กอดที่ไม่ใช่กอด -Ep.6-
Ep.6
เช้าวันต่อมา
"หาวว~" เสียงหาวตื่นนอนของพระพายดังขึ้นพร้อมกับเรียวแขนขาวที่ยืดบิดขี้เกียจอยู่บนที่นอน ดวงตาคู่สวยค่อยๆ ปรือขึ้นมากะพริบซ้ำๆ อย่างเชื่องช้า คล้ายกำลังรีเซ็ทสมองในยามเช้าและประมวลผลกับภาพเบื้องหน้าที่เห็น เมื่อจับใจความได้แล้วว่าเธอเข้ามาอยู่ในหน่วยปฏิบัติการพิเศษ และนี่ก็เป็นเช้าวันแรกของการเริ่มต้นเก็บข้อมูล มือบางก็เอื้อมไปหยิบมือถือมากดดูเวลา แต่พอเห็นตัวเลขบนหน้าจอมือถือเท่านั้นแหละ ดวงตาที่กำลังปรืออยู่ก็เบิกโพลงขึ้นมาทันที
"สิบโมง!!!"
(Phraphai talk)
ฉันสะดุ้งลุกขึ้นนั่งทันทีทันใดเมื่อรู้ว่าตัวเองตื่นสายและกำลังจะไปสำรวจความเป็นอยู่ของหน่วยสีครามคลุมดินสายด้วย วีรกรรมที่ฉันก่อไว้เมื่อคืนฉันยังไม่ได้กู้หน้าตัวเองคืนมาเลย นี่ฉันดันไปสายให้เขามองฉันไม่ดีเพิ่มไปอีก ตายแล้วๆ รีบอาบน้ำแต่งตัวดีกว่า
หลังจากที่ฉันอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ฉันก็รีบไปรื้อเอาสมุดในลิ้นชักขึ้นมาหนีบไว้ในร่องแขน ก่อนจะวิ่งวุ่นหามือถือ โอ๊ยยย เมื่อคืนก็กินข้าวไม่ทัน เช้านี้ก็ยังไปกินข้าวไม่ทันอีก เฮ้ออ~ ฉันรีบวิ่งออกมาที่สนามหญ้า เห็นพวกคุณตำรวจกำลังวิ่งอวดหุ่นล่ำๆ รอบสนามกันอยู่ ฉันก็จดสิคะรออะไรล่ะ วันนี้อากาศดีอีกแล้ว ไม่มีแดดเลยค่ะ ฉันเลยนั่งลงตรงขอบสนามหญ้า แล้วจดลงสมุดคร่าวๆ ว่าพวกเขาทำอะไรกันบ้าง แต่ดูๆ แล้วพี่ๆ ตำรวจเขาคงวิ่งกันทุกวัน
"ไม่มาเที่ยงเลยล่ะครับคุณนักเขียน" ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียงเรียบประชดประชัน ร่างสูงยืนค้ำหัวฉันสองมือไขว้ไว้ข้างหลังพร้อมกับสายตาที่ทอดมองลูกน้องของเขาที่กำลังวิ่งอยู่ คือเมื่อกี๊เขาพูดกับฉันใช่ไหมคะ ต้องใช่สิ ฉันมองซ้ายมองขวาแล้ว ตรงนี้มันมีแค่ฉันกับเขา
"ฉันชื่อพระพายค่ะ ไม่ได้ชื่อคุณนักเขียน" ฉันตอบกลับโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปสนใจเขา ตั้งใจก้มหน้าเขียนโน๊ตต่อ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอกค่ะที่เรียกฉันแบบนั้น แต่ฉันว่ามันฟังดูเหมือนประชดประชันกันมากกว่า รู้จักชื่อกันแล้วก็ควรจะเรียกชื่อดีกว่าไหม
"ข้าวเช้าเรากินกันตอนหกโมง ผมว่าผมแจ้งรายละเอียดไปแล้วนะครับ" น้ำเสียงเรียบตึงเอ่ยบอกกับฉัน ย่ะ! ฉันรู้แล้ว ฉันผิดเองที่ไปไม่ทัน นี่ถ้าไม่สำนึกผิดเรื่องเมื่อคืนนะ ฉันลุกขึ้นยืนแล้วเถียงกลับแบบตาต่อตาฟันต่อฟันแล้ว
"ค่ะ เมื่อเช้าฉันสายเอง เป็นความผิดของฉันเอง" ฉันบอกกลับอย่างไม่ทุกข์ร้อน นั่งเอาขาชันเข่าขึ้นหนึ่งข้างแล้วเอาสมุดวางพิงไว้ ตั้งใจเขียนอย่างไม่สนใจอีตาผู้กองที่ยืนอยู่ข้างๆ แต่ถามว่าเขียนเกี่ยวกับหน่วยสวาตไหม เปล่าค่ะ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขียนอะไรลงไป แค่แกล้งฟอร์มว่าเขียนเฉยๆ ให้เขาเห็นว่าฉันไม่สนใจเขา ใช่...ฉันไม่สนใจ ถึงหางตาจะแอบเหล่ๆ มองเขาเป็นระยะแต่ฉันก็ไม่ได้สนใจจริงๆ นะ ฮึ้ยยย! เบื่อจริง ทำไมฉันต้องนึกถึงแต่ภาพที่มือเขาจับผ้าขนหนูให้ฉันแล้วก็ภาพที่เขาถอดเสื้อมาใส่ให้ฉันด้วย สะ..เสื้อเหรอ? ตายแล้วฉันลืมซักเสื้อมาคืนหมอนี่ เขาจะทวงไหมนะ
"อย่าผิดบ่อยนักสิครับ ผมโดนมอบหมายหน้าที่ดูแลคุณให้ดี คุณทำแบบนี้ผมจะโดนด่าเอาได้ครับ"
ฉันถอนหายใจยาว ก่อนจะลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับผู้กองลักษณ์
“ใครจะด่าคุณกันคะ บอกให้เขามาคุยกับฉันแล้วฉันจะบอกเองว่าคุณดูแลฉันดีมากแต่ฉันไม่ดีเอง” พูดจบฉันก็เดินตัวปลิวหนีอีตาผู้กองนั่นมาเลย เดินมาเรื่อยๆ แบบไม่รู้ทิศทางเลยด้วยซ้ำ อวดเก่งเดินหน้าตั้งมาโผล่ที่ไหนก็ไม่รู้ค่ะ รำคาญตัวเองจริงๆ ทำไมเห็นหน้าอีตาผู้กองลักษณ์ใกล้ๆ แล้วรู้สึกว่าเขาหล่อมากๆ นะ อย่านอกลู่นอกทางได้ไหมยัยพระพาย ไม่เห็นสายตาเย็นชาคู่นั้นหรือไง อยู่ใกล้นานๆ มีโอกาสได้เป็นน้ำแข็งอยู่ขอบสนามแน่ๆ
เอ๊ะ!
ฉันเอียงคอมองอุปกรณ์ออกกำลังกายที่ค่อนข้างจะแปลกหูแปลกตาไปสักหน่อย ตอนนี้เหมือนฉันจะอยู่หลังตึกเก่าค่ะ ก็อีตึกที่ฉันอยู่นั่นแหละ ไม่รู้มาโผล่ตรงนี้ได้ยังไง ไอ้อุปกรณ์ที่ฉันว่ามันแปลกคือมันมีล้อรถ เหล็กโหน ลูกตุ้มใหญ่ๆ ไม่รู้เอาไว้ทำอะไรแต่ดูเหมือนจะหนักมากนะคะ มีหลายอันด้วย สงสัยเอาไว้ฝึกซ้อมกัน ฉันจดรายละเอียดคร่าวๆ ลงในสมุดโน้ต ก่อนจะเดินยิ้มแป้นไปหาอีลูกตุ้มใหญ่ๆ นั่น นึกอยากลองต่อยดูค่ะ เพราะคิดว่ามันคงมีไว้ให้หมัดหนักๆ ของเหล่าหน่วยสวาตอัดมันแน่ๆ ฉันจะลองนึกว่านั่นคือหน้าอีตาผู้กองน้ำแข็งนั่นนะคะ รับลองลูกตุ้มนั่นได้สั่นเป็นระฆังเพราะหมัดฉันแน่
“ย๊าาาา!!!”
ตุบ!
“นี่คุณพระพาย!!!”
“กรี๊ดดด!!!” ฉันกรี๊ดดังลั่นเมื่ออีลูกตุ้มที่ฉันไปต่อยมันล่วงลงผ่านหน้าฉันไปอย่างเฉียดฉิว อันที่จริงฉันควรจะน๊อคไปแล้วมากกว่าถ้าอีตาผู้กองน้ำแข็งไม่เข้ามาเกี่ยวท้องฉันไว้แล้วดึงฉันเข้าไปแนบตัวเขา ฉันยืนหอบหายใจพร้อมๆ กับที่ได้ยินเสียงหอบหายใจของคนด้านหลัง เราทั้งคู่ยังไม่มีใครพูดอะไร จนฉันค่อยๆ หันหน้าไปมองใบหน้าหล่อที่อยู่แค่คืบ ทะ...ทำไมใจฉันถึงเต้นแรงนะ แล้วนี่...เขากำลังกอดฉันอยู่ใช่หรือเปล่า ฉันกะพริบตาปริบๆ จ้องตากับผู้กองลักษณ์ โห...เบ้าหน้าคือถ้าเอาไปบรรยายก็คือพระเอกนิยายคนนึงเลยล่ะ ไม่ใช่แค่ในนิยายสิ เป็นพระเอกในหนังหรือละครทีวียังได้เลย
พรึบ!
อะ..อ่าว ปล่อยกันง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ แถมยังเก๊กไม่สนใจฉันทั้งๆ ที่พึ่งกอดฉันเนี่ยนะ! เอ่อ..อันที่จริงคือเขาเข้ามาช่วยชีวิตที่มีค่าอันน้อยนิดสำหรับเขามากกว่า เพราะเขาถูกสั่งให้ดูแลฉันไง ถ้าฉันเป็นอะไรขึ้นมาเขาคงจะถูกตำหนิ
“ขอบคุณค่ะ” ฉันก้มหัวลงเล็กน้อยให้กับคนตรงหน้า ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นคนช่วยฉันไว้ตั้งสองสามครั้งแล้ว ฉันก็ไม่ได้ไร้มารยาทขนาดนั้น ว่าแต่...เขาตามฉันมาเหรอ หรือแค่บังเอิญผ่านมา? ยังมาทำฟอร์มเบือนหน้าหนีฉันอีก ดูก็รู้ว่ามีอะไรจะพูดกับฉัน “คุณตามฉันมาเหรอคะ มีอะไรหรือเปล่า”
“ผมลืมบอกคุณเรื่องไปค่าย” เสียงเรียบตึงเอ่ยขึ้น ค่าย? ค่ายอะไร
“ค่ายอะไรเหรอคะ?”
“หน่วยเรามีฝึกที่เกาะป่าช้ากลางทะเลสามวัน เริ่มออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า มาบอกคุณไว้ก่อน คุณจะได้เตรียมตัวทัน”
“........” ฉันยืนคิดตามที่ผู้กองลักษณ์บอก หมายความว่า...ฉันต้องไปด้วยอย่างนั้นเหรอ? นั่นน่ะสิ ฉันมาสังเกตการณ์ความเป็นอยู่และการทำงานของพวกเขานี่นา ขนาดพวกเขามีเหตุฉันยังถูกพี่อันอันกำชับว่าให้ไปสอดแนมใกล้ๆ แต่อยู่ในที่ปลอดภัย แล้วนับประสาอะไรกับค่ายที่เกาะป่าช้าอะไรนี่ล่ะ ยังไงก็ต้องติดสอยห้อยตามพวกเขาไปอยู่แล้ว "อ่อค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาบอก ฉันจะเตรียมตัวให้พร้อม"
“ไปอยู่บนเกาะคุณจะทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้นะครับคุณพระพาย อันตรายรอบด้านแบบนั้นมันยากที่ผมจะปกป้องคุณได้ตลอดเวลา”
“ค่ะ! ฉันจะคอยทำตามที่คุณบอกทุกอย่าง พอใจหรือยังคะ?”
“หึ ให้มันจริงเถอะครับ ตั้งแต่คุณมาถึงก็ก่อเรื่องไปแล้วน่าจะสามครั้งได้ ครั้งล่าสุดก็เกือบได้ไปเยี่ยมยมบาล ลูกตุ้มหนักสิบห้าโล คุณคิดว่าถ้ามันหล่นใส่หัวคุณเมื่อกี๊จะเกิดอะไรขึ้นครับ?”
“ก็อาจจะตายมั้งคะ! ขอบคุณละกันที่มาช่วย ฉันจะพยายามไม่ก่อเรื่องให้คุณอีก พอใจหรือยัง!?” พูดจบฉันก็เดินหนีมาอีกค่ะ ตอนนี้เดินหนีเข้าห้องมาเลย เบื่อสีหน้าตายด้านและน้ำเสียงเรียบตึงนั่นจะตายชัก ช่วยทำสายตาหวานๆ หรือสายตาเป็นห่วงเหมือนที่ผู้ชายคนอื่นๆ เขาทำกันหน่อยก็ไม่ได้ อ่อลืมไป...ฉันไม่ใช่ญาติหรือคนรักคนสำคัญของเขานี่นา โอ๊ยยยย!!