ตอนที่ 6 เพื่อนรักหายไป
ครู่ต่อมาก็มีพนักงานเดินเข้ามาหาเธอแล้วยกมือไหว้ก่อนจะยิ้มให้ ปาริชาติลุกขึ้นรับไหว้อีกฝ่ายอย่างงงๆ
“ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ให้รอเสียนาน ดิฉันเป็นผู้ช่วยผู้จัดการของแผนกประชาสัมพันธ์ของที่นี่ค่ะ”
“ค่ะ” ปาริชาติรับคำอย่างงุนงง เธอต้องการพบเพื่อนสาวของเธอไม่ใช่ผู้ช่วยผู้จัดการแผนก “คือว่าพนักงานของคุณคงเข้าใจผิดอะไรบ้างอย่างนะคะ คนที่ดิฉันต้องการพบคือสร้อยสะบันงาค่ะ หรือว่าเธอยังทำธุระไม่เสร็จ”
“เชิญนั่งก่อนนะคะ” ผู้ช่วยสาวยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างฝืนๆแล้วนั่งลง ปาริชาติจึงนั่งตาม แล้วมองอีกฝ่ายอย่างรอคำตอบ
“เจ้าสร้อยบอกเอาไว้แล้วค่ะว่าจะมีเพื่อนมาหา แต่ว่าตอนนี้เธอคงออกมารับคุณไม่ได้ เดี๋ยวทางเราจะให้รถของทางบริษัทไปส่งคุณที่บ้านเจ้าสร้อยนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวดิฉันนั่งรอจนกว่าสร้อยจะเสร็จงานก็ได้ค่ะ” ปาริชาติยิ้มกว้างให้หญิงสาวตรงหน้า
“ไม่ดีมั้งคะ เอ่อ...คือว่า งานของเจ้าสร้อยคงอีกนานค่ะกว่าจะเสร็จ” อีกฝ่ายตอบไม่เต็มเสียงนัก ทำให้ปาริชาติที่เป็นคนชอบจับผิดอยู่แล้วต้องขมวดคิ้วขึ้นมาอีกรอบ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ ดูท่าทางของคุณจะอึดอัดมาก หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนของดิฉัน” หญิงสาวถามได้ตรงประเด็นที่สุด และเล่นเอาผู้ช่วยสาวถึงกับสะดุ้ง
“ไม่มีอะไรค่ะ ไม่มีอะไรทั้งนั้น” น้ำเสียงที่ตอบออกมายิ่งทำให้ปาริชาติแน่ใจว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนรักของเธออย่างแน่นอน
“คุณจะให้ดิฉันเชื่ออย่างนั้นหรือคะ ทั้งๆที่คุณดูออกจะร้อนรนแบบนี้ บอกมาเถอะค่ะว่าเพื่อนของฉันติดธุระอะไรที่ไหน” ปาริชาติเริ่มไม่พอใจท่าทางของหญิงสาวตรงหน้าเสียแล้ว
“ติดธุระส่วนตัวค่ะ ไกลมาก ดิฉันคิดว่าคุณน่าจะไปรอเจ้าสร้อยที่บ้านจะดีกว่านะคะ” ผู้ช่วยสาวเสนอ
“ไม่ค่ะ ดิฉันต้องการรู้ว่าสร้อยสะบันงาอยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ” น้ำเสียงของเธอดังขึ้นเรื่อยๆด้วยความไม่พอใจ “บอกฉันมาทั้งหมดนะคะ ไม่งั้นฉันจะอาละวาดให้สนามบินนี้แตกไปเลย คุณเลือกเอาว่าต้องการจะเดือดร้อนหรือว่าจะบอกฉันดีๆ” ปาริชาติให้เวลาอีกฝ่ายคิด แววตาของเธอบ่งบอกว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นจะเกิดขึ้นจริงถ้าอีกฝ่ายไม่ยอม
“เฮ้อ...ก็ได้ค่ะ แต่ดิฉันขอบอกคุณเอาไว้ก่อนนะคะว่าถ้ารู้เรื่องแล้วจะไม่โวยวายอะไร” ผู้ช่วยสาวถอนใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อตัดสินใจแล้ว
“ฉันไม่รับปาก เพราะฉันไม่แน่ใจว่าเรื่องที่จะได้ฟังนั้นมันดีหรือร้าย” สีหน้าของเธอบึ้งตึงและมองจ้องเขม็งไปที่บุคคลตรงหน้า
“เมื่อเช้าเจ้าสร้อยมารอรับคุณที่นี่จริงค่ะ แต่ว่าทางเราใช้ให้เจ้าสร้อยไปช่วยต้อนรับเจ้าชายที่มาจากฟาริท แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าชายองค์นั้นถึงได้พาเจ้าสร้อยขึ้นเครื่องบินส่วนพระองค์ไปด้วย ตอนนี้ทางเรากำลังติดต่อกับทางฟาริทอยู่ค่ะ คุณใจเย็นๆนะคะทางเราก็เป็นห่วงเจ้าสร้อยเหมือนกับคุณเช่นกันค่ะ”
“บ้า! บ้าไปแล้วแน่ๆ เกิดเรื่องขนาดนี้แต่คุณไม่คิดจะบอกฉัน พวกคุณทำงานกันยังไง แล้วทำไมปล่อยให้เพื่อนของฉันถูกเจ้าชายอะไรนั่นพาไปได้ล่ะ ทำไมไม่ช่วยเธอออกมา” ปาริชาติตะโกนออกมาอย่างโมโหพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“ใจเย็นๆค่ะ” ผู้ช่วยสาวดึงมือหญิงสาวให้นั่งลงพร้อมกับหันไปยิ้มให้กับผู้คนที่เดินผ่านไปมาก่อนจะหันมาทางหญิงสาว “ทางฝ่ายโน่นเป็นถึงเชื่อพระวงศ์นะคะ เราทำอะไรรุนแรงแบบที่คุณพูดไม่ได้หรอกค่ะ มันจะเกิดผลเสียต่อประเทศชาตินะคะ”
“แล้วปล่อยไปแบบนั้นเพื่อนของฉันไม่เสียหายหรือไง เจ้าชายองค์นั้นชื่ออะไร?” เธอถามเสียงแข็งแล้วสะบัดมือออก
“คุณจะถามทำไมคะ” อีกฝ่ายย้อนถามกลับ
“ถามเอาไปขึ้นหิ้งบูชามั้ง เพื่อนฉันถูกเขาพาตัวไปนะถามอะไรโง่ๆ”
คนถูกต่อว่าถึงกับหน้าเสียแต่ก็ยังฝืนยิ้มให้ตามที่ได้ถูกฝึกมาให้ยิ้มรับไม่ว่าผู้มารับบริการจะมีอารมณ์แบบไหน “เจ้าชายวาคิมค่ะ” ชื่อที่ถูกขานถึงทำให้หญิงสาวนึกไปถึงเครื่องบินลำสีดำที่จอดขวางทางเครื่องบินที่เธอโดยสารมา
‘ต้องใช่แน่ๆ ต้องเป็นคนคนเดียวกันแน่ๆ ถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์แล้วคิดจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ ขืนเธอปล่อยให้เป็นแบบนี้มีหวังเพื่อนเธอคงกลายเป็นอาหารจานโตของเจ้าชายองค์นี้แน่ ไม่ต้องกลัวนะเพื่อน ฉันกำลังจะไปช่วยเธอ’ ปาริชาติลอบคิดในใจแล้วหมุนตัวเดินออกมา
“เดี๋ยวค่ะ คุณจะไปไหนคะ” เสียงผู้ช่วยสาวตะโกนถามตามหลังมา แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจเสียงนั้นเลยกลับเดินหายไปกับกลุ่มคนที่เดินกันกวักไขว่อยู่ทั่วอาคารสนามบิน
“เป็นไงบ้างพี่” ลูกน้องสาว 2 คน ที่ยืนลุ้นอยู่ที่หลังเคาเตอร์วิ่งเข้ามาถามหัวหน้าของตนเองเมื่อเห็นว่าลูกค้าสาวเดินไปแล้ว
“จะเป็นไงล่ะ พวกเธอไม่ได้ยินหรือไง ตะโกนดังลั่นขนาดนั้น” ผู้เป็นหัวหน้าหันมามองหน้าลูกน้องสาวด้วยสายตาดุๆ
“ถามนิดเดียวเอง แล้วนั่นเขาจะไปไหนของเขาคะ” ลูกน้องสาวทำหน้าง้อก่อนจะถามต่อ
“ไม่รู้ ถ้าเธออยากรู้ก็ตามไปถามเอาเอง” ผู้ช่วยผู้จัดการหันมาตะคอกใส่ลูกน้องสาวอีกครั้งแล้วสะบัดหน้าเดินกลับเข้าห้องทำงานของตนเองตามเดิม พนักงานสาวมองหน้ากันแล้วก็ยักไหล่ก่อนจะเดินไปนั่งประจำที่ของตนเองต่อ
ริมฝีปากบางของปาริชาติเม้มเข้าหากันแล้วแหงนเงยขึ้นมองรายชื่อของประเทศพร้อมกับสายการบินที่ขึ้นอยู่ที่ป้ายชื่อขนาดใหญ่ภายในอาคารผู้โดยสาร ดวงตากลมโตหรี่ลงเมื่อเห็นชื่อของประเทศที่ต้องการ ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกเล็กน้อยแล้วกำหนังสือเดินทางในมือแน่นก่อนจะก้าวเท้าออกไปตามทางผู้โดยสารขาเข้า
‘รอก่อนนะเพื่อน ฉันจะไปช่วยเธอเดี๋ยวนี้’ ดวงตาคู่สวยบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นที่ตั้งใจเอาไว้ เธอไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ สร้อยสะบันงาเป็นคนสวย เรียกได้ว่าสวยมากทีเดียว ผู้ชายคนไหนเห็นก็ต้องหลงรัก แล้วเจ้าชายพระองค์นั้นคงจะต้องตาต้องใจเพื่อนรักของเธอจนถึงขั้นพาตัวเอาไปดื้อๆแบบนี้ ‘ค่อยดูนะถ้าไปถึงฟาริทเมื่อไร ล่ะก็ เจ้าชายก็เจ้าชายเถอะจะเล่นงานไม่ไว้หน้าเลย บังอาจมาฉุดเพื่อนรักของเราได้’ ปาริชาติคิดอย่างแค้นใจ แต่ตอนนี้เธอได้แต่นึกภาวนาในใจให้เพื่อนสาวของเธอปลอดภัยจากเจ้าชายพระองค์นี้ด้วยเถอะ
แต่เที่ยวบินสำหรับเดินทางไปประเทศฟาริทนั้นจัดขึ้นตามตารางหากมิได้จัดขึ้นตามใจของปาริชาติเลย หญิงสาวนั้นออกอาการหงุดหงิดทันทีเมื่อรู้ว่ากว่าจะได้เดินทางตามเพื่อนไปนั้นต้องรอถึงเช้าวันพรุ่งนี้ทีเดียว แต่นั่นก็ทำให้ปาริชาติตัดสินใจเดินทางไปที่บ้านของสร้อยสะบันงาเพื่อบอกกล่าวเรื่องบางส่วนให้ฟังด้วยเกรงว่า คุณแม่ของเพื่อนสาวจะเป็นห่วงที่ลูกหายไปกระทันหันแบบนี้ ซึ่งก็จริงดังคาดเพราะแม่ของสร้อยสะบันงาออกจะตกใจอยู่มาก จนปาริชาติต้องโกหกว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องงานด้วยพวกผู้ใหญ่จึงคลายกังวลใจได้ และตกลงแล้วคืนนั้นเธอจึงค้างอยู่ที่บ้านของสร้อยสะบันงาและออกเดินทางมาสนามบินเพื่อขึ้นเครื่องไปประเทศฟาริทในตอนเช้า
สนามบินประเทศฟาริท
เสียงแอร์โฮสเตสสาวกล่าวขอบคุณผู้โดยสารอีกครั้งก่อนที่เครื่องจะจอดนิ่งสนิทอยู่บนลานเวย์ บันไดทางออกผู้โดยสารก็ถูกเลื่อนเข้ามาเทียบที่หน้าประตูเครื่องบินอย่างว่องไว ปาริชาติใจเต้นตุ่มๆต่อมๆ นี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ต้องเดินทางมายังต่างบ้านต่างเมืองเพียงคนเดียว
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วมองกวาดสายตาไปรอบๆอาคารผู้โดย สนามบินของที่นี่ดูสะอาดและเป็นระเบียบอย่างมาก เทคโนโลยีที่ทันสมัยก็มีอยู่เพียบพร้อม ‘ก็ไม่เลวเท่าไร เป็นประเทศที่ทันสมัยมากทีเดียว’ เธออดที่จะชื่นชมกับสิ่งที่เห็นไม่ได้ แต่แล้วก็ต้องผ่อนลมหายใจออกมา
“เฮ้อ...เอาไงดีเรา จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดีล่ะ แล้วจะไปถามใครเขาได้บ้างล่ะว่าวังเจ้าชายวาคิมอยู่ที่ไหน? แล้วคนประเทศนี้นิสัยเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ” ร่างเพรียวบางในชุดยีนทั้งชุดหันซ้ายหันขวามองหาตัวช่วย เผื่อจะเจอกับคนไทยที่นี่บ้างแต่สิ่งที่พบก็คือมีแต่ชาวต่างชาติและผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าชุดยาวคลุมเท้ากับผู้หญิงที่คลุมหน้าคลุมตาเดินกันเต็มไปหมด เท้าเล็กๆของเธอก้าวเดินออกไปข้างหน้าโดยที่สายตายังมองกวาดไปทั่วบริเวณ แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อชนเข้ากับอะไรบ้างอย่างที่ทั้งหนาและแข็ง
“โอ๊ย!”
ร่างบางของปาริชาติเซถอยหลังมา แต่มือแกร่งข้างหนึ่งก็รั้งรอบเอวของเธอเอาไว้ และมันก็กันไม่ให้ตัวเธอล้มลงไปนั่งกับพื้น หญิงสาวพยุงตัวเองให้ยืนก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือใหญ่ข้างนั้น รูปร่างที่สูงนั้นอยู่ในชุดสูทสากลสีดำ แต่มีผ้าสีขาวคลุมศีรษะเอาไว้แบบชาวอาหรับเรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมของสองเชื้อชาติ
“ขอบคุณค่ะ” เธอบอกเป็นภาษาอังกฤษแล้วคลี่ยิ้มให้กับเขา หญิงสาวไม่แน่ใจว่าดวงตาภายใต้แว่นสีดำนั้นจะมีปฏิกิริยายังไงบ้าง จะโกรธหรือว่าไม่โกรธเธอไม่มีทางรู้ได้เลย แล้วเมื่อยืนเทียบกันแบบนี้รูปร่างที่ว่าสูง 174 เซนติเมตรของปาริชาติดูเล็กลงไปทันที
“เอ่อ...ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่ทันได้ระวัง คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่าค่ะ” หญิงสาวถามออกไปอย่างคนมีมารยาทเพราะตัวเธอเป็นคนเดินชนเขา
“ไม่เป็นไร” ราห์ฟาสมองหญิงสาวตรงหน้าผ่านแว่นกันแดดสีดำ และเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงสาวต่างชาติน้ำเสียงของเขาจึงแข็งและห้วน แต่หญิงสาวต่างชาติคนนี้กลับทำให้หัวใจที่ด้านชาของเขากระตุกวูบขึ้นมา