ทอยู่อีกเหรอ ผอมกว่านี้ก็เป็นไม้เสียบลูกชิ้นแล้วนะ
"เป็นอะไรเหรอครับผู้กองลักษณ์" เสียงไอ้ตาร์ถามผม สงสัยเห็นผมเขี่ยข้าวในถาดสลับกับดูเวลาในโทรศัพท์หลายรอบ
"เออแล้วผู้กองได้บอกกับคุณนักเขียนไหมครับว่าเรากินข้าวตอนหกโมงเย็น"
"บอกแล้ว จะมาไม่มาก็เรื่องของเธอแล้วกัน!" ผมหันไปตอบไอ้แดนแล้วตักข้าวกินอย่างไม่สนใจเธออีก ไม่มาก็ถือว่าสละสิทธิ์มื้อเย็นไป ผมไม่ได้ไปหิวกับเธอตอนดึกๆ สักหน่อย
"หรือจะหลงทางครับ แต่หน่วยเรามันก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นนี่นา หรือเธอจะไม่หิว?" ผมฟังที่ไอ้คินพูดแล้วคิดตาม โรงอาหารเด่นขนาดนี้ถ้าหลงก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้วครับ หงุดหงิดจริง! ลุงไม่น่าสั่งให้ผมดูแลเธอเลย ให้ผมไปจับปืนยิงกลางเป้ายังง่ายกว่าอีก
"จึส์!..."
"ผู้กองจะไปไหนครับ?"
"ผู้กองลักษณ์อิ่มแล้วเหรอครับ?"
เสียงไอ้พวกนี้มันถามผมเมื่อเห็นผมลุกขึ้นยืน ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ยกถาดข้าวขึ้นมาแล้วเดินออกจากโต๊ะเพราะจะเอาไปเก็บ เสียงช้อนตะกุยข้าวในถาดดังขึ้นถี่รัวเพราะพวกมันกำลังรีบกิน แล้วก็วิ่งตามผมออกมาทั้งสามคนเลย อันที่จริงผมกับพวกมันก็เพื่อนกันนั่นแหละครับ แต่ติดตรงที่ผมเป็นผู้กอง พวกมันเกรงใจเลยต้องพูดจาสุภาพกับผม
"แกไปเคาะประตูบอกเธอหน่อยเรื่องกฎในหน่วยเรา เดี๋ยวจะหาว่าพวกเราไม่ให้ความร่วมมืออีกที่ปล่อยให้เธออดข้าวอดน้ำ" ผมสั่งไอ้คินขณะยืนรออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากใต้ตึกห้องทำงานและห้องนอนเก่า อันที่จริงตึกนี้ก็ยังใช้อยู่ ไม่ได้ปล่อยทิ้งจนร้างขนาดนั้น เพียงแค่มีตึกใหม่เพิ่มขึ้นมา ตึกที่เก่ากว่าก็เลยไม่ถูกใส่ใจเท่าไหร่
ไอ้คินเดินไปเคาะตามผมสั่ง แต่ก็ไร้วี่แววคนข้างในจะเปิดออกมาหรือว่าขานรับ
"เหมือนคุณนักเขียนจะไม่อยู่นะครับผู้กองลักษณ์" เสียงไอ้คินตะโกนบอกผม ผมหันไปมองรถเก๋งคันสีขาวที่ยังจอดนิ่ง ยัยนั่นก็ไม่ได้ไปไหนนี่หว่า หรือว่าหลับ? แต่คนเคาะประตูดังขนาดนี้ต้องตื่นแล้วไหมครับ
"เหมือนผมได้ยินเสียงคนแว่วๆ เลยครับ" ไอ้แดนพูดขึ้น สิ้นเสียงมันทุกคนก็นิ่งกันหมด เลยได้ยินเสียงแหลมๆ ของใครบางคนโวยวายอยู่ที่ไหนสักที่
"ช่วยด้วย!!! ช่วยด้วยค่า!!!"
"เสียงมาจากทางนี้ครับผู้กอง!" ผมและคนอื่นๆ วิ่งตามไอ้ตาร์ที่เดินเร็วไปทางห้องน้ำ แล้วก็เจอจริงๆ ครับ เสียงแปดหลอดของยัยนักเขียนจอมเซ่อซ่าตะโกนโหยหวนอยู่ในนั้น ให้เดานะครับ ประตูคงพัง ถ้าไม่พังเธอคงออกมานานแล้ว
"คุณนักเขียนครับ!!"
"คุณอยู่ในนั้นใช่ไหมครับ!!"
(Phraphai talk)
ปังๆๆๆ!!
"ชะ..ใช่ค่ะ! ฉันติดอยู่ในนี้ช่วยฉันด้วยค่ะ!!" แล้วสวรรค์ก็ได้ยินเสียงเรียกร้องของฉันสักที ฉันได้ยินเสียงผู้ชายสองสามคนอยู่ด้านนอก และคงกำลังจะช่วยฉันที่ติดแหงกอยู่ในนี้มาเกือบจะครึ่งชั่วโมงให้ออกไป
"รอแป๊บนึงนะครับ!!" เสียงใครคนนึงตะโกนเข้ามา ฉันเองก็ไม่ควรจะอยู่เฉยๆ สิ ต้องช่วยฝั่งข้างนอกบ้าง บางทีเขาอาจจะกำลังช่วยงัดประตูให้เปิด
ตึง!
ฉันเอาตัวทุ่มประตูอย่างแรงเพื่อที่จะให้มันเปิด แต่ว่ามันก็ยังติด ฉันเลยจะลองทุ่มใหม่อีกครั้ง คราวนี้จะเอาให้แรงกว่าเดิมเลย!
"ย๊าาา!!!"
แกร็ก! หวืดด!!!
".....!!!" มะ..ไม่นะ! ขณะที่ตัวฉันกำลังจะถึงประตู จู่ๆ มันก็ถูกคนด้านนอกดึงจนเปิดออกกว้าง และภาพแรกที่ฉันเห็นก็คืออีตาผู้กองลักษณ์นั่นเป็นคนดึง ประเด็นคือฉันดันพุ่งไปพอดี เลยกลายเป็นว่า....
"กรี๊ดดดด!!"
ตุบ!
ตุบ!
ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาหลังจากหลับตาปี๋ รู้สึกเจ็บที่เข่าแปล๊บๆ แต่ตัวไม่เจ็บ....ก็เพราะว่าฉันทับผู้กองลักษณ์อยู่ไง!!
ฉันกะพริบตาปริบๆ มองใบหน้าหล่อขาวสะอาดที่อยู่ใกล้แค่คืบ ดวงตาคมเหลือบลงมามองใต้คางฉันด้วยสีหน้าตกใจ แต่แค่แวบเดียวก็เหมือนจะเปลี่ยนมาหงุดหงิดนิดหน่อย หรือว่าเขินนะเห็นหน้าแดงๆ ฉันจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองผู้ชายอีกสามคนที่ตอนนี้ยืนตะลึงงันแถมยังพากันลอบกลืนน้ำลาย ฉันรู้ว่าตอนนี้ฉันนอนคร่อมผู้กองลักษณ์อยู่ ก็คนมันล้มไหมล่ะ ไม่เห็นจะต้องตะลึงอะไรขนาดนั้นเลย ฉันดึงสายตากลับมามองคนตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ เขยิบใบหน้าออก และจังหวะนี้เองที่ฉันพึ่งจะรู้ตัวว่าพวกเขาตะลึงกันเรื่องอะไร ก็เพราะว่าฉันมีผ้าขนหนูพันรอบตัวแค่ผืนเดียวยังไงล่ะ!!! แถมผ้ามันยังหลุดล่นลงมา ถ้าไม่มีมือของผู้กองลักษณ์จับไว้ฉันก็ไม่อยากจะคิดเลย
"กรี๊ดดด!!!"
(Luck talk)
ผมหันหน้าหนีไปอีกทางพร้อมกับหลับตาหนีเสียงแหลมๆ ที่กรี๊ดออกมาเหมือนพึ่งจะรู้ตัว ครับ! ตอนนี้ผมกึ่งนั่งกึ่งนอนก้นจ้ำเบ้ากับพื้นเพราะแม่นักเขียนนี่พุ่งเข้ามาใส่ แถมยังมานอนทับผมด้วยสภาพกึ่งเปลือยแบบนี้อีก ดีนะที่ผมเห็นทันว่าผ้ามันจะหลุดเลยรีบจับไว้ ให้ แต่มันก็ยังปิดส่วนบนไม่มิดอยู่ดี ไม่อย่างนั้นพวกไอ้ตาร์ ไอ้แดน ไอ้คินจะยืนตาถลนน้ำลายหกอยู่แบบนี้เหรอ ยัยนักเขียน...เอ่อ...เหมือนเมื่อเช้าจะได้ยินเธอพูดว่าชื่อพระพายนะ พระพายเอามือมาจับตรงปมผ้าขนหนูที่ผมจับไว้ ผมเลยรีบปล่อยมือแล้วลุกขึ้นทันทีที่เธอถอยออกไปนั่งกับพื้นเอง ทีงี้นั่งห่อตัวก้มหน้าเลยสิ ก่อนหน้านี่ขึ้นคร่อมผมทั้งตัว ขาก็อ้ากว้าง พอรู้ว่าภายในผ้าขนหนูผืนนั้นมันว่างเปล่าผมก็หน้าร้อนเห่อขึ้นมาเฉยเลย
อึก!!
อึก!!
หืม! เสียงน้ำลายพวกแกดังไปนะไอ้พวกลามก ผมหันไปส่งสายตาปรามลูกน้องที่ยืนตาเยิ้มทั้งสามคนแล้วรีบถอดเสื้อออกเอาไปสวมใส่ให้ร่างบางที่นั่งก้มหน้าไม่ยอมลุกไปไหน เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมทันทีที่ผมเอาเสื้อสวมลงไปในหัวเธอ แขนเรียวขาวรีบสอดใส่เข้าไปในแขนเสื้อตามอย่างว่าง่าย ก่อนจะลุกขึ้นยืนล่นผ้าขนหนูลงมาพันรอบเอวอย่างมิดชิด
"พวกแกไปกันได้แล้ว"
"เอิ่ม...ไม่ไปส่งน้องนักเขียนที่ห้องก่อนเหรอครับ" ไอ้ตาร์ยิ้มหวานตาเยิ้มมองพระพาย แหมไอ้นี่!!...น้ำลายจะไหลออกปากอยู่แล้ว
"พวกแกอยากวิ่งรอบสนามสักร้อยรอบก่อนนอนไหม?"
"หะ..ห๊า!! ระ..ร้อยรอบเลยเหรอครับผู้กอง แหะๆ พวก..พวกผมไปดีกว่า ฝันดีครับผู้กอง!!"
หึ! ถึงกับติดอ่างเลยสิ พวกมันทั้งสามคนยืนทำความเคารพผมแล้ววิ่งเผ่นแนบไป ไม่ถึงห้าวินาทีเสียงฝีเท้าของพวกมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ผมหันกลับมามองตัวปัญหา ถึงที่นี่จะเป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่มีแต่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่ทุกคนก็เป็นผู้ชาย ภายนอกคิดอะไรทำอะไรเราสามารถเห็นได้และเดาออก แต่ข้างในจิตใจส่วนลึกมักมีปีศาจร้ายซ่อนอยู่ และไม่รู้มันจะอาละวาดเมื่อไหร่ ผมเองก็มีครับ และเชื่อว่าคนทุกคนก็มีเหมือนกัน สุดแล้วแต่ความอดทนของคนมันจะมากหรือน้อยก็เท่านั้นเอง
"มาวันแรกก็สร้างปัญหาเลยนะครับ"
"ก็ฉันไม่รู้นี่คะว่าประตูมันเสีย! ก็แล้วทำไมคุณไม่บอกฉันล่ะ?"
"ถ้าผมรู้คุณคงไม่ได้ไปติดอยู่ในนั้นหรอกครับ"
"นี่คุณ!..."
"ไม่กลับห้องเหรอครับ หรือจะยืนอวดช่วงล่างที่มันโล่งโจ้งของคุณให้คนอื่นเห็นอีก?"
"นี่คุณ! ฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบฉัน แต่ฉันจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ แล้วก็ขอบใจมากนะคะที่มาช่วย แล้วก็ขอบอกคุณไว้ตรงนี้ว่าคุณจะต้องทนเห็นหน้าฉันไปอีกสามเดือน อย่าอกแตกตายไปก่อนล่ะผู้กองลักษณ์ ชิ!"
ยัยนั่นฟาดงวงฟาดงาใส่ผมใหญ่เลยครับ ประชดประชันเก่งดีเหลือเกิน หัวไวด้วยที่รู้ว่าผมไม่ชอบ ก็เพราะผู้หญิงมันน่ารำคาญแบบนี้ไง อ่อ ผมเองก็มีเรื่องจะบอกเธอเหมือนกัน ตอนนี้เธอเดินไปจนถึงหน้าห้องแล้ว
"นี่คุณพระพายครับ!" ผมตะโกนเรียกเธอที่กำลังจะเปิดประตูเข้าห้อง เธอหันมาจิกตาใส่ผมแล้วยืนรอฟังสิ่งที่ผมจะพูด ผมเชื่อว่าพอผมพูดจบท้องเธออาจจะร้องเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์เลย "เลยเวลาอาหารเย็นแล้ว คุณไม่ต้องไปโรงอาหารแล้วนะครับ เพราะมันไม่มีอะไรให้คุณกิน!"