บทที่ 2 สองมังกรแห่งไท่หยาง (1/2)
ตำหนักไท่ซาน…
“มู่กงจื่อคารวะองค์ชายทั้งสอง ฝ่าบาทและพระชายาทรงมีรับสั่งให้กระหม่อมมาทูลเชิญทั้งสองพระองค์ไปเข้าเฝ้า พ่ะย่ะค่ะ”
มู่กงจื่อ ข้ารับใช้คนสนิทประจำตำหนักใหญ่ของบิดารุดวิ่งหน้าตั้งเข้ามาภายในตำหนักไท่ซาน ก่อนจะค้อมกายแสดงความเคารพผู้เป็นเจ้าของตำหนักด้วยความนอบน้อม
“ตอนนี้อย่างนั้นหรือ”
ซุนเว่ยหมิน หรือรัชทายาทผู้พี่ละสายตาขึ้นจากตำราการรบ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น สายตาคมกริบคู่นั้นยังคงฉายแววความสงสัยอยู่ไม่น้อย
“ตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จพ่อคงจะมีการใหญ่ให้เจ้ากับข้าไปทำกระมัง ถึงได้รีบร้อนรับสั่งให้เข้าเฝ้าถึงเพียงนี้”
ซุนเว่ยหยาง หรือรัชทายาทผู้น้องเอ่ยขึ้น ทั้งที่ยังคงเอนกายนอนราบอยู่บนขอบหน้าต่างด้วยท่าทางสบายอารมณ์
มู่กงจื่อทอดสายตามองรัชทายาททั้งสองด้วยความระอาทั้งที่เขาแสดงท่าทีที่รีบร้อนถึงเพียงนี้ แต่ดูเหมือนว่าองค์ชายทั้งสองหาได้รีบร้อนที่จะไปเข้าเฝ้าผู้เป็นบิดาตามรับสั่งแต่อย่างใด
นิสัยที่ต่างกันสุดขั้ว มู่กงจื่อก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทั้งสองพระองค์เกิดมาเป็นฝาแฝดกันได้เช่นไร เพราะนอกจากใบหน้าที่รูปงามหล่อเหลาเหมือนกันแล้ว ทั้งสองพระองค์ก็หาได้มีสิ่งใดเหมือนกันเลยแม้แต่น้อย
ซุนเว่ยหมิน รัชทายาทผู้พี่มีนิสัยที่ดุดัน เคร่งขรึม น่าเกรงขาม รอบคอบ เก่งกาจการรบไม่แพ้ประมุขซุนผู้เป็นบิดา ส่วนซุนเว่ยหยาง
รัชทายาทผู้น้อง กลับมีนิสัยเจ้าเล่ห์ ขี้เล่น ยิ้มง่ายและอารมณ์ดี วาทศิลป์เป็นเลิศ เก่งกาจในเรื่องของการค้าขาย
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ช่วยรีบร้อนสักนิดเถิด ถือว่ากระหม่อมขอร้อง” มู่กงจื่อถึงกับอ้อนวอนเมื่อเห็นท่าทางที่เนิบช้าแทบขาดใจของ
รัชทายาททั้งสองพระองค์
“ข้าก็กำลังจะไปอยู่นี่ไงเล่า เป็นเพราะเว่ยหมินต่างหากที่ชักช้าไม่ยอมวางมือจากตำราเสียที” ซุนเว่ยหยางกระโดดลงจากหน้าต่างด้วยท่วงท่าทีสง่างาม
“เจ้า! เกิดทีหลังข้าแท้ ๆ คำว่าท่านพี่สักคำก็ไม่มี” ซุนเว่ยหมินถึงกับเดือดดาลในความเจ้าเล่ห์ของแฝดผู้น้อง
“เจ้าเกิดก่อนข้ายังไม่ถึงเค่อเลยด้วยซ้ำ ยังจะต้องให้ข้าเรียกว่าท่านพี่อีกรึ” ซุนเว่ยหยางเดินเข้ามากระแทกไหล่กับแฝดผู้พี่ด้วยใบหน้ากวนอารมณ์
“ได้โปรดหยุดทะเลาะกันสักประเดี๋ยวเถิดนะ พ่ะย่ะค่ะ”
มู่กงจื่อยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่เริ่มจะผุดพรายขึ้นเต็มกรอบหน้ารัชทายาทฝาแฝดช่างเป็นตัวของตัวเองกันเสียเหลือเกิน กว่าจะพา
รัชทายาททั้งสองมาเข้าเฝ้าประมุขซุนและพระชายาตามรับสั่งได้เขานั้นถึงกับเสียแรงไปไม่ใช่น้อย
ภายในห้องโถงว่าราชการ ประมุขซุนจิ้งซูกำลังนั่งจิบชาอยู่กับพระชายาซุนอิงน่าอย่างอารมณ์ดี สังเกตได้จากรอยแย้มพระสรวล
ที่เกิดขึ้นบนใบหน้า ทั้งสองพระองค์ต่างรอคอยสององค์ชายด้วยความเย็นพระทัย ด้วยเพราะรู้ดีว่าบุตรชายฝาแฝดมีนิสัยเป็นเช่นไร
“ถวายพระพรเสด็จพ่อ ถวายพระพรเสด็จแม่”
ซุนเว่ยหมินและซุนเว่ยหยางค้อมกายให้กับบิดาและมารดาด้วยความนอบน้อม ก่อนที่ข้ารับใช้จะพากันออกไป
“เจ้าตัวดี ไยมาช้านัก” ซุนอิงน่าเงยใบหน้าขึ้นมองบุตรชายด้วยความเอ็นดู
“นั่นเป็นเพราะซุนเว่ยหมินที่มัวแต่นั่งอ่านตำราไม่ยอมวางมือเสียที พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”
ซุนเว่ยหยางแฝดผู้น้องรีบปรี่เข้าไปโอบกอดมารดาด้วยท่าทางที่ออดอ้อนราวกับดรุณน้อยนิสัยขี้ฟ้อง
“เสด็จแม่ พระองค์ก็รู้ว่าซุนเว่ยหยางเจ้าเล่ห์เพียงใด”
ซุนเว่ยหมินแค่นยิ้มในลำคอ ทอดสายตามองแฝดผู้น้องที่กำลังประจบประแจงด้วยสายตาดุดัน
“เอาล่ะ ๆ พวกเจ้ามัวแต่ทะเลาะกัน แล้วเมื่อไหร่ข้ากับเสด็จแม่ของเจ้าจะได้พูดเรื่องสำคัญเสียที” ประมุขซุนเอ่ยขัดขึ้นมา
“เสด็จพ่อ พระองค์เรียกพวกข้ามามีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” ซุนเว่ยหมินเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่หย่อนกายนั่งลงบนตั่งไม้จันทน์ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าของบิดามารดาอยู่หนึ่งระดับตามศักดิ์