แมนทั้งแท่ง -Ep.7-
Ep.7
Rrrrr~
เมื่อฉันก้าวขาเข้ามาในห้องเสียงมือถือในกระเป๋าตูดกางเกงยีนส์ขายาวของฉันก็ดังขึ้น ฉันหยิบออกมาดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์พี่อันอัน จึงไม่รอช้าที่จะกดรับสาย ฮือออ พี่อันอันโทรมาได้จังหวะพอดี ฉันอยากฟ้องจะแย่แล้ว
“ฮัลโหลพี่อันอัน~” ฉันทำเสียงอ้อนแล้วลงไปนั่งบนเก้าอี้โต๊ะทำงานของฉัน
(ทำไมเสียงเป็นอย่างนั้นล่ะพระพาย) น้ำเสียงพี่อันอันที่รีบถามกลับมาแลดูเป็นห่วงฉันจัง อิอิ เข้าทางเลย
“พี่อันอันคะ พี่ให้พระพายกลับสำนักพิมพ์ได้ไหมอ่า ให้คนอื่นมาแทนไม่ได้เหรอคะ พระพายไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว อีตาผู้กองใจร้ายนั่น!...ฮือออ!”
(เดี๋ยวๆ ค่อยๆ เล่า เป็นอะไร?)
“เนี่ย...พระพายไม่ได้กินข้าวมาสองมื้อแล้วค่ะ ก็อีตาผู้กองที่พี่นูน่ากับคนอื่นๆ คลั่งนักคลั่งหนาน่ะสิ เขาแกล้งพระพายค่ะ เราถอนตัวจากกิจกรรมเถอะค่ะพี่อันอัน...หรือไม่อย่างนั้นก็ให้เทียนมาแทนพระพายก็ได้~” อันที่จริงพระพายไปสายเลยไม่ได้กินข้าวค่ะ แล้วผู้กองลักษณ์ก็ไม่ได้ตั้งใจแกล้งอะไร ก็แค่เย็นชาหน้าไม่รับแขกเป็นนิสัยส่วนตัวที่รับได้ยาก อ่อ แล้วเขาก็ช่วยชีวิตพระพายด้วย ฉันสารภาพความจริงในใจ แต่ที่ต้องโกหกเพราะฉันอยากกลับบ้าน ฮือออ~
(ถอนตัวไม่ได้นะพระพาย! แล้วเทียนก็ไม่ยอมไปแน่ๆ ที่สำคัญ...พี่มั่นใจในฝีมือเรามากกว่า อ่อ...พี่ได้ยินแว่วๆ มาด้วยนะ รางวัลของกิจกรรมนี้คือการได้ไปญี่ปุ่น ไปร่วมงานกับดับเบิ้ลยูนักเขียนที่พระพายชอบไง บางทีหนังสือเล่มต่อไปของดับเบิ้ลยูอาจมีชื่อพระพายอยู่ด้วยก็ได้ นั่นจะทำให้คนรู้จักพระพายมากขึ้นนะ ไม่สนใจจริงๆ เหรอ?) ฉันรู้ว่าพี่อันอันพยายามเกลี้ยกล่อมฉันโดยเอาดับเบิ้ลยูมาล่อ และฉันก็ตกหลุมพรางนั่นทันที ค่ะ ตอนนี้ฉันตาโตเลยทีเดียว ก็ดับเบิ้ลยูเป็นนักเขียนที่ฉันปลื้มมาก ฉันชอบงานเขียนของเขามากๆ นิยายของเขาสนุกและฟินจนหลุดโลกไปเลยค่ะ ฉันสะสมงานเขียนเขาทุกเรื่อง แต่บางเรื่องก็หาไม่ได้เพราะไม่ตีพิมพ์แล้ว ใครได้ไปอยู่ในมือถือว่าโชคดีและต้องมีฐานะดีมากๆ เพราะมันมีจำกัดยังไงล่ะคะ
“จะ..จริงเหรอคะ?”
(ก็จริงน่ะสิ แต่รายละเอียดบอสเค็นยังไม่บอกพี่เลย เอาไว้ถ้าพี่ได้ยินอะไรมาแล้วจะโทรไปบอกนะ)
“โอเคค่ะ พระพายยอมอยู่ต่อก็ได้”
(ดีมาก โอเคงั้นแค่นี้ก่อนนะ ทำใจให้สบายล่ะ)
“ค่า สวัสดีค่ะพี่อันอัน” หึๆ ทำใจให้สบายเหรอ? พระพายก็อยากทำใจให้สบายเหมือนกันค่ะพี่อันอัน แต่คนที่พระพายต้องเผชิญหน้าแทบจะตลอดเวลานี่สิคะ ฮือออ! เขาไม่เคยทำให้พระพายสบายใจเลย ไม่รู้ต้องเข้าหน้ากับเขายังไง ทำไมคนที่เป็นผู้กองไม่เป็นคุณตาร์นะ
วันต่อมา
(Luck talk)
ปึก!
ตอนนี้ผมขับรถมาจอดหน้าห้องของพระพายเพราะต้องเอาเธอติดรถไปท่าเรือด้วย คนอื่นๆ มุ่งหน้าไปกันหมดแล้ว รอบนี้ผมนำทีมไปเกาะป่าช้าโดยมีตำรวจยี่สิบห้านายไปทำการฝึกซ้อมรับมือกับอาชญากรข้ามชาติ เพราะเราอยู่ติดทะเล ของผิดกฎหมายมักจะนำเข้าโดยคนต่างชาติที่ลักลอบกันเข้ามาโดยมีอาวุธสงครามเป็นส่วนใหญ่ ส่วนตำรวจอีกยี่สิบห้านายที่เหลือเคยไปฝึกก่อนหน้านี้แล้ว แน่นอนว่าครั้งนี้คือครั้งที่สอง
ผมยืนมองพระพายแบกกระเป๋าเป้สะพายหลังอย่างทุลักทุเลเพราะดูเหมือนจะหนัก ถ้าถามว่าทำไมผมไม่ช่วย ก็ดูท่าทางอวดเก่งแบบนั้นคงจะแรงเยอะพอตัวอยู่ นึกถึงเรื่องเมื่อวานใจผมยังหายไม่เลิก นี่ถ้าผมไม่นึกได้ว่าลืมบอกเรื่องเกาะป่าช้ากับเธอ ผมก็คงไม่บังเอิญไปเจอเธอตอนลูกตุ้มหนักสิบห้ากิโลมันกำลังจะหล่นมาทับ สร้างปัญหาได้ตลอดจริงๆ!
พอเธอเดินมาถึง ผมก็หันไปเปิดประตูขึ้นรถ พระพายเดินอ้อมมาเปิดประตูอีกฝั่ง เธอกำลังจะขึ้นมานั่งโดยมีกระเป๋าเป้อันใหญ่สะพายติดหลังอยู่ นี่ลืมหรือว่าโง่?
"เชื่อคุณเลยจริงๆ คุณพระพาย!" ผมเอื้อมไปดึงกระเป๋าสีชมพูใบใหญ่ออกมาจากหลังแม่นักเขียนจอมเซ่อด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วโยนมันไปที่เบาะด้านหลัง เท้าเล็กที่สวมผ้าใบสีขาวพึ่งจะก้าวขึ้นรถมาแค่ขาเดียวเพราะเมื่อกี๊กระเป๋าเธอมันติดประตูอยู่ รู้ทั้งรู้ว่ากระเป๋ามันใหญ่ก็ยังจะพยายามขึ้นมา แทนที่จะถอดออกแล้วเอาไปไว้เบาะหลังให้มันเรียบร้อยก่อน ผมเห็นแล้วก็รำคาญตาถึงได้ไปแย่งกระเป๋าออกมา นี่ขนาดช่วยให้ฉลาดขึ้นแท้ๆ ยังมิวายจะถูกเธอช้อนตามองอย่างไม่พอใจเลย
"รีบๆ หน่อยคุณ! ทุกคนมุ่งหน้าไปรอที่ท่าเรือกันหมดแล้ว" ผมเร่งคนที่เอาแต่ลีลาจะขึ้นก็ไม่ขึ้น คงกลัวผมกัดมั้งครับ สายตาเหมือนจะเกรงใจ อีกมุมก็เหมือนจะกลัว แต่บางมุมก็ดูจะเกลียดผม จะอะไรก็ช่างเถอะครับ ความรู้สึกของเธอไม่มีผลอะไรต่อผมอยู่แล้ว หลังจากที่คุณนักเขียนเสด็จขึ้นมานั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วผมก็ออกรถทันที จริงๆ ท่าเรือมันก็ไม่ได้ไกลหรอกครับ พูดกันตามตรงก็คืออยู่ข้างหลังหน่วยนี่เอง แต่ข้าวของสัมภาระเยอะแยะไปหมดเลยต้องใช้รถไปที่ท่าเรือสีครามคลุมดิน ท่าเรือที่มีแต่หน่วยเราและผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นที่ใช้ได้
ท่าเรือสีครามคลุมดิน
(Phraphai talk)
ฉันลงมาจากรถอีตาผู้กองลักษณ์ได้ก็เปิดประตูหลังเอากระเป๋าแล้วเดินไปหาคุณตาร์ที่ยืนอยู่กับเพื่อนๆ ทันที ยังไงดีล่ะ ตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่นี่ก็เคยคุยกับคุณตาร์คนเดียวและคุยกันอย่างราบรื่นดีด้วย แต่อีกคนคุยบ่อยก็จริงแต่หาความราบรื่นไม่เจอเลย
“อ้าว สวัสดีตอนเช้าครับคุณพระพาย”
“สวัสดีค่ะคุณตาร์” ฉันทักทายคุณตาร์กลับ ตอนนี้พวกเขากำลังขนของลงสปีดโบ๊ทที่จอดเรียงกันอยู่ห้าลำ ท่าเรือที่นี่เป็นท่าเรือเล็กๆ ค่ะ มันเป็นสะพานปูนทอดยาวออกมา ข้างหน้าก็มีป้ายบอกชัดเจนว่าที่นี่คือท่าเรือสีครามคลุมดิน
“เป็นไงครับคุณพระพาย นั่งรถผู้กองสุดหล่อของเรา” คุณตำรวจที่ฉันจำได้ว่าชื่อคินเอียงตัวมากระซิบถามฉัน เอิ่ม...คือเขาหน้าตาดีนะคะ อย่างกับหนุ่มจีนเลย หนุ่มจีนที่ไม่ได้ตี๋อะไรขนาดนั้นแต่เค้าหน้าคือเหมือนหนุ่มแดนมังกรน่ะค่ะ
“เกือบแข็งตายน่ะค่ะ” ฉันกระซิบกลับ นั่นทำให้พี่ตำรวจอีกคนที่ฉันก็จำได้ว่าชื่อแดนหัวเราะลั่นจนทุกคนหันมามอง
“ฮ่าๆๆๆๆ! คุณพระพายนี่หัวไวนะครับ คราวนี้รู้แล้วใช่ไหมครับว่าผู้กองเราขีดเส้นตายกับผู้หญิงไว้” ประโยคหลังคุณแดนพูดเบาๆ ให้ได้ยินกันสี่คนค่ะ
“ผู้กองของพวกคุณนี่เคยโดนหักอกมาเหรอคะ ท่าทางจะแค้นฝังใจกับผู้หญิงทุกคน”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่เท่าที่รู้ๆ มา ผู้กองยังไม่เคยมีแฟนนะครับ” ฉันฟังที่คุณตาร์พูดก็ขมวดคิ้วสงสัย
“งั้นก็คงเป็นเกย์?”
“คิกๆๆๆ” คุณตาร์ คุณคิน คุณแดนพากันขำแบบพยายามกลั้นเอาไว้ไม่ให้เสียงดัง ทำไมเหรอ ฉันพูดผิดตรงไหน เกย์ก็ต้องเกลียดชะนีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ?
“เรื่องนั้นคุณพระพายลืมไปได้เลยครับ ผู้กองผมน่ะ แมนทั้งแท่ง แท่งใหญ่ด้วย!”
“ทะ..แท่งใหญ่เหรอคะ?” ที่คุณคินพูดมันหมายความว่าอะไรคะ แท่งอะไรใหญ่ เขาคงไม่ได้ตั้งใจพูดกำกวมให้ฉันคิดลึกใช่ไหม
“ไอ้คินมึงอย่าทำให้คุณพระพายมองเราเป็นพวกโรคจิตได้ไหมวะ!” คุณตาร์ตีไหล่คุณคินแล้วดุไม่จริงจังนัก
“กูหมายถึงแท่งกล้ามเนื้อเว่ย! พวกมึงนั่นแหละคิดโรคจิต”
“หราาา...กล้ามเนื้อบ้านมึงเรียกเป็นแท่งเหรอไอ้เวร!” อืม ฉันก็เห็นด้วยกับคุณแดนค่ะ แท่งกล้ามเนื้อ...ไม่เคยได้ยินนะคะ
“ว่างกันมากวิดพื้นก่อนไปสักร้อยทีดีไหม?”
“ผะ..ผู้กอง!!”
“ผู้กองลักษณ์!!”
“ผู้กองลักษณ์!!”
ทั้งคุณตาร์ คุณแดน คุณคินหันไปยืนเท้าชิดหลังตรงเรียกผู้กองลักษณ์เสียงดังฟังชัดอย่างพร้อมเพรียงกัน ฉันเองก็เผลอหันไปยืนหลังตรงตามพวกเขาด้วย พอทุกคนเงียบฉันก็เผลอกลืนน้ำลายอย่างประหม่า เอ๊ะ! นี่ฉันกลัวอะไร ฉันไม่ได้เป็นลูกน้องหมอนี่สักหน่อย แต่ทำไมมือกับเท้าฉันไม่ขยับเลยล่ะ
“ขนของลงหมดหรือยัง?”
“หมดแล้วครับ!”
“หมดแล้วก็ไปกันได้แล้ว ยืนไร้สาระอะไรกันอยู่?”
“ครับๆๆ!” ทั้งคุณตาร์ คุณแดน คุณคิน และคนอื่นๆ ที่ได้ยินเสียงอีตาผู้กองสั่ง รีบลงเรือกันอย่างกระตือรือร้น ชิ! จะเข้มไปไหน คิดว่าดุแล้วเท่ห์เหรอ? กะ..ก็เท่ห์นิดนึงแหละมั้ง แฮ่มม! มีสติหน่อยยัยพระพาย ฉันก็ควรจะลงเรือตามพวกพี่ๆ เขาสิ ยืนจ้องหน้ากับหมอนี่ทำไมกัน
ฉันเลิ่กลั่กเลือกทางลงเรือไม่ถูกเลยค่ะเพราะไม่รู้ว่าต้องนั่งลำไหน แต่ละลำมีคนนั่งจนเกือบเต็ม แต่จู่ๆ กระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ฉันสะพายอยู่ก็ถูกดึงออกไปด้วยฝีมือของอีตาผู้กองน้ำแข็ง เขาแย่งเอาไปสะพายบนหลังตัวเองแล้วเดินลงเรือลำเดียวกับพวกคุณตาร์ นั่นหมายความว่าฉันต้องลงเรือลำนั้นใช่ไหมคะ? ฉันไม่รอช้ารีบเดินตามอีตาผู้กองลักษณ์ไป แล้วจู่ๆ มือหนาข้างนั้นก็ยื่นมาให้ฉัน หมายถึงผู้กองลักษณ์น่ะค่ะ เขาหันมาส่งมือให้ฉัน ฉันเลยหันไปมองข้างหลังตัวเองว่ามีใครตามฉันลงมาไหม ก็ไม่มีหนิค่ะ แสดงว่ามือข้างนั้นสำหรับฉันเหรอ? ไม่เชื่อใจเขาเลยจริงๆ จะแกล้งเหวี่ยงฉันตกน้ำหรือเปล่า
“เสด็จลงมาสักทีเถอะครับ มือผมมันไม่มีปาก กัดคุณไม่ได้หรอก แต่ถ้าคุณตกน้ำไปผมเนี่ยจะโดนเบื้องบนกัดเอา”