ตอนที่ 4 สร้อยสะบันงา...ดอกไม้ไทยแสนสวย
สร้อยสะบันงามองไปรอบๆ พร้อมเตรียมตัวทำหน้าที่ของตน เพราะในที่สุดแล้วความใจอ่อนของหญิงสาวก็ทำให้เธอตกลงยอมเป็นตัวแทนออกมารับหน้าที่เจรจาต้อนรับแขกต่างเมืองเข้าจนได้ และท่าทางชะงักของวรองค์สูงใหญ่ก็ทำให้หญิงสาวเพ่งมองบุรุษตรงหน้าอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
เธอเห็นว่าแม้ใบหน้าคมคร้าม นาสิกโด่งงาม ริมโอษฐ์หยักสวย ของชายหนุ่มนั้นจะทำให้ตนเองนิ่งไปในครั้งแรก หากแต่พอพบสบจักษุแวววับสีฟ้าน้ำทะเลนั่น หญิงสาวก็รับรู้ถึงความเจ้าเล่ห์แพรวพราวของอีกฝ่ายทันที ร่างบางอรชรจึงหลบตาและกระพุ่มมือไหว้อีกฝ่ายตามมารยาทที่ดีงามของคนไทย เธอคลี่ริมฝีปากสีชมพูยิ้มให้บุคคลตรงหน้าอย่างอ่อนหวานตามหน้าที่ของประชาสัมพันธ์ที่ดี และต้องทำให้ผู้มาเยือนเกิดความประทับใจในประเทศของเรา
ทว่าหญิงสาวก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อยังเห็นสายตาแวววาวซึ่งจ้องมองไม่ลดละจากอีกฝ่าย เธอพยายามประเมินแขกผู้มาเยือนจากแดนไกลด้วยการปิดกั้นความรู้สึกในใจของตนทันที และสร้อยสะบันงาก็บอกตัวเองว่า เจ้าชายหนุ่มคนนี้แม้จะหล่อเหลา ร่ำรวยทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ แต่ดวงเนตรนั่นแสนแพรวพราวส่อแววเจ้าชู้มาแต่ไกล ซึ่งทำให้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนๆ ของตนเองจึงแอบปลื้มอีกฝ่ายตั้งแต่เพิ่งมองเห็น และถึงจะหมั่นไส้สายเนตรเช่นนั้นมากเพียงไร หญิงสาวก็เฝ้าเตือนตัวเองว่า ‘ทำตามหน้าที่สร้อยสะบันงา เธอต้องยิ้มหวานให้เขาเอาไว้....แต่ถึงอย่างไร...ก็ต้องไม่ลืมว่าเธอเกลียดผู้ชายเจ้าชู้เป็นที่สุด’
นั่นคือสิ่งที่หญิงสาวบอกตัวเองแต่เธอก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าขณะนี้ดวงหทัยของเจ้าชายวาคิมว่าที่รัชทายาทแห่งเมืองฟาริทนั้น กำลังเต้นแรง วรองค์กำยำกำลังรับรู้ถึงอุณหภูมิที่เริ่มไต่ระดับองศาขึ้นเรื่อยๆ แม้เพียงแค่เห็นร่างอรชร สะโพกกลมกลึง และรอยยิ้มหวานๆ ของหญิงสาวตรงหน้า
ซาอิดเองก็ชะงักมองกิริยางดงามของหญิงสาวชาวไทยอยู่ครู่หนึ่งก่อนเรียกสติเจ้านาย “ฝ่าบาท!” นายทหารคนสนิทรับรู้ถึงอาการที่เป็นอยู่ของพระองค์ได้ทันที จึงรีบส่งเสียงเรียกเจ้านายอีกครั้ง “เจ้าชายวาคิม” พร้อมเตือนว่า “ขบวนของเราคงเดินออกจากประตูไม่ได้ ถ้าฝ่าบาทไม่ยอมเสด็จต่อ”
แต่ราชนิกูลหนุ่มก็มิยอมทำเช่นนั้นแต่อย่างใด พระองค์เพียงปรายพระเนตรสีน้ำทะเลไปให้องครักษ์หนุ่ม และยืนนิ่งๆ อย่างรอคอยให้หญิงสาวตรงหน้าก้าวเข้ามาหาตนเอง
สร้อยสะบันงาชะงักเล็กน้อยเมื่อขบวนเสด็จของเจ้าชายแห่งฟาริทเพียงหยุดยืนที่หน้าประตู หญิงสาวจ้องมองพระพักตร์คมซึ่งเต็มไปด้วยไรหนวดเคราที่ถูกตัดเล็มไว้เป็นอย่างดี ก่อนกัดริมฝีปากและหายใจเข้าลึกๆ
‘เป็นผู้ชายที่หน้าตาเจ้าชู้ชัดเจนดีจริงๆ’
อารมณ์ในใจของเธอค่อนข้างขัดกับสองสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เหตุเพราะพวกเธอนั้นล้วนสะกิดแขนเรียวบางของเจ้าสร้อยอย่างตื่นเต้นและกระซิบกระซาบเบาๆ ทันที
“หล่อมาก”
“หัวใจฉันจะละลาย เดินเข้าไปสิเจ้าสร้อย”
สร้อยสะบันงาจึงต้องเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายตามแรงส่งของเพื่อน และยิ่งเธอเดินเข้าไปใกล้ ริมโอษฐ์หยักของเจ้าชายหนุ่มก็ยิ่งเหยียดมุมยิ้มขึ้นทันที
“ซาอิด” พระองค์เรียกทหารคนสนิท
“ครับ ฝ่าบาท”
“ผู้หญิงคนนั้น!” เจ้าชายวาคิมยังไม่ละสายพระเนตรไปจากร่างอรชรกลมกลึงของสร้อยสะบันงา “ฉันอยากได้เธอ”
“แต่ว่า...คนเยอะๆ แบบนี้” ซาอิดมองผู้คนซึ่งยังยืนอออยู่รอบนอกก่อนต่อรอง “กระหม่อมว่าพระองค์ไปที่โรงแรมที่ประทับก่อน ผู้หญิงคนนี้กระหม่อมจะจัดการให้ตามไป”
“ไม่!” คำตอบของราชนิกูลแห่งฟาริทก็ทำให้องครักษ์หนุ่มปาดเหงื่อทันที “พามาเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปรอบนเครื่อง” พอตรัสจบพระองค์ก็หมุนวรองค์กลับและเดินออกไปจากอาคารสนามบินโดยไม่สนใจว่าใครจะเจรจาอะไรกันไว้ก็ตาม
สร้อยสะบันงาตกใจเล็กน้อย ที่พอเธอเดินเกือบถึงประตู จู่ๆ เจ้าชายหนุ่มก็สะบัดพระวรองค์หนีตนเองกลับไป หญิงสาวรู้สึกตกใจเล็กน้อย และด้วยความไม่เข้าใจเธอจึงดันประตูตามเข้าไปยังอาคารชั้นในซึ่งไม่มีคนอื่นสามารถเข้าไปได้ และส่งเสียงถามผู้ชายชาวอาหรับที่เดินเข้ามาหาตนเอง
“มีอะไรผิดพลาดงั้นหรือคะ”
ขณะนั้นเพื่อนสองคนของหญิงสาวก็รีบตามเข้ามาด้วยความตกใจเหมือนกัน ส่วนซาอิดซึ่งเดินกลับมาหานั้นมองร่างบางในชุดไทยสวยงามก่อนวางแผนแยบยลแทนเจ้านายทันที
“เจ้าชายอยากคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว” เขาหาเหตุก่อนมองออกไปนอกอาคาร “บนเครื่องบิน”
“อะไรนะคะ” สร้อยสะบันงามองตามหลังวรองค์สูงใหญ่ซึ่งยังเดินออกไปไม่ไกล และด้านนอกประตูกระจกนั้นผู้คนก็เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อทหารหลายๆ นายถอยกำลังออกไปแล้ว
“ทรงต้องการคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว” ซาอิดส่งเสียงย้ำอีกครั้ง
‘คุยเป็นการส่วนตัว’ สร้อยสะบันงาขมวดคิ้วและทำท่าคิด แต่จะให้ตรองอย่างไรเธอก็ไม่มีเรื่องส่วนตัวอะไรที่จะต้องคุยกับราชนิกูลรูปงามคนนั้นนี่
“ไม่ค่ะ” ถึงแม้จะปฏิเสธเสียงดังแต่หญิงสาวก็ยิ้มอย่างรักษามารยาท “ดิฉันไม่มีเรื่องส่วนตัวจะคุยใคร”
เพื่อนสองคนจึงสะกิดแขนด้วยเกรงบารมีและบริวารของอีกฝ่าย “เจ้าสร้อย เบาๆ สิ เดี๋ยวเขาก็ได้ยินหรอก” พวกเธอหมายถึงวรองค์สูงในชุดสีขาวขลิบทองซึ่งหยุดชะงักในทันที
ซาอิดยังดำเนินการตามแผนโน้มน้าวประนีประนอมของเขา “แต่คุณควรจะคุยกับพระองค์ก่อน เจ้าชายของเราไม่เคยให้โอกาสใครง่ายๆ หรอกนะ แค่คุยกันมันไม่เสียหายอะไรสักหน่อยนี่”
ถึงตอนนี้เพื่อนทั้งสองของสร้อยสะบันงาจึงพากันพยักเพยิดคล้ายๆ จะบอกว่า ถ้าเธอไปฉันขอไปด้วยนะ หากร่างบางก็ยังยืนยัน
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องเสียหายหรือไม่เสียหายหรอกค่ะ เพียงแต่ฉันไม่มีเรื่องส่วนตัวจะคุยกับคนที่ไม่รู้จัก ก็แค่นั้นเอง” เหตุเพราะเธอเองว่ามั่นใจว่าตนไม่ได้ทำในสิ่งที่ผิด โดยถ้าเป็น ‘เรื่องงาน’ ตัวเธอพร้อมจะเจราจากับอีกฝ่ายเสมอ แต่ถ้า ‘เรื่องส่วนตัว’ สิ่งที่ตนเองพูดก็คือเรื่องจริง
“ฉันไม่มีเรื่องส่วนตัวจะคุยกับเจ้าชายของคุณค่ะ ต้องขอโทษที่จะต้องบอกอย่างนั้น และถ้าพวกคุณจะกลับละก็ ดิฉันก็ขอให้พวกคุณเดินทางโดยปลอดภัย สวัสดีค่ะ”
พูดจบเธอก็กระพุ่มมือไหว้แขกผู้มาเยือนก่อนยืนตรงและหันหลังให้ในทันใด ทว่าร่างบางก็ไม่สามารถก้าวต่อไปได้เมื่อวรองค์สูงใหญ่ที่เธอปฏิเสธจะคุยด้วยคว้าข้อมือเรียวไว้ทันที
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
เจ้าชายวาคิมตรัสเสียงทุ้ม ทรงแย้มพระสรวลหล่อเหลาให้หญิงสาว ก่อนตวัดช้อนขาเรียวของสร้อยสะบันงาขึ้นทันที
“ว๊าย” เสียงสาวๆ รวมทั้งคนถูกอุ้มร้องลั่นเมื่อราชนิกูลหนุ่มกระชับร่างบางก่อนหันวรองค์กลับไปทางเดิม สร้อยสะบันงาถึงกับพูดไม่ออก สาวสวยตระกูลผู้ดีเก่ามองใบหน้าคมคร้ามที่ห่างจากตนเองเพียงไม่เท่าไหร่ก่อนส่งเสียงประท้วง
“นี่คุณ..ฝ่าบาท”
ทว่าเจ้าชายวาคิมก็ไม่ยอมส่งเสียงตรัส ทรงก้าวพระบาทยาวๆ กลับไปที่เครื่องบินพระที่นั่ง “ปล่อยนะคะ คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ” แม้สร้อยสะบันงาจะร้องบอกอย่างไรก็ไม่สามารถหยุดเขาได้เสียแล้ว
ซาอิดยกมือกุมขมับตนเองด้วยความปวดหัวเพราะว่าเจ้านายของตัวดูจะไม่ยอมร่วมมือในแผนโน้มน้าวแยบยลของเขาเลย ระหว่างนั้นการ์ดประจำสนามบินหลายคนเริ่มขยับจะตามแต่ก็ถูกทหารรักษาพระองค์ของเจ้าชายวาคิมกั้นขวางไว้ องครักษ์หนุ่มจึงต้องหันไปส่งเสียงเจรจากับเพื่อนสาวอีกสองคนของสร้อยสะบันงาทำนองว่าเจ้านายของตนนั้นรู้จักกันกับเจ้าสร้อยมาก่อน และเพียงต้องการปรับความเข้าใจบางอย่างเท่านั้นให้สองสาวช่วยบอกการ์ดประจำสนามบินทั้งหลายให้อยู่ในความสงบด้วย แล้วจึงรีบวิ่งตามเจ้านายของตนเองไปอย่างรวดเร็ว
“ได้โปรด ปล่อยหม่อมฉันลง!”
สร้อยสะบันงายังส่งเสียงประท้วงกระทั่งวรองค์สูงก้าวขึ้นสู่เครื่องบินลำใหญ่แล้ว เจ้าชายวาคิมวางร่างกลมกลึงลงบนเบาะเก้าอี้นุ่มนิ่มตัวหนึ่งในส่วนที่เป็นเหมือนห้องรับแขกก่อนร้องสั่งข้าราชบริพาร
“บอกกัปตันให้กลับฟาริท!”
“อะไรนะคะ” หญิงสาวชาวไทยร้องลั่น หากยังมิทันหาคำตอบเจ้าชายหนุ่มก็ทิ้งวรองค์ลงข้างกายของเธอทันที
“เอ๊ะ!” ปากสีชมพูสั่นน้อยๆ “ถอยไปนะคะ” เธอร้องบอกราชนิกูลหนุ่ม
แต่มีหรือเจ้าชายวาคิมจะสนพระทัย พระองค์ทรงพระสรวลเบาๆ ก่อนเบียดจนร่างบางชิดขอบหน้าต่างเครื่องบินเลยทีเดียว
“เธอชื่ออะไร”
กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนผมมวยทำให้พระองค์อดไม่ได้ที่ก้มลงไปใกล้ แต่แม้ราชนิกูลหนุ่มจะส่งเสียงถามเพียงใด สร้อยสะบันงาก็ตั้งท่าขมวดคิ้วเม้มปากเสียเหนียวแน่น
“งั้นฉันเรียกเธอว่า ‘ที่รัก’ ก็แล้วกัน”
แต่พอได้ยินสรรพนามที่อีกฝ่ายเลือกให้ หญิงสาวก็ต้องปริปากออก“ถอยออกไปก่อนได้ไหมคะ!” สร้อยสะบันงาพยายามต่อรอง “ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ เลย”
“เข้าใจผิดงั้นหรือ?” เจ้าชายหนุ่มถอยออกมานิดหน่อย ก่อนส่งเสียงถาม “เช่นว่าอะไรล่ะ”
“ก็เรื่องที่ทรงพาหม่อมฉันมา ฝ่าบาทไม่ได้ตั้งใจใช่หรือเปล่า”
เจ้าชายวาคิมทำท่าคิดตามก่อนส่ายศีรษะ สร้อยสะบันงาจึงพยายามคิดในฐานะคนซึ่งมีเหตุผลอยู่เสมอ
“งั้น! ฝ่าบาทก็คงจำคนผิด”
“ฉันว่าฉันอุ้มมาถูกคนทีเดียวแหละ เพราะฉันเล็งเธอไว้ตั้งแต่แรกเห็นแล้วที่รัก”
พร้อมคำพูดแบบนั้นราชนิกูลหนุ่มก็เริ่มขยับเข้าไปหาหญิงสาวอีกครั้ง สร้อยสะบันงาตกใจรีบยกสองมือขึ้นขวางอีกฝ่ายทันที “อย่าเข้ามาค่ะ”
“พูดผิดหรือเปล่า ไม่เคยมีใครบอกฉันแบบนั้นสักที”
“ไม่ผิดหรอกค่ะ” สร้อยสะบันงายกมือขึ้นดันอกกำยำ “ฉันอยากกลับบ้าน”
“ใจเย็นๆ สิ เรากำลังจะกลับฟาริทอยู่แล้ว”
“ไม่ใช่นะ ที่นั่นไม่ใช่บ้านของหม่อมฉัน ประเทศไทยต่างหากล่ะ หม่อมฉันจะกลับบ้าน”
ราชนิกูลหนุ่มจึงส่ายพระพักตร์ก่อนตรัสช้าๆ “ตอนนี้บ้านของเธอคือฟาริท”
“ไม่” สร้อยสะบันงาเริ่มน้ำตาคลอเบ้าเมื่อรู้สึกว่าเครื่องบินกำลังวิ่งเข้าสู่รันเวย์ “ไม่ได้นะ”
“เราต้องรัดเข็มขัดแล้วที่รัก”
“ทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ” หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างคิดหาหนทาง ในขณะที่เจ้าชายหนุ่มมองใบหน้านวลที่กำลังกลายเป็นสีชมพูอ่อนๆ ด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“ไม่ต้องตกใจนะ ฉันจะดูแลเธอเป็นอย่างดี”
“ทำอย่างนี้ไม่ได้นะคะ” เธอบอกอีกครั้ง “เรา...หมายถึงหม่อมฉันยังไม่รู้จักฝ่าบาทเลยด้วยซ้ำ”