ตอนที่ ๒ มันหายไปไหนแล้ว
ในความมืดที่เงียบสงบของมุมหนึ่งในคฤหาสน์ ร่างของคนทั้งสองที่กำลังแนบชิดยังคงไม่ยอมถอยออกห่าง ชายหนุ่มดันให้หญิงสาวในอ้อมกอดพิงหลังไปที่กำแพงพร้อมกับกดจูบสอดปลายลิ้นเข้ามาในโพรงปากอยู่นานหลายนาที
“อื้อ” กิ่งฟ้าใช้มือทั้งสองข้างดันให้มาธัสออกห่างจากตนเองอีกครั้ง เมื่อร่างกายกำลังขาดอากาศหายใจ
“เป็นเด็กดีสิ” เขาถอนริมฝีปากออกช้า ๆ แล้วกระซิบที่ข้างใบหู “แต่ก่อนกิ่งน่ารักมากกว่านี้นะ”
“ใช่...แต่ก่อนฉันเป็นคนโง่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่” เธอใช้แรงกายผลักให้เขาออกห่างแต่ถูกชายหนุ่มคว้าแขนเอาไว้ดันให้เธอชิดติดกับกำแพงอีกครั้ง
“รู้อะไรไหม ร่างกายมันซื่อสัตย์มากกว่าคำพูดของกิ่งซะอีกนะ” ปลายนิ้วข้อแข็งบีบเน้นลงที่ปลายคาง “ถอนหมั้นซะ!!”
“ไม่!!” ดวงตากลมโตจ้องกลับอย่างไม่เกรงกลัว รอยยิ้มเหยียดของริมฝีปากมาธัสปรากฏขึ้น
“อย่ามาทำให้พี่โกรธ กิ่งคงไม่รู้ว่าเวลาที่พี่โกรธมันเป็นยังไง” รอยยิ้มเหยียดที่ริมฝีปากยังคงฉายชัดเจน
“เรื่องของฉันมันเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ ถอยไป!!”
ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยคำใดต่อเสียงเรียกของพี่สาวก็ดังขึ้น หากแต่มือใหญ่กลับปิดลงมาที่ริมฝีปากบางเมื่อเห็นว่าเธอนั้นกำลังขยับริมฝีปากตอบรับ
“ถอนหมั้นซะ! นี่เป็นคำสั่ง ถ้าไม่ทำ...” มาธัสเอามือออกแล้วกดริมฝีปากลงมาหากิ่งฟ้าอีกครั้ง หญิงสาวดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ไม่นานริมฝีปากของเขาก็ถูกฟันสวยกัดเข้าจนได้เลือด
“ออกไปจากชีวิตของฉันซะ! ฉันเกลียดคุณ!” คำพูดที่แสนเกลียดชังกลั่นออกมาจากหัวใจดวงเล็กที่เจ็บปวดน้อยลงกว่าเมื่อก่อน
พอได้มาเจอกับมาธัสอีกครั้งกิ่งฟ้าถึงได้รู้ว่าเธอยังรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องราวของเขา ถึงแม้มันจะทุเลาลงไปมากเหมือนจะหายดีแล้วแต่วันนี้มันไม่เป็นเช่นนั้น สิ่งที่เขาสร้างเอาไว้เหมือนตราบาปและรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่ยากจะลบเลือนไปได้
หญิงสาวเดินออกมาจากสวนด้านหลังกลับเข้ามาในงานอีกครั้งนั่งลงข้าง ๆ มารดาที่จ้องมองมาอย่างไม่พอใจ เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าเธอได้สร้างปัญหาให้กับครอบครัว
“หายไปไหนมา ทำให้คนอื่นวุ่นวายกันไปหมด” มารดากระซิบถามแต่ยังคงวางหน้านิ่ง
“ขอโทษค่ะ หนูไปเข้าห้องน้ำมาค่ะ”
“ครั้งหน้าไปไหนก็ให้บอกก่อน รู้ไหมว่าพี่ตามหาไปทั่ว” สายตาของแม่มองไปที่พี่สาวที่เดินเข้ามานั่งข้าง
“กิ่งไปไหนมาพี่เดินหาตั้งนาน” เธอนั่งลงข้าง ๆ กับน้องสาว
“พอดีไปเข้าห้องน้ำมาค่ะ ขอโทษนะคะกิ่งคิดว่าพี่อยู่ในงานก็เลยเดินมาที่นี่” เธอยิ้มเล็กน้อย
“ทำไมผมหลุดลุ่ยแบบนี้ล่ะ ไปจัดทรงผมใหม่ดีไหม” ลิตาเอ่ยอย่างเป็นห่วงก่อนที่ทั้งสองจะเดินเข้ามาทำธุระในห้องน้ำ “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ แค่เหนื่อยค่ะ” เธอยกเรื่องที่ตนเองเดินทางไกลขึ้นมาอ้าง เพราะสีหน้าตอนนี้ของเธอนั้นดูเหนื่อยล้าไม่ต่างจากสิ่งที่กล่าวออกไป
“อดทนหน่อยนะ อีกเดี๋ยวก็จะได้กลับแล้ว พี่จะบอกแม่ให้”
“ค่ะ พี่เองก็เหนื่อยไม่ใช่เหรอคะ” สีหน้าของลิตาไม่ได้ต่างจากเธอสักนิด แต่ก็ยังยิ้มแย้มเหมือนมีพลังงานเหลือล้นให้ได้ไปต่อจนหมดวัน
“พี่ชินแล้ว พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายเลย” เป็นอย่างที่เธอว่า พอหัวถึงหมอนก็หลับสนิทไม่มีเรื่องใดให้ต้องขบคิดให้หนักอกหนักใจ เพราะทุกเรื่องล้วนมีพ่อกับแม่คอยปูทางให้เดินแล้ว
เมื่อทำธุระเสร็จแล้วทั้งสองจึงได้เดินออกมาจากห้องน้ำ ทันใดนั้นมาวินที่ยืนรอกิ่งฟ้าอยู่ก่อนแล้วขอตัวเธอไปพูดคุยกันสักครู่ลิตาจึงได้เดินกลับเข้างานเพียงลำพัง
“สวัสดีครับ ผมขอแนะนำตัวเองอีกครั้ง ผมมาวิน หรือจะเรียกว่าวินสั้น ๆ ก็ได้นะครับ”
“ฉันกิ่งฟ้าค่ะ เรียกกิ่งสั้น ๆ ก็ได้ค่ะ” เธอนั่งลงที่เก้าอี้ข้างสระว่ายน้ำ “มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ได้ยินว่าคุณพึ่งเดินทางกลับไทยวันนี้ เรื่องการหมั้นหมายหากคุณไม่ว่าอะไรเรามาลองคบหาดูใจกันก่อนดีไหมครับ” มาวินไม่ได้รังเกียจหญิงสาวตรงหน้า ด้วยรูปร่างหน้าตาและการศึกษาฐานะล้วนแล้วแต่เพียบพร้อมทั้งหมด
“ค่ะ” เธอตอบรับสั้น ๆ จ้องมองดูใบหน้าหล่อเหลาของมาวินและนึกชมอยู่ในใจ
“ที่จริงผมมีคนคุยอยู่แล้วนะครับ แต่ยังไม่ได้คบกัน ผมขอเวลาหน่อยนะครับคุณคงไม่ว่าอะไร” เขาเป็นคนตรงไปตรงมา และอยากให้กิ่งฟ้าได้รู้ว่าเขานั้นยังมีหญิงสาวอีกคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่
“ค่ะ” เธอตอบรับถึงแม้จะนึกเคืองอยู่ในใจ ถ้าหากว่ามีคนที่คุยกันอยู่แล้วจะมาขอเธอคบหาด้วยทำไม
“อย่าเข้าใจผิดนะครับ ที่ผมบอกเพราะผมเองก็อยากเปิดโอกาสให้ทุกคน แต่ถ้าผมได้เอ่ยปากว่าจะคบหากับคุณแล้ว ผมแค่ขอเวลาเคลียร์กับคนที่คุยอยู่ตอนนี้ก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
“คุณพูดน้อยจัง มีอะไรคุยได้เลยนะผมไม่ว่าหรอก หากคุณมีคนที่กำลังคุยอยู่ก็ไม่ว่ากัน” เขายิ้ม มาวินทำตัวตามสบายยกเครื่องดื่มที่ถือติดมือมาด้วยจรดริมฝีปาก
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวนะคะ”
“เดี๋ยวก่อนครับ ก่อนที่เราจะหมั้นกัน ผมจะคลีนตัวเองให้เรียบร้อยไม่ต้องห่วงนะครับ ผมลูกผู้ชายพอ” ชายหนุ่มยิ้มอีกครั้งหญิงสาวส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อยเช่นเดียวกัน
เธอรู้สึกชอบนิสัยของมาวินถึงเขาจะดูเหมือนผู้ชายเพลย์บอยไม่ต่างจากมาธัสนัก แต่ทำไมคำพูดของเขาถึงทำให้เธอสามารถเชื่อถือได้
“กลับกันเถอะ” ลิตาที่ยืนรอน้องสาวอยู่เอ่ยขึ้น “ไปรอที่รถกันเถอะ พ่อกับแม่กำลังไปลาคนอื่น ๆ อยู่นะ”
“ค่ะ” กิ่งฟ้าเดินเข้ามาสวมกอดแขนของลิตาแล้วเอาศีรษะซบที่ไหล พี่สาวตัวสูงกว่าเธอเล็กน้อย
“ทำไมตอนนี้ถึงได้อ้อนพี่ละ มีอะไรหรือเปล่า ทุกอย่างราบรื่นดีไหมเขาไม่ได้พูดอะไรไม่ดีกับกิ่งใช่ไหม”
“ไม่มีค่ะ” เธอเงยหน้ามายิ้มกับพี่สาว
“คุณมาธัส” ลิตาเอ่ยทักขึ้นเมื่อมองเห็นชายหนุ่มที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี ในฐานะที่เป็นนักธุรกิจอายุน้อยที่ประสบความสำเร็จมีใครบ้างที่จะไม่รู้จักผู้ชายคนนี้
แต่เขาต่างออกไปจากทุกครั้งที่ได้เจอกัน ชุดสูทที่ว่าสวมแล้วหล่อเหลามาวันนี้กลับหล่อมากกว่าเพียงแค่สวมใส่เสื้อเชิ้ตธรรมดากับกางเกงยีนเพียงเท่านั้น
“คุณลิตาจะกลับแล้วเหรอครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ สายตาจ้องมองไปทางกิ่งฟ้าแล้วยกยิ้มมุมปาก
“ค่ะ คุณมาธัสก็กำลังจะกลับเหมือนกันเหรอคะ”
“ครับ เอาไว้พบกันนะครับ” เขาพูดทิ้งท้ายเอาไว้เพียงเท่านั้น แล้วเดินตรงไปยังรถสปอร์ตสุดหรูที่จอดนิ่ง
“พี่รู้จักเขาด้วยเหรอคะ” กิ่งฟ้าเอ่ยถาม เธอจ้องมองท้ายรถยนต์ที่ขับออกไปจากคฤหาสน์
“รู้จักสิใครบ้างจะไม่รู้จัก คนที่หล่อแบบนั้นทั้งยังทำงานเก่งมากด้วยในสายธุรกิจผู้ชายคนนี้ถือว่าน่ากลัวมากนะ ชื่อเสียงความเก่งและความเด็ดขาดเขาเป็นที่หนึ่งเลยล่ะ”
“เด็ดขาดเหรอคะ?” ความสงสัยของเธอไม่หมดเพียงเท่านั้น ดูยังไงมาธัสก็ไม่น่าจะมีนิสัยแบบที่พี่สาวของเธอพูด เท่าที่ได้รู้จักกับเขาเมื่อก่อนแล้วมันช่างห่างชั้นกับความเป็นจริงที่ได้รู้ในตอนนี้
“ใช่เขาเป็นคนที่เด็ดขาด ไปสายแค่วินาทีเดียวเขาก็ไม่เซ็นสัญญาด้วยแล้ว เพื่อนพี่เจอมากับตัวเลยนะ” ลิตายังคงเล่าเรื่องของมาธัสให้เธอฟังอีกหลายเรื่อง “มีอะไรสนใจคุณมาธัสเหรอ”
“เปล่าค่ะ” เธอรีบปฏิเสธทันที ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของเธอในอดีต
“ถ้าพี่ไม่หมั้นก่อน พี่ว่าคงได้แต่งกับเขาแน่เลย” ลิตายิ้มอย่างอารมณ์ดี “ได้สามีหล่อก็ดีนะ เป็นอาหารตา”
“พี่พูดแบบนี้เป็นด้วยเหรอคะ ปกติก็เห็นแต่ฟังคำสั่งแม่ คู่หมั้นของพี่ก็หล่อดีออกเป็นลูกครึ่งด้วย” เธอไม่เคยเห็นว่าที่พี่เขยตัวเป็น ๆ สักครั้ง เห็นแค่รูปภาพที่พี่สาวส่งมาให้ดูเพียงเท่านั้น
“ก็หล่อแต่พี่ชอบหล่อแบบไทย ๆ มากกว่า” ใบหน้าของเธอก็ยังคงยิ้ม มาธัสเป็นผู้ชายที่สาว ๆ หลายคนต่างใฝ่ฝันถึงแม้จะมีข่าวเรื่องหญิงสาวออกมาบ่อยครั้ง
“พี่คะ” กิ่งฟ้าขานเรียกคนนั่งอยู่ด้านข้าง “พี่คิดว่า...งานหมั้นของหนูจะยกเลิกได้ไหมคะ”
“ไม่รู้สิ กิ่งลองคุยกับแม่อีกทีดีไหม เดี๋ยวพี่จะช่วยคุยให้อีกแรง” ถึงจะมองไม่เห็นทางแต่ก็อยากให้น้องได้ลองทำตามใจสักครั้ง
“กิ่งกลัวแม่จะดุค่ะ” หากเลี่ยงได้เธอก็อยากจะเลี่ยง ไม่อยากปะทะอารมณ์กับมารดาเพราะยังไงเสียสุดท้ายแล้วคำตอบก็มีอยู่ในใจ
“มนุษย์แม่น่ากลัวสินะ” เธอหัวเราะขำก่อนที่คนเป็นแม่และพ่อจะขึ้นมานั่งบนรถ
“ออกรถ” เสียงของวิณีดังขึ้น “มาถึงเมื่อไหร่”
“ตอนบ่ายโมงค่ะ” กิ่งฟ้าตอบคำถามคนเป็นแม่ “พรุ่งนี้หนูมีไปงานจัดแสดงนะคะ”
“ไร้สาระ รับปากแม่แล้วไม่ใช่เหรอ ว่ากลับมาแล้วจะตั้งใจศึกษางานกับพี่”
“ค่ะ แต่หนูขอแค่ครั้งนี้ได้ไหมคะ พอดีอาจารย์ที่โรงเรียนเก่าท่านอยากให้กิ่งไปร่วมเป็นกรรมการตัดสินการแข่งขันนะคะ หนูรับปากท่านไปแล้วด้วยนะคะ”
“ดีนิ ทำอะไรไม่เคยบอก ตามใจเถอะ” มารดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจหันมองไปทางสามีที่กำลังก้มหน้าก้มตาดูงานในไอแพด
“คุณก็อย่าว่าให้ลูกนักเลย แค่ไปเป็นกรรมการตัดสินไม่เห็นจะเป็นอะไร ส่วนเรื่องงานก็คุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ ลูกกลับมาบ้านแล้วคุณก็ควรสบายใจได้แล้วนะ” ปรีชาเอ่ยให้ภรรยาใจเย็นลง
“ใช่ค่ะคุณแม่ ยังไงน้องก็จะมาทำงานกับหนูอยู่แล้ว เดี๋ยวหนูจะสอนงานให้น้องเองไม่ต้องห่วงนะคะ”
“เข้าข้างกันเข้าไป โอ๋แบบนี้ไงถึงเป็นแบบนี้ ถ้าฟังคำที่แม่พูดหน่อยน้องของลูกจะเรียนสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับครอบครัวเราแบบนี้เหรอ ศิลปะบ้าบออะไรเรียนแล้วมาช่วยงานที่บ้านได้ไหม” วิณียังคงพูดสิ่งเดิมซ้ำ ๆ
“ที่บริษัทงานออกแบบก็มีนะคะ หนูคิดว่าน้องสามารถช่วยงานได้สบาย ๆ เลยค่ะ ที่เรียนมาก็ไม่ได้เสียเปล่านะคะ” ลิตาออกปากช่วยน้องอีกครั้ง
“ทุกวันนี้ลูกชอบเถียงแม่นะ” คำพูดสั้น ๆ ของมารดาทำให้บุตรสาวคนโตเงียบเสียง ส่วนบุตรสาวคนสุดท้องเองก็เงียบไม่ต่างกัน บรรยากาศภายในรถตอนนี้ก็เงียบจนน่าอึดอัด
ครอบครัวของเธอทำสื่อโฆษณา ในตอนนี้คนที่นั่งบริหารก็คือปรีชาและวิณี มีลูกสาวอย่างลิตาที่กำลังเรียนรู้งานเพื่อขึ้นเป็นผู้บริหารในภายภาคหน้า
รุ่งเช้ากิ่งฟ้ารีบอาบน้ำแต่งตัวออกเดินทางไปยังสถานที่จัดแสดงภาพศิลป์ เธอเรียกแท็กซี่ในการเดินทางเพราะยังไม่คุ้นชินกับเส้นทางในเมืองไทย ทั้งยังไม่เคยขับรถยนต์มาก่อน
“กิ่งมาแล้วเหรอ” อาจารย์ศิลปะเอ่ยทักทายเมื่อมองเห็นศิษย์รักที่ห่างหายกันนานหลายปี แต่ใครจะรู้ว่ากิ่งฟ้านั้นมีชื่อเสียงไม่น้อยในฐานะจิตรกรคนหนึ่ง
“สวัสดีค่ะ หนูมาช้าหรือเปล่าคะ” เธอเดินเข้ามาสวมกอดอาจารย์สาวที่อายุเข้าเลขสี่แล้วแต่ก็ยังดูสาว
“ไม่สายเลย งานไม่เริ่มด้วยซ้ำเดินทางเหนื่อยไหม ครูขอโทษนะที่เชิญกิ่งกะทันหันแบบนี้”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ กิ่งเต็มใจอีกอย่างศิลปะเป็นสิ่งที่กิ่งรักนะคะ วันนี้กิ่งดีใจด้วยซ้ำที่ครูเชิญกิ่งมาร่วมงานด้วย” เธอถูกเชิญเข้ามานั่งในห้องรับรองแขก
“ไม่ได้ออกงานวาดอีกเหรอ ครูอดไม่ได้ที่จะได้เห็นงานวาดของกิ่ง” คนที่ติดตามผลงานของเธอนั้นมีมาก แต่ไม่มีสักคนที่จะรู้จักตัวจริงของนักวาดเงาเช่นเธอ
“ตอนนี้ไม่มีเวลาเลยค่ะ อีกอย่างกิ่งกำลังจะเข้าไปทำงานที่บริษัทค่ะ คงต้องหาเวลาว่างจริง ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะออกงานได้หรือเปล่า” เมื่อรับปากคนเป็นแม่แล้ว ว่าจะเข้าไปทำงานที่บริษัทกับพี่สาว
“ศิลปะมันอยู่ในสายเลือด เชื่อครูสิยังไงกิ่งก็ทิ้งความชอบของตัวเองไม่ได้หรอก ครูอยากให้กิ่งเลือกในสิ่งที่ตัวเองชอบนะ บางทีครูก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ของกิ่งถึงได้คัดค้านขนาดนั้น”
“ท่านคงหวังดีนะคะ กิ่งเข้าใจค่ะว่าอาชีพนี้มันไม่ได้มั่นคงหรือสร้างรายได้มหาศาลสำหรับนักวาดหน้าใหม่แบบกิ่ง”
“ใครบอก กิ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากนะ ทำไมไม่ลองเอาตัวเลขที่ประมูลภาพได้ไปโชว์แม่ของกิ่งดูบ้างล่ะ ยังมีคนที่อยากเสพงานของกิ่งตั้งหลายคนเลยนะ ครูด้วย”
“เงินแค่นั้นสำหรับแม่แล้วคงเป็นแค่เศษเงินค่ะ” เธอพูดเสียงเบาแล้วก้มหน้ามองมือของตัวเอง มือคู่นี้คอยจับแต่ดินสอวาดรูปพอจะตัดใจทิ้งสิ่งที่ตัวเองสร้างมาแล้วก็ตัดใจไม่ลงเช่นกัน
“เอาเถอะยังไงก็ขอให้กิ่งคิดให้ดีนะมีความสุขกับสิ่งที่กิ่งเลือกแล้วกัน รอครูอยู่ข้างในหรือจะออกไปเดินดูภาพรอก็ได้นะ”
“ค่ะ” กิ่งฟ้าตัดสินใจเดินออกมาดูงานจัดนิทรรศการด้านใน ภาพที่แขวนเอาไว้ตามผนังล้วนแล้วแต่แฝงความหมาย
“สงสัยมันคือพรหมลิขิต” น้ำเสียงของชายหนุ่มดังขึ้น ทำให้หญิงสาวที่กำลังมองภาพอยู่หันมอง ดวงตากลมโตเบิกกว้างไม่คิดว่าจะได้มาเจอคนที่ไม่อยากเจอที่นี่
“.....” เธอตัดสินใจเดินหนีกลับมาที่ห้องรับรองแขกที่แยกเป็นส่วนตัว มาธัสเดินตามหลังมาเมื่อเข้ามาในห้องได้แล้วเขาไม่รอช้าที่จะลงกลอนประตูห้องรับรองในทันที
“นั่งสิ” เขาใช้สายตาให้เธอนั่งลงที่โซฟา “หรือจะนั่งตรงนี้ก็ได้นะ” มือหนาตบลงมาที่หน้าตักของตัวเอง
“เชิญคุณตามสบายเลยค่ะ” เธอกำลังสาวเท้าเดินออกจากห้องไม่อยากจะใช้อากาศหายใจร่วมกับเขาเสียด้วยซ้ำ แต่กลับถูกมาธัสเดินเข้ามาขวางทางเอาไว้ก่อน
“คุยกันก่อน” เขาเอาหลังพิงประตูห้อง “ตอนนี้หน้าห้องมีคนของพี่เฝ้าอยู่ ต่อให้เธอมีปีกก็บินหนีไม่ได้หรอก”
“เขาไม่ได้เรียกว่าพรหมลิขิตหรอก มันคงเป็นเวรกรรมของฉันมากกว่า มีอะไรก็รีบ ๆ พูดมา”
“ใจร้อนจังนะ” มาธัสยกยิ้มมุมปาก ใช้สายตากวาดมองร่างกายอรชรที่สวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่สมกับใบหน้าของเธอ “กิ่งคนเดิมมันตายไปแล้วเหรอ”
“......”
“ถามทำไมไม่ตอบเป็นใบ้หรือไง พี่กำลังถามอยู่ได้ยินหรือเปล่า” มาธัสเดินเข้ามาใช้มือทั้งสองข้างจับที่หัวไหล่เขย่าให้เธอตอบคำถามของตัวเอง
“ปล่อยนะฉันเจ็บ!” เธอร้องออกมาเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงบีบที่หัวไหล่ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ตอบคำถามพี่มาสิ กิ่งคนเดิมมันตายไปแล้วหรือไง หรือที่ทำแบบนี้เพราะอยากแกล้งพี่กันแน่”
“คุณต้องการอะไรจากฉัน ตอนนี้ฉันจะเป็นยังไงก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับคุณ เราเป็นอะไรกันเหรอ?” เธอยกยิ้มมุมปาก ภาพวันเก่า ๆ มันกำลังย้อนเข้ามาในความคิดตอกย้ำบาดแผลลึกให้กับตัวเอง
“อย่ามาดื้อกับพี่นะกิ่ง เธอก็รู้ว่าเธอเป็นเมียพี่ พี่เป็นผู้ชายคนแรกของกิ่ง”
“แล้วยังไงคะ คิดว่าฉันจะมีแค่คุณคนเดียวหรือไง นี่ผ่านมากี่ปีแล้ว...ขอบคุณนะคะที่สอนประสบการณ์ให้ ฉันนำประสบการณ์ไปใช้อย่างชำนาญเลยล่ะ” หญิงสาวยกยิ้มมุมปากจ้องตากับเขา ไหล่ทั้งสองข้างยังคงถูกเขาบีบจนเจ็บปวด
“รู้ไหมเด็กดื้อต้องโดนอะไร อย่ามาโทษพี่นะกิ่ง เพราะกิ่งดื้อกับพี่ก่อนเอง”