บทย่อ
อันเหม่ยถิง หลงคิดอยู่เสียตั้งนานว่าบุรุษที่นางมีใจให้ มีสองบุคลิกในหนึ่งเดียว แต่ที่ไหนได้พวกเขาคือรัชทายาทฝาแฝด 'สองมังกรแห่งไท่หยาง' ที่ท่านประมุขชนเผ่าหมายใจจะยกบุตรชายทั้งสองให้เป็นสามีของนาง!
บทนำ สองชะตารัก (1/2)
ชนเผ่าไท่หยาง แคว้นซีหยาง...
พระราชวังกว้างขวางใหญ่โต ถูกสร้างขึ้นจากก้อนหินมากมายเรียงรายก่อตัวขึ้นทีละก้อน โดยใช้ดินโคลนเป็นตัวเชื่อมใยความเหนียวแน่นระหว่างกันเพื่อความยั่งยืนและมั่นคง ตามวัฒนธรรมการเป็นอยู่ของชนเผ่า ก่อนจะถูกประดับประดาตกแต่งด้วยอัญมณีมีค่าผสมผสานกับก้อนหินหลากสีจากแหล่งธรรมชาติพื้นถิ่นจนงดงามวิจิตร ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางพื้นที่ราบสูงเต็มไปด้วยทุ่งหญ้ากว้างใหญ่จนมองเห็นอยู่ลิบตา อีกทั้งยังอยู่ติดกับแหล่งน้ำและภูเขาสูง มีกำแพงหินล้อมโอบล้อมโดยรอบเพื่อเป็นแนวป้องกันสำหรับองค์ราชา หรือประมุขผู้ครอบครองอาณาจักรซีหยาง
บริเวณรอบพระราชวังนั้นล้วนแล้วแต่รายล้อมไปด้วยบ้านเรือนของชาวชนเผ่าไท่หยาง และชนเผ่าอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ภายใต้อาณัติของประมุขแห่งซีหยาง ทอดยาวไปจนถึงพื้นหญ้าที่จรดกับผืนฟ้าอันกว้างใหญ่และงดงาม เอกลักษณ์ที่สำคัญของชนเผ่าทุ่งหญ้า
ยามนี้ภายในห้องโถงว่าราชการมีประมุขซุน หรือ ซุนจิ้งซู ราชาผู้ปกครองอาณาจักรซีหยาง นั่งอยู่บนตั่งไม้จันทน์ชั้นดียกระดับขึ้นเหนือพื้นบ่งบอกฐานะที่สูงศักดิ์ เคียงคู่กับพระชายาซุนอิงน่า ผู้มีรูปโฉมงดงามอยู่เคียงข้างกาย
ถัดไปจากนั้นเป็นตั่งที่นั่งของ อันรุ่ย ผู้ช่วยคนสนิทของประมุขซุนที่ลดลั่นระดับลงไปตามยศศักดิ์ที่อิงตามระบบราชวงศ์ ตำแหน่งของอันรุ่ยนั้นสามารถเทียบเคียงได้กับกงกงข้างกายของฮ่องเต้ เพียงแต่ชนเผ่าหาได้มีพิธีรีตองมากมายให้ยุ่งยากดั่งราชวงศ์ก็เท่านั้นเอง
อันรุ่ยในยามนี้เอาแต่ขมวดคิ้วหนาจนเป็นปม ราวกับมีเรื่องทุกข์ร้อนใจอัดแน่นเอาไว้อยู่ภายในอก จนประมุขซุนต้องเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้
"อันรุ่ย เป็นอันใดไปเล่า ไยต้องปั้นหน้าบึ้งตึงเช่นนั้นด้วย" ประมุขซุนเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่สังเกตอยู่นาน
"..."
"อันรุ่ย!" ประมุขซุนเพิ่มระดับเสียงขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายออกจากภวังค์ความคิด ที่พาให้สติเลื่อนลอย
"พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท"
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นอันใด ถึงได้มีสีหน้าที่ดูวิตกกังวลเช่นนั้น” ประมุขซุนเอ่ยถามอันรุ่ยอีกครั้ง ด้วยความห่วงใย
“กระหม่อม…เอ่อ...”
อันรุ่ยคิดหนักด้วยไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังเป็นกังวลอยู่นั้น สมควรที่จะเอ่ยออกไปให้กับฝ่าบาทผู้เป็นนายได้รับรู้ถึงปัญหาที่รบกวนจิตใจของเขามาอย่างยาวนานดีหรือไม่
“มีสิ่งใดให้เจ้าคิดมากก็บอกข้ามาเถิด อันรุ่ย ประเดี๋ยวจะอกแตกตายไปเสียก่อน” พระชายาซุนอิงน่าเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาหลังจากเห็นท่าทางหนักใจของอีกฝ่ายมานานหลายชั่วยาม
“กระหม่อมทุกข์ใจเรื่องบุตรียิ่งนัก พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ท้ายที่สุดอันรุ่ยก็เอ่ยปากบอกเรื่องราวที่สร้างความกังวลใจให้กับฝ่าบาทและพระชายาได้ทรงทราบ
“จริงด้วยสิ ข้าลืมไปเสียสนิทว่าเจ้ามีบุตรีอยู่คนหนึ่งนี่นา”
ซุนอิงน่ายกมือขึ้นทาบอกด้วยเพราะหลายปีมานี้นางไม่เคยได้เห็นโฉมหน้าของบุตรีอันรุ่ยเลยสักครั้ง จนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทใจ
“อืม ข้าก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย” ประมุขซุนกล่าวขึ้นอย่างเห็นด้วย
“กระหม่อมรู้สึกทุกข์ใจเป็นยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ วัน ๆ บุตรีของกระหม่อมเอาแต่เลี้ยงแกะอยู่ภายในเรือน มิหนำซ้ำนางยังปฏิเสธจดหมายจากแม่สื่อทุกฉบับ กระหม่อมเป็นกังวลว่านางจะไร้คู่ครอง ปีนี้นางก็อายุย่างเข้าสิบเก้าหนาวเสียแล้ว”
อันรุ่ยส่ายใบหน้าไปมาราวกับเอือมระอาไม่น้อย บุตรีของเขาหาได้สนใจบุรุษใด ด้วยอายุที่เริ่มจะมากขึ้นเข้าไปทุกที หากอายุมากไปกว่านี้คงไม่มีบุรุษใดอยากจะครอบครอง
“แปลกคนเสียจริง ปกติสตรีในวัยนี้มักจะเริ่มมองหาคู่ครองกันแล้ว แต่บุตรีของเจ้ากลับขลุกตัวอยู่กับแกะเสียอย่างนั้น” ซุนอิงน่าได้แต่นิ่วใบหน้าด้วยความสงสัย
“คงเป็นเพราะมารดาของนางจากไปอย่างกะทันหัน เหลือแต่แกะตัวน้อยเอาไว้ให้ดูต่างหน้า นางจึงรักเจ้าแกะตัวนี้มากจนไม่สนใจสิ่งใดเลยกระมังพ่ะย่ะค่ะ”