ตอนที่ 7 ปะทะคารมตั้งแต่แรกเจอ
ร่างนุ่มนิ่มกับกลิ่นกายที่หอมอ่อนๆ เมื่อครู่ทำให้จิตใจของเขาตื่นตัว นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกร้อนวาบไปทั่วร่างหลังจากที่เขาปิดกั้นหัวใจของตัวเองเอาไว้ ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อนั้นน่าสัมผัสและลิ้มลองยิ่งนัก
“คราวหลังหัดระวังบ้างเพราะที่นี่ไม่ใช่ประเทศที่จะให้คุณมาเดินแบบเล่น”
ปาริชาติขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจเมื่อได้ยินต่อว่าจากริมฝีปากได้รูปคู่นั้น “ดิฉันก็ไม่ได้มาเดินแบบ แต่มาตามหาคน ถ้าฉันทำให้คุณเจ็บก็ต้องขอโทษด้วย”
“คุณนั่นแหล่ะที่จะต้องเจ็บ ว่าแต่คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า จะเรียกค่าทำขวัญไหม?” คำถามที่เหมือนกับคำสบประมาทของชายหนุ่มทำให้อารมณ์ที่หงุดหงิดของปาริชาติพุ่งสูงขึ้น
“นี่คุณ ฉันไม่ใช่พวกเห็นแก่เงินอย่างที่คุณคิดนะ แล้วก็อย่าคิดว่าเงินของคุณมันจะมีค่าสำหรับฉัน ฉันไม่ใช่ขอทาน แล้วฉันก็ไม่คิดเลยว่าคนที่นี่เขาจะต้อนรับแขกต่างชาติกันด้วยคำพูดดูถูกแบบนี้ เก็บเงินของคุณเอาไว้ซื้อน้ำยาล้างปากของคุณเถอะ” พูดจบหญิงสาวก็สะบัดหน้าจะเดินเลี่ยงไป แต่ทว่ามือหนาแกร่งข้างเดิมก็ดึงข้อมือของเธอเอาไว้
“นี่คุณ! ปล่อย!” ปาริชาติมองหน้าเขาแล้วก้มลงมองข้อมือของตนเอง
“ผมจะขอเตือนคุณเอาไว้ก่อนนะว่าที่นี่ ผู้หญิงเขาไม่เดินทางมาคนเดียวหรอกเพราะมันอันตรายมาก คุณไม่ศึกษาวัฒนธรรมและประเพณีของประเทศที่คุณจะเดินทางมาบ้างเลยหรือยังไง” ราห์ฟาสบอกอย่างตำหนิแล้วปล่อยข้อมือของอีกฝ่ายเป็นอิสระ
“เปล่า เพราะดิฉันรีบเดินทางมา แต่ก็ขอบคุณที่เตือนฉันจะจำเอาไว้” หญิงสาวบอกอย่างไม่สนใจ และท่าทางที่อวดดีของเธอนี้เองที่ทำให้ชี้คหนุ่มต้องกระตุกยิ้มที่มุมปาก
“อวดดีใช้ได้ แต่ระวังความอวดดีของคุณมันจะทำร้ายตัวคุณเอง ถ้าจะมาหาคนรักก็น่าจะให้เขามารับคุณที่นี่มันจะปลอดภัยกว่า”
“จะให้ฉันขอบคุณในคำเตือนของคุณหรือเปล่า” ปาริชาติกอดอกอย่างไม่พอใจ
“ไม่จำเป็น ผมเตือนในฐานะเจ้าบ้าน แล้วรูปร่างหน้าตาอย่างคุณแบบเนี่ย เป็นที่โปรดปรานของพวกมันนักล่ะ” ราห์ฟาสกระตุกยิ้มพร้อมกับมองกวาดไปยังร่างบางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เล่นเอาปาริชาติถึงกับร้อนวูบไปทั่งตัว ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันอย่างไม่พอใจที่อีกฝ่ายมองอย่างล่วงล้ำ
“ไม่มีมารยาท ไม่มีใครสอนหรือไงว่าไม่ควรมองสุภาพสตรีแบบนี้” เธอแหวใส่อีกฝ่าย ทำเอาชายหนุ่มหน้าตึงอย่างทันควัน
“นี่คุณ! เป็นผู้หญิงควรทำตัวให้เรียบร้อยน่ารักกว่านี้หน่อย ไม่ควรจะพูดจากล้าหาญแบบนี้กับผู้ชายแปลกหน้า ไม่งั้นคุณจะไม่ได้กลับไปบ้านเกิดของตัวเองอีกเลย”
“เหรอค่ะ” หญิงสาวยักไหล่เหมือนกับไม่สนใจ “ฉันเป็นแบบนี้ของฉันมาตั้งแต่จำความได้แล้ว ใครจะพอใจหรือไม่พอใจฉันไม่สน ฉันถือว่าไม่ได้ไปขอใครกิน แล้วบ้านเมืองทุกที่ก็ย่อมมีกฎหมายคงไม่ปล่อยให้คนเลวทำอะไรคนดีได้หรอก”
“คุณพูดเหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนดี” น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูจะเยาะเย้ยอีกฝ่ายมากกว่า
“อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน”
“แล้วที่ชนผมล่ะ คุณจะถือว่ามันเป็นอะไร” ราห์ฟาสย้อนถามและเริ่มสนุกที่จะต่อปากต่อคำกับหญิงสาวชาวต่างชาติคนนี้
“มันเป็นอุบัติเหตุ แล้วฉันก็ขอโทษแล้วด้วยตามมารยาทของคนดี”
“ฮึ ฮึ ผมเพิ่งเคยเจอผู้หญิงที่กล้า บ้าบิ่นแบบคุณเป็นครั้งแรก ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกของที่นี่” ราห์ฟาสหัวเราะในลำคอแล้วยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง
“ฉันไม่ได้บ้าบิ่น ถ้าฉันบ้าล่ะก็ หน้าของคุณคงโดนฝ่ามือของฉันไปแล้วตั้งแต่คุณพูดดูถูกฉัน ผู้ชายอะไรไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเอาเสียเลย ดูถูกผู้หญิง ฉันไม่รู้หรอกนะว่าผู้หญิงที่ประเทศของคุณจะเป็นแบบไหน แต่คนอย่างฉันไม่เคยให้ใครมาดูถูกง่ายๆ”
“ฮึ ฮึ ฮึ” ชายหนุ่มหัวเราะอีกครั้ง
“หัวเราะอะไรไม่ทราบ” ปาริชาติมองจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง เธอไม่ใช่ตัวตลกที่ใครจะมายืนหัวเราะ
“ขำท่าทางของคุณ คุณไม่น่าจะเป็นผู้หญิง น่าจะเป็นผู้ชายมากกว่า”
คำพูดของเขาทำเอาใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำ แต่เมื่อมาคิดได้ว่ามาที่นี่เพื่ออะไร ปาริชาติจึงสูดหายใจเข้าแรงๆเพื่อระงับอารมณ์โกรธ เธอไม่ควรจะมายืนทะเลาะกับผู้ชายคนนี้ ไปตามหาเพื่อนรักของเธอจะมีค่ามากกว่า
“คุณอยากบ้ายืนขำก็ขำไป ฉันไม่มีเวลามาบ้ากับคุณ เวลาของฉันมีค่ามากกว่าจะมายืนสนทนากับผู้ชายบ้าๆอย่างคุณ ลาก่อน แล้วหวังว่าชาตินี้เราคงจะไม่ได้พบกันอีกนะคะ ฮึ” ปาริชาติมองค้อนพร้อมกับทำเสียงขึ้นจมูก แล้วรีบเดินเลี่ยงชายหนุ่มไป ตรงไปยังรถแท็กซี่ที่จอดอยู่ที่หน้าอาคารผู้โดยสาร
ราห์ฟาสถอดแว่นกันแดดออกแล้วหรี่ตามองตามหลังร่างบางนั้นไปก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปาก วันนี้จะถือว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของเขาดีที่ต้องมาเจอกับผู้หญิงปากกล้าคนนี้ แต่ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนประเทศไหนกันนะ ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วน่าจะมาจากทางทวีปเอเชีย แต่ไม่ว่าจะมาจากประเทศไหนผู้หญิงก็เป็นเหมือนกันหมดทุกคน เห็นแก่เงินและรักความสะดวกสบายมากกว่าสิ่งอื่นใด แววตาของชายหนุ่มแข็งกร้าวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเยาะบนใบหน้า
นาดาลเดินเข้ามาหานายหนุ่มเมื่อเสร็จจากการไปทำธุระให้กับนายหนุ่มเรียบร้อยแล้ว เขามองท่าทางของนายหนุ่มก่อนจะมองตามสายตาของเจ้านายหนุ่มไป
“นาย มีอะไรน่าสนใจยังงั้นเหรอ?”
คำถามจากลูกน้องดึงความสนใจของชี้คราห์ฟาสกลับมาอีกครั้ง
“เปล่า” ชี้คหนุ่มหันมาตอบและยกแว่นตากันแดดขึ้นมาสวมก่อนจะเดินนำหน้าลูกน้องคนสนิทไป คิ้วหนาของนาดาลขมวดเข้าหากัน เขาหันไปมองตามสายตาของชี้คหนุ่มเมื่อครู่แต่ก็ไม่พบอะไรที่ผิดสังเกต ลูกน้องหนุ่มจึงส่ายศีรษะก่อนเดินตามเจ้านายของตนไปจากจุดนั้นทันที
เสียงร้องเรียกผู้คนของเหล่าแท็กซี่รับจ้างทำให้ปาริชาติยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าไปหาคนขับแท็กซี่ที่ดูมีอายุ เพราะท่าทางที่ยิ้มเยือนส่งมาให้เธอนั้นน่าจะเป็นมิตรมากกว่าศัตรู
“คุณผู้หญิงต้องการจะไปไหนครับ” ภาษาอังกฤษที่เขาใช่แม้จะฟังดูขัดๆหูแต่ก็ยังพอจะฟังรู้เรื่องบ้าง
“ไปวังของเจ้าวาคิมค่ะ” คำตอบของหญิงสาวทำให้ชายสูงวัยผู้นั้นสะดุ้งแล้วหุบยิ้มลงเกือบจะทันที
“ที่นั้นเป็นวังนะครับไม่ใช่โรงแรมที่พัก” คนขับแท็กซี่ท้วงขึ้นเพราะคิดว่าหญิงสาวผู้นี้เข้าใจผิด
“ค่ะ ฉันทราบค่ะ แต่ฉันต้องการจะไปที่วังเจ้าชายวาคิมจริงๆค่ะ” หญิงสาวบอกย้ำอีกครั้ง
“ถ้างั้นคุณก็คงเป็นผู้หญิงของเจ้าชายน่ะสิครับ แล้วทำไมไม่ให้รถของวังมารับล่ะครับ” รอยยิ้มคลี่ออกอีกครั้งพร้อมกับท่าทางที่นอบน้อมขึ้น
ปาริชาตินิ่งไปพักหนึ่งกับสิ่งที่ชายสูงวัยตรงหน้าพูดออกมา ถ้าเธอยอมรับว่าเป็นผู้หญิงของเจ้าชายวาคิม หนทางเข้าไปสู่วังคงจะหายขึ้น ดูๆแล้วเจ้าชายองค์นี้น่าจะเป็นเสือผู้หญิงมากกว่าจะทำตัวเป็นเจ้าชาย
“แล้วถ้าใช่ คุณจะพาฉันไปที่วังหรือเปล่า ที่ฉันมาเงียบๆก็เพราะอยากจะทำให้เจ้าชายแปลกพระทัย แล้วคุณอย่าบอกใครนะว่าฉันมาหาเจ้าชายที่นี่ ฉันไม่ชอบนักข่าวหรือพวกปาปารัสซี่” ปาริชาติกระซิบบอกเขาเบาๆ แล้วคนขับแท็กซี่ก็พยักหน้ารับพร้อมกับอมยิ้มก่อนจะเดินไปเปิดประตูด้านหลังให้
“เชิญครับ ผมจะพาคุณไปส่งให้ถึงหน้าวังเลย”
“ดีค่ะ ขอบคุณมากนะคะ แล้วถ้ามีโอกาสฉันจะมีรางวัลให้” หญิงสาวยิ้มกว้างก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถแท็กซี่ คนขับรีบกุลีกุจอเข้ามาปิดประตูให้อย่างคล่องแคล่วก่อนจะรีบวิ่งอ้อมไปประจำหน้าที่คนขับแล้วพารถเคลื่อนออกจากหน้าอาคารที่พักผู้โดยสารมุ่งตรงไปยังวังหลวงของประเทศฟาริทอย่างชำนาญทาง
ปาริชาติยืนมองประตูเหล็กเนื้อดีสีเงินสลับกับสีทองที่ดัดเป็นลวดลายเอาไว้อย่างสวยงาม ก่อนจะกวาดสายตามองผ่านประตูนั่นเข้าไปด้านใน หญิงสาวสูดลมหายใจจนเต็มปอดเพื่อเรียกกำลังใจของตัวเองก่อนที่จะก้าวเท้าไปที่ทหารยามที่ยืนขนาบอยู่ทั้งสองด้าน
หญิงสาวเริ่มใจแป้วขึ้นมาบ้างเหมือนกัน เพราะที่นี่คือวังของกษัตริย์ไม่ใช่บ้านของคนธรรมดา ถ้าทำอะไรผิดพลาดไปมีหวังตายก่อนที่จะได้พบเพื่อนรักของเธอแน่ๆ คิดแล้วก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะคลี่ยิ้มหวานให้กับทหารยาม
“ขอโทษนะคะ” ปาริชาติเปิดฉากด้วยคำพูดที่สุภาพที่สุด ก่อนที่จะถามต่อ “ฉันอยากจะเข้าเฝ้าเจ้าชายวาคิม จะต้องทำอย่างไรบ้างคะ” พูดจบเธอก็คลี่ยิ้มให้อีก
ทหารยามทั้งสองหันมามองสบตากันก่อนที่อีกคนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆ “คุณต้องไปติดต่อกับทางสถานทูตของคุณก่อนนะครับ” เขาดูท่าทางและการแต่งกายแล้วผู้หญิงคนนี้คงไม่ใช่คนในประเทศของพวกเขา
“แต่ว่าฉันมีเรื่องด่วนจริงๆค่ะ รอนานขนาดนั้นไม่ได้ คุณสองคนช่วยไปทูลเจ้าชายจะได้ไหมคะ” หญิงสาวมองทั้งสองด้วยแววตาอ้อนวอน
“พวกผมเป็นแค่ทหารชั้นผู้น้อยไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไรได้หรอกครับ”
“ฉันมีความจำเป็นจริงๆนะคะ ช่วยไปบอกใครก็ได้ค่ะที่พอจะพาฉันเข้าเฝ้าเจ้าชายได้ หรือไม่ก็พาฉันเข้าไปพบคนคนนั้นก็ได้ค่ะ”
“ไม่ได้ครับ” ทหารยามบอกอย่างแข็งขัน
“แต่ฉันต้องเข้าเฝ้าเจ้าชายวาคิมให้ได้วันนี้นะคะ ช่วยหน่อยเถอะค่ะ”
“ผมบอกแล้วไงครับว่าไม่ได้ คุณไปที่สถานทูตแล้วทำตามขั้นตอนที่ผมบอกรับรองว่าคุณจะได้พบกับเจ้าชายแน่ๆ”
“ฉันไม่มีเวลาแล้ว ฉันต้องการพบเจ้าชายเดี๋ยวนี้เลย” หญิงสาวเริ่มโมโหเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมฟัง
“ผมให้คุณเข้าไปในวังไม่ได้จริงๆครับ ไม่งั้นพวกเราจะมีความผิดหรือไม่คุณเองก็อาจจะโดนจับในข้อหาก่อความไม่สงบในประเทศของเราได้นะครับ ผมขอเตือน” ทหารยามเตือนหญิงสาวด้วยความหวังดีเพราะคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้หญิงของเจ้าชายที่โดนทิ้งไปแล้วแต่ยังจะมาตามตื้อเจ้าชายหนุ่มอยู่