ตอนที่ 5 ลักพาตัวจากไทย
พอฟังคำพูดแบบนั้นเจ้าชายหนุ่มก็เบียดตัวเอื้อมผ่านร่างอิ่มๆ ของสร้อยสะบันงาเพื่อดึงเข็มขัดเตรียมคาดให้เธอ
“ฉันคือเจ้าชายวาคิม และถ้าเธอไม่ยอมบอกชื่อ ฉันก็จะเรียกเธอว่าที่รักแบบนี้ตลอดไป”
ใบหน้านวลมองร่างกำยำพระพัตร์คมซึ่งเอื้อมผ่านเพื่อหยิบเข็มขัดพร้อมพยายามห้ามหัวใจที่เต้นแรงของตัวเอง “หม่อมฉันชื่อสร้อยสะบันงา”
“ยากจัง” ขณะนั้นเจ้าชายวาคิมก็รัดเข็มขัดให้หญิงสาวเรียบร้อยแล้ว พระองค์หันไปจัดการกับตัวเองก่อนบอก “รู้ไหม ฉันไม่เคยคาดเข็มขัดตอนขึ้นรันเวย์ให้ใครเลยนะ”
สร้อยสะบันงามองความไม่รู้ร้อนรู้สึกรู้สาของอีกฝ่ายอย่างกลัดกลุ้ม เธอพยายามให้เหตุผลกับพระดองค์อีกครั้ง
“เจ้าชายวาคิมคะ”
“ว่าไงที่รัก” พอตอบเสร็จเจ้าชายหนุ่มก็ทำตาโต “อ้อ! ไม่ใช่ มันเรียกยากเหมือนกันนะชื่อของเธอนี่”
ร่างบางซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่างถึงกับกัดริมฝีปากเธอเอื้อมมือปลดดอกสะบันงาที่ติดอยู่บนผมตัวเองและวางบนพระหัตถ์หนาก่อนบอกอีกครั้ง
“หม่อมฉันชื่อสร้อยสะบันงา และนี่ก็คือดอกสะบันงา เผื่อจะทำให้ความจำพระองค์ดีขึ้น”
“ดอกสะบันงา” เจ้าชายหนุ่มรำพึง พระองค์หยิบดอกไม้สีขาวขึ้นจรดพระนาสิก ก่อนหลับพระเนตรลงทำท่าชื่นชมกับความหอมอ่อนๆ นั้นอย่างจริงจัง “หอมจัง”
ถึงพระองค์จะชมดอกไม้แต่หญิงสาวก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตนเองต้องรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาด้วย แต่เสียงหวานๆ ก็พยายามเอื้อนเอ่ยเจรจาถึงแม้จะรู้สึกว่าเครื่องบินกำลังจะเหิรฟ้าแล้วก็ตาม
“เรามีเรื่องต้องคุยกันนะคะเจ้าชายวาคิม”
“ใช่ ฉันก็บอกเธอแบบนั้นนี่” ราชนิกูลตรัส “แต่รอให้ถึงฟาริทก่อนได้ไหม”
“ไม่ได้หรอกค่ะ”
“แต่ตอนนี้ฉันง่วงแล้ว”
“แต่เจ้าชายวาคิมคะ”
“หรือเราจะนอนคุยกันดี”
พระพักตร์คมที่หันกลับมาถามทำให้สร้อยสะบันงาใช้มือเรียวขึ้นจรดหน้าผากและมองออกไปนอกหน้าต่างทันที ‘ยัยปา เธอรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน มาช่วยฉันเร็วๆ เลยนะ ปาริชาติ’
เจ้าชายวาคิมอมยิ้มก่อนเอนตัวลงกับพนักพร้อมตรัสเบาๆ “ขอนอนเอาแรงก่อนนะที่รัก เอ๊ะ ไม่ใช่สิ สะบันงา” แต่ท้ายสุดพระองค์ก็ยังเรียกชื่อเธอไม่ถูกอยู่ดีนั่นแหละ หากราชนิกูลหนุ่มก็ไม่ได้ใส่พระทัยนัก เพราะที่จริงแล้วตอนที่พระองค์อยู่เมืองนอกนั้น ทรงแทบจะจำชื่อพวกนางแบบฝรั่ง นางเอกหนังแสนสวยที่นอนด้วยไม่ได้เลยสักคนด้วยซ้ำ ‘ชื่อนั้นสำคัญไฉน’ พระองค์หัวเราะหึๆ ในลำคอก่อนหลับดวงเนตรลงช้าๆ
ท้องฟ้าสีฟ้าสดที่ซึ่งสาดส่องแสงอาทิตย์ผ่านมากระทบกับผืนแผ่นดินแห่งฟาริทและทะเลทรายกว้างใหญ่นามนูดาร์อย่างเต็มที่ ความร้อนของอากาศยามบ่ายจัดแบบนี้จึงเพิ่มองศามากกว่าซีกโลกไหนๆ
และจะด้วยความเต็มใจหรือจะด้วยความจำยอมก็ตาม แต่ในที่สุดสร้อยสะบันงาในผ้าคลุมซึ่งเจ้าชายวาคิมจัดหามาให้ ก็ต้องพาตัวเองมายืนอยู่หน้าพระราชวังสวยงามกว้างขวางในเมืองฟาริทจนได้ เธอถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยหลังจากนึกกังวลใจไปอีกหลากหลายประการ ไหนจะเรื่องที่บ้าน เรื่องงาน และเพื่อนสาวของเธอ ตนเองหวั่นใจเหลือเกินว่าปาริชาติจะทำยังไงถ้ารู้ว่าเธอไม่ได้อยู่คอยที่เชียงใหม่เสียแล้ว
บัดนี้คิ้วเรียวของหญิงสาวจึงขมวดมุ่นและไม่ได้สนใจกับเสียงต่อว่าของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งดังขึ้นเลย
“เสด็จพี่วาคิมคะ” เจ้าหญิงฟารียารีบรุดออกมาจากพระราชวังโดยไม่ได้สนใจผู้หญิงซึ่งใช้ผ้าผืนสีขาวคลุมกายและยืนเยื้องๆ กับร่างกำยำแต่อย่างใด “พี่ไปไหนมาคะ น้องรออยู่ที่สนามบินตั้งนาน นี่เพิ่งจะมากลับมาถึงได้สักครู่เดียวเอง”
“แต่ฉันก็มาถึงแล้วนี่”
“แหม...” ราชนิกูลสาวทำเสียงกระเง้ากระงอด “แต่น้องอยากเป็นคนแรกที่เสด็จพี่เห็นหน้าตอนมาถึงฟาริทเสมอนี่คะ”
น้ำเสียงและถ้อยคำแบบนั้นกระมังจึงทำให้สร้อยสะบันงาออกจากภวังค์ตนเองได้ เธอขยับตัวออกจากเบื้องหลังราชนิกูลหนุ่ม ด้วยคิดว่าผู้หญิงคนนี้คงต้องเป็นคนรักของเจ้าชายวาคิมแน่ๆ สร้อยสะบันงาคิดไปถึงขั้นจะขอความช่วยเหลือเพื่อเดินทางกลับเมืองไทยเลยด้วยซ้ำ และการกระทำแบบนั้นก็ทำให้เจ้าหญิงฟารียาสังเกตเห็นหญิงสาวร่างบางในเสื้อคลุมของเจ้าชายสุดที่รักของตนเอง
“เอ๊ะ!”
หากเสียงนั่นก็ดังขึ้นพร้อมๆ กัน จากผู้หญิงทั้งสอง และก็ดังขึ้นอีกครั้งว่า
“สร้อยสะบันงา”
“เจ้าหญิงฟารียา”
เจ้าชายวาคิมจึงเลิกขนงขึ้นอย่างแปลกใจ “รู้จักกันด้วยหรือ?” ส่วนสร้อยสะบันงานั้นมีสีหน้าที่ดีขึ้นทันที เธอเริ่มเห็นความหวังเรืองรองที่ตนจะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเก่าขึ้นมา เนื่องจากเจ้าหญิงฟารียานั้นเคยเป็นคบหากับเธอและปาริชาติสมัยที่เรียนอยู่เมืองนอก หญิงสาวจึงพยักหน้าและยิ้มตอบเจ้าชายหนุ่มอย่างดีใจ รอยยิ้มกระจ่างใสนั้นทำให้เจ้าชายวาคิมถึงกับงงๆ ทว่าสิ่งนั้นก็เป็นสิ่งหนึ่งในตัวสร้อยสะบันงาที่พระองค์ชอบทอดพระเนตรอย่างไม่รู้เบื่อ
แต่เจ้าหญิงฟารียานั้นไม่มีสีหน้ายินดีตอบเพื่อนเก่าเลยสักนิด พระองค์มองตามสายพระเนตรของเจ้าชายซึ่งตนหลงรักแล้วต้องกัดริมฝีปากอย่างรู้นิสัยอีกฝ่ายทันที
“เสด็จพี่วาคิม!” เจ้าหญิงสาวส่งเสียงดัง “ทรงไปเก็บผู้หญิงคนนี้มาได้ยังไง แล้วพากลับมาที่ฟาริทด้วยได้ยังไง แล้วนี่!” เจ้าหญิงฟารียาก้าวไปดึงเสื้อคลุมสีขาวตัวโคร่งที่สร้อยสะบันงาสวมอยู่อย่างแรง “นี่มันเสื้อเสด็จพี่”
และด้วยไม่ได้ตั้งตัวคนโดนดึงจึงลู่ตามแรงดั่งต้นอ้อล้อลมทันที “เอ๊ะ” สาวชาวไทยร้อง
“หยุดนะฟารียา!”
เจ้าชายวาคิมคว้าร่างอรชรของสร้อยสะบันงาไว้ก่อนที่เธอจะล้ม พระองค์ปัดมือเจ้าหญิงสาวทิ้งพร้อมตรัสเสียงเข้ม “อย่าก้าวก่ายเรื่องของฉัน ไม่ใช่หน้าที่ของเธอที่จะมาตัดสินว่า ฉันควรทำอะไร อย่างไร หรือแม้กระทั่งจะให้ผู้หญิงคนไหนสวมเสื้อของฉัน”
“เสด็จพี่ แต่..แต่..นี่มัน มันเป็นผู้หญิงต่างเมืองนะคะ ปัญหาอีกมากมายจะตามมา น้องไม่ยอมให้เสด็จพี่พาเธอก้าวผ่านน้องเข้าไปในวังเด็ดขาด”
สร้อยสะบันงามองท่าทางของเพื่อนเก่าแล้วอยากจะร้องบอกนักว่า เธอก็ไม่ได้อยากเข้าไปเลยสักนิด ถ้าจะกรุณาช่วยทำอย่างที่ปากว่าให้ได้ด้วยเถอะ
หากคนที่พาเธอมาก็เหมือนจะรู้ดีว่าตนเองกำลังคิดแบบนั้น เขากระชับเอวคอดเข้าหาตนเองจนหญิงสาวต้องงอแขนทั้งสองของตนเพื่อกั้นอกกำยำกับอกอิ่มของเธอ แต่ก็เหมือนแกล้งเมื่อเจ้าชายวาคิมคว้ามือเรียวดึงเอาไว้ สร้อยสะบันงาหน้าแดงก่ำ ถ้าเธอไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ละก็เธออยากจะตบหน้าคมๆ ของเจ้าชายหนุ่มผู้นี้นัก แต่ว่าตอนนี้ดูคนที่จับเธอจะไม่ได้สนใจอย่างอื่นนอกจากแทบอุ้มร่างบางเดินเข้าไปหาเจ้าหญิงร่างท้วม
“เธอจะทำอะไรฟารียา” พระองค์ตรัสถามช้าๆ
“น้องจะทำเพื่อฝ่าบาท เพราะรับรองว่าเสด็จลุงกับเสด็จป้าทรงไม่ปลื้มใจแน่ๆ ถ้าพระองค์พาผู้หญิงคนนี้เข้าไป พระองค์อาจจะโดนกักบริเวณ ผู้หญิงคนนี้อาจจะต้องโดนขังอยู่แต่ในฮาเร็ม หม่อมฉันจะไปฟ้องท่านทั้งสองเอง”
“หลีกไป” เจ้าชายวาคิมไม่สนใจถ้อยคำสาธยายของอีกฝ่ายเลยสักนิด
เจ้าหญิงฟารียาชะงักนิ่ง “หมายความว่า...”
“เพราะฉันจะพาสะบันงาเข้าไปข้างใน ไม่ว่าใครจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม”
พร้อมคำตรัสแบบนั้นเจ้าชายวาคิมก็รวบร่างสร้อยสะบันงาเข้าไปชิดตนเองและพาเดินเข้าไปในพระราชวังทันที
สนามบินเชียงใหม่
ปาริชาติหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อพยายามโทรหาเพื่อนรักมานานเกือบ 2 ชั่วโมงแล้ว แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับจากอีกฝ่าย คิ้วเรียวขมวดจนแทบจะผูกเข้าหากันได้ สร้อยสะบันงาควรจะมาคอยเธอที่นี่ตั้งแต่ 2 ชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้ว ปาริชาติรู้ดีว่าเพื่อนสาวของเธอนั้นเป็นคนตรงต่อเวลาเสมอ แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้น
“ทำไมติดต่อไม่ได้เลยนะ เธออยู่ไหนเนี่ยสร้อย หรือว่าที่บ้านจะเกิดอะไรขึ้น เอาไงดีล่ะเรา” หญิงสาวกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างครุ่นคิด ก่อนจะดีดนิ้ว เธอเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเพื่อนรักของเธอทำงานอยู่ที่นี่ ถ้าเข้าไปถามที่ประชาสัมพันธ์คงจะได้รู้บ้างว่าบ้านของสร้อยสะบันงาอยู่ตรงไหน
“ทำไมเราโง่แบบนี่นะ นาจะนึกได้ตั้งนานแล้ว” ปาริชาติต่อว่าตัวเองก่อนจะรีบก้าวเท้าเข้าไปที่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ของสนามบินทันที แล้วคลี่ยิ้มให้กับพนักงานสาวที่ประจำการอยู่
“ขอโทษนะคะ”
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ” พนักงานสาวคลี่ยิ้มพร้อมกับยกมือไหว้
“ค่ะ ดิฉันอยากจะถามว่าใครพอจะรู้จักบ้านของสร้อยสะบันงาบ้างคะ คือว่าดิฉันชื่อ ปาริชาติ เป็นเพื่อนของเธอค่ะ วันนี้นัดกันเอาไว้แต่คอยตั้งนานแล้ว ยังไม่เห็นมาเลยค่ะ” คำถามของปาริชาติทำให้พนักงานสาวสวยหันไปมองหน้าเพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ข้างๆทันที
“เอ่อ...คือ..คือว่า...เอ่อ....” เสียงพนักงานสาวตอบออกมาแบบตะกุกตะกัก และนั้นก็ทำให้ปาริชาติต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง
“ถ้าคุณไม่เชื่อใจว่าฉันเป็นเพื่อนกับเธอจริงๆ ก็ดูรูปนี้ก็ได้ค่ะ เราถ่ายด้วยกันตอนไปเรียนที่เมืองนอก” ปาริชาติคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่เชื่อใจก็เลยหยิบรูปในกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาส่งให้พนักงานสาวทั้ง 2 คนดู
“ค่ะ เชื่อแล้วค่ะ แต่ว่า...เอ่อ..เดี๋ยวกรุณานั่งรอทางด้านโน่นสักครู่นะคะ พอดีเจ้าสร้อยติดธุระนิดหน่อยค่ะ” พนักงานสาวพยายามฝืนยิ้มให้กับลูกค้าสาว
“เหรอคะ” คิ้วเรียวเหยียดออก “ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันไปนั่งรอตรงโน่นนะคะ” หญิงสาวยิ้มให้แล้วเดินไปนั่งลงที่โซฟาด้านหน้าเคาเตอร์ที่ตั้งเอาไว้ให้ผู้มารับบริการทุกคน
“สร้อยนะสร้อย ติดธุระก็น่าจะโทรบอกกันบ้าง คอยดูนะถ้าเจอน่าเมื่อไรจะแกล้งให้เข็ดเลย โทษฐานที่ทำให้เพื่อนสวยๆอย่างเรามานั่งรอ ฮึ ฮึ” ปาริชาติคิดวางแผนเอาไว้ในใจแล้วนั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว