บทย่อ
ในเรื่องนี้จะมีพระนาง 2 คู่ ค่ะ นางเอกหนึ่งสาว เรียบร้อยอ่อนหวาน อีกหนึ่งห้าวเฟี้ยวไม่ยอมคน ความพินาศจึงบังเกิด......................................................................................................................“แต่นี่มันวังฟาริทนี่นา และนี่ก็คือบ้านของฉัน” พร้อมคำตรัสนั้นเจ้าชายหนุ่มก็ขยับไปหาหญิงสาวที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง “เจ้าชายวาคิม!” สร้อยสะบันงาตกใจเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงดังลั่นพลางลุกขึ้นยืนตัวตรงทันที “เรียกทำไม” ราชนิกูลหนุ่มถามยิ้มๆ พระองค์ลุกตามและเดินเข้าไปจนประชิดกับร่างระหงพร้อมเรียกเธอในแบบของพระองค์ “ฉันอยู่ตรงนี้แล้วสะบันงา” “ไม่ใช่แบบนั้น...” เสียงหวานเริ่มสั่น แม้เจ้าชายวาคิมจะเพียงแค่ใช้พระหัตถ์หนาแตะบ่าบางๆ ของเธอไว้ “ฝ่าบาทจะทำอะไร” ท่าทางแบบนั้นทำให้ราชนิกูลยิ้มมุมปาก “เธอว่าฉันจะทำอะไรล่ะ” “หม่อมฉัน...” สร้อยสะบันงาตอบไม่ถูก ........................................................................................................................“นี่คุณกำลังว่าฉันเป็นผู้หญิงหากินงั้นเหรอ” “ผมไม่ได้พูด คุณพูดเองนะ แล้วคุณจะโกรธทำไมล่ะ ถ้าไม่ได้เป็น คุณไม่ควรจะออกมาตอนกลางคืนแบบนี้มันอันตรายรู้บ้างไหม พวกทหารยามที่มันอดอยากมีมากมาย หรือว่าคุณไม่กลัว” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงขึ้น“คุณ...คุณมัน...” ปาริชาตินึกถึงคำพูดของเพื่อนสาวที่ว่าให้เธอใจเย็นๆจะได้ไม่มีเรื่อง หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ฉันลงมาเดินเล่นเห็นอากาศมันเย็นดี ไม่คิดว่าจะมาเจอพวกปากสุนัขแถวนี้ เฮ้อ... เสียบรรยากาศหมดเลยกลับดีกว่า” ปาริชาติยิ้มที่มุมปากแล้วเดินเลี่ยงเขาไป แต่แล้วเธอก็ต้องร้องออกมาอย่างตกใจ“ว๊าย!” เมื่อมือหนาของราห์ฟาสจับหมับเข้าที่ต้นแขนของเธอแล้วกระชากให้กลับมายืนที่เดิม “บ้าอะไรของคุณเนี่ย ปล่อย!” ปาริชาติแกะแขนตัวเองออกพร้อมกับตวาดแหวใส่เขาชี้คหนุ่มขบกรามแน่นกับคำพูดเปรียบเทียบที่หญิงสาวพูดออกมาเมื่อครู่บวกกับความเกลียดชังในตัวหญิงสาวอยู่แล้วทำให้มือแกร่งนั่นบีบแรงยิ่งขึ้น“โอ๊ย! ฉันเจ็บนะบอกว่าให้ปล่อย” เธอร้องออกมาด้วยความเจ็บ“เมื่อกี้คุณว่าใครปากสุนัข” เขาตะคอกถาม
บทนำ
พื้นที่ขนาดใหญ่ภายในเมืองกลางทะเลทรายเช่นฟาริทนั้น ส่วนหนึ่งในอาณาเขตกว้างไกลถูกทำให้เป็นลานยาวสุดลูกลูกตา เครื่องบินซึ่งติดตราสายการบินฟาริทค่อยๆ ทะยานลงบนรันเวย์และลดความเร็วจวบจนจอดสนิทบนพื้นถนนสีดำนั้น
การเคลื่อนไหวเพื่อเตรียมตัวลงของผู้โดยสารเกิดขึ้นเกือบจะทันที นั่นรวมถึงร่างสูงใหญ่ซึ่งก้าวออกมาจากยานพาหนะทางอากาศด้วย เขาหยุดมองตึกซึ่งมีส่วนประกอบโดยมากเป็นเหล็กและกระจก ส่อให้เห็นถึงความโอ่อ่า นำสมัย ก่อนขยับแว่นตาสีดำของตนเองและทำท่าจะก้าวตามผู้คนทั้งหลายไปเบื้องหน้า หากชายหนุ่มก็ต้องหยุดชะงักเมื่อแอร์โฮสเตสประจำเครื่องบินส่งเสียงเรียกไว้
“คุณคะ”
สาวสวยประจำสายการบินมีใบหน้าเอียงอายเล็กน้อยเมื่อสบตากับใบหน้าคมภายใต้แว่นกันแดดสีดำ เธอรอจังหวะให้ผู้โดยสารเดินผ่านจุดนั้นไปจนหมดก่อนก้าวมาประชิดตัวร่างกำยำ ดวงตาภายใต้อายแชโดว์สีน้ำเงินเข้มส่อแววหวานฉ่ำยามเผยอริมฝีปากสีแดงเอื้อนเอ่ยวาจา
“เบอร์โทรของฉันค่ะ”
มือเรียวยื่นผ้าสีชมพูผืนเล็กๆ ซึ่งมองเห็นอยู่ว่ามันประทับรอยจูบ และเขียนเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ด้วย ร่างสูงใหญ่ในเสื้อคลุมสีดำเบรนด์เนมจึงขยับเข้ามาหา เขาใช้มือท้าวบนขอบประตูเครื่องบินซึ่งหญิงสาวกำลังยืนอยู่ก่อนบอกช้าๆ
“ไม่จำเป็นหรอกคนสวย”
แอร์โฮสเตสสาวหน้านิ่วลงด้วยความผิดหวังทันที ความจริงเธอนั้นเล็งชายหนุ่มผู้นี้ไว้ตั้งแต่เขาก้าวขึ้นมาบนเครื่องแล้ว หญิงสาวนึกถึงสายตาสีน้ำทะเลสวยภายใต้แว่นตาสีดำของเขา เพราะมันทำให้ร่างกายของเธอสั่น ใจวูบหวิวขึ้นมาทุกครั้งที่นึกถึง เมื่อคิดแบบนั้นแล้วเธอจึงพยายามเดินส่งสายตาอ่อยเหยื่ออยู่ตลอดการเดินทางครั้งนี้ และก็คิดว่าเขาคงต้องชำเลืองมองตามหุ่นเซ็กซี่ของตนเองบ้าง
สรุปแล้วหญิงสาวจึงเข้าข้างตัวเองทันทีว่า ชายหนุ่มนั้นอยากจะได้เบอร์โทรของเธอจนตัวสั่นเหมือนกันแล้ว ทว่าพอฟังคำที่เขาบอก ใจของหญิงสาวร่างอวบก็แทบจะขาดรอนๆ เธอส่งเสียงอ้อนทันที
“ทำไมล่ะคะ”
“ก็อย่างที่บอกว่าไม่จำเป็น”
ชายหนุ่มใช้มือดึงแว่นกันแดดสีดำออก ซึ่งแบบนั้นก็ส่อให้เห็นดวงหน้าคมคร้าม ผิวเนียนละเอียด และผมหยักศกระต้นคอชัดขึ้นกว่าเดิม แอร์โฮสเตสสาวถึงกับเสียงสั่นพูดออกมาโดยไม่ต้องถามทันที
“ฉันชื่อ...ซาร่า” เธอแทบละเมอเมื่อได้สบดวงตาสีน้ำทะเลแสนสวยนั่นอีกครั้ง “ได้โปรด...” แววตาของหญิงสาวส่อแววแห่งความต้องการจนไม่อาจจะปิดมิดได้
ร่างสูงใหญ่ดวงหน้าคมจึงเหยียดปากยิ้มนิดๆ “เสียดายที่ฉันกำลังรีบ” เขามองตามผู้คนซึ่งเข้าไปยังตัวอาคารสนามบินกันหมดแล้วก่อนพูดต่อ “แล้วที่นี่ก็คือฟาริท ไม่ใช่ลอสแองลิสอีกแล้ว”
พร้อมคำพูดเช่นนั้นดวงตาเจ้าเล่ห์สีสีน้ำทะเลก็เหลือบมองไปยังริมฝีปากและมองเลยไปตามลำคอของหญิงสาว ร่างอวบของซาร่าถึงกับสั่นเทาจนแทบทนไม่ได้เพราะเสน่ห์เรือนกายของชายหนุ่มนั้นทำให้ตนเองรู้สึกอยากให้เขาใช้มือสัมผัสมากกว่าใช้สายตายิ่งนัก
หากคนมองก็กลับยืดตัวตรงอีกครั้งก่อนหยักมุมปากน้อยๆ และหันหลังกลับเพื่อเดินตามผู้คนทั้งหลายไปยังตัวอาคารผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินเมืองฟาริทช้าๆ
ซาร่ายืนหายใจหอบอยู่หลายสักพักเธอใช้มือจับหัวใจตนเองเหมือนจะปลอบประโลมให้มันเลิกเต้นดังๆ เสียที “ใคร!” เธออุทานเบาๆ ก่อนผลุบกลับเข้าไปในเครื่องบิน ซึ่งคนอื่นๆ ล้วนเดินออกไปหมดแล้ว หญิงสาวหยิบบัญชีรายชื่อผู้โดยสารขึ้นดูก่อนอุทานชื่อของบุรุษเมื่อครู่อย่างรู้สึกคุ้นหู
“วาคิม บิน อาหมัด อัล ฟาริท”
ขณะนั้นกัปตันก็เดินออกมาถึงจุดที่เธอยืนอยู่พอดี “ทำอะไรซาร่า” เขาถามพร้อมมองการแต่งตัวที่ออกจะไม่ค่อยเรียบร้อยของแอร์โฮสเตสสาวซึ่งเพิ่งย้ายสายการบินมาจากประเทศเพื่อนบ้านพร้อมดุต่อ
“ทำไมไม่รีบลงไป นอกจากมาสายแล้ว เธอยังอู้อีกหรือ”
“ไม่..ไม่ใช่ค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงยังไม่หายสั่น แต่ความอยากรู้ก็ยังทำให้เธอส่งเสียงถาม “กัปตันคะ ชื่อผู้ชายคนนี้น่ะค่ะ คุ้นๆ นะ คุณว่าไหม”
กัปตันอายุสี่สิบต้นๆ คว้ากระดาษในมือหญิงสาวพร้อมมองตามที่นิ้วเธอชี้ให้ดู และเขาก็หันกลับมามองหน้าแอร์โฮสเตสคนใหม่นั้นทันที
“อย่าบอกนะว่าเธอทำรุ่มร่ามกับ เจ้าชายวาคิม”
“เจ้าชาย!” แอร์โฮสเตสสาวเข่าแทบอ่อน ในขณะที่ผู้เป็นกัปตันตวาดซ้ำ
“ไม่มีใครบอกหรือไง พระองค์จะเดินทางมากับเราโดยไม่เปิดเผยตัว เธอทำอะไรงั้นหรือซาร่า” เขาดูเดือดดาลพร้อมหวาดกลัวเรื่องไม่ชอบมาพากลขึ้นทันที “เล่ามาเดี๋ยวนี้ ทั้งหมดเลย!”
ร่างสูงสง่าของเจ้าชายวาคิม บิน อาหมัด อัล ฟาริท ในชุดเดินทางสีดำก้าวออกมาจากด้านในตรงไปยังส่วนที่เป็นเหมือนโถงใหญ่ซึ่งผู้คนล้วนมายืนรอรับกันอยู่ และแม้พระองค์จะสวมแว่นกันแดดบังพระเนตรไว้ แต่มันก็มิอาจบดบังพระนาสิกโด่ง พระขนงเข้ม หรือริมโอษฐ์หยักที่ออกสีแดงระเรื่อเล็กน้อยได้เลย เพราะฉะนั้นผู้คนทั้งหลายจึงล้วนหันมองผิวพรรณซึ่งจัดว่าเนียนละเอียดกว่าชาวอาหรับทั่วไปอย่างสนใจ โดยเฉพาะพวกผู้หญิงทั้งหลาย
เมืองฟาริทในปัจจุบันเป็นเมืองที่เปิดรับอารยะธรรมจากต่างประเทศเข้ามามากพอสมควร ทะเลทรายนูดาร์อันกว้างใหญ่ของที่นี่สวยงาม และล้วนมีโอเอซิสที่น่าท่องเที่ยวหลายแห่ง รวมถึงแหล่งขุดน้ำมันรายใหญ่ซึ่งทันสมัยที่สุดในแถบนี้ และที่นั่นเป็นผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างราชวงศ์ฟาริท และชนเผ่าชีราห์
เพราะฉะนั้นจึงมีผู้คนมากมายเข้ามาเยือนเมืองใหญ่แห่งนี้บ่อยๆ มีทั้งอาหรับแท้ๆ ซึ่งคลุมหน้าคลุมตา และคนรุ่นใหม่ซึ่งผู้หญิงได้แต่คลุมศีรษะ รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ หรือเพื่อนบ้านใกล้เคียงด้วย และบัดนี้ทุกๆ คนก็ล้วนแอบมองชายร่างสง่ากำลังที่เดินตรงไปยังประตูด้านหน้ากันอย่างพร้อมเพรียง
วูบเดียวการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น ณ สนามบินนั้น เมื่อกองทหารรักษาพระองค์ของฟาริทชักแถวเข้ามาอย่างกระทันหัน พรมสีแดงถูกดึงปูให้เป็นทางเดินยาวๆ และปรากฏร่างของหญิงสาวในชุดคลุมยาวสีเขียวมรกตเดินตรงเข้ามา เธอขยับผ้าคลุมศีรษะสีเดียวกันซึ่งถูกคลิปด้วยสีทองอร่ามแสดงถึงฐานะ ก่อนทำความเคารพเจ้าชายในชุดสีดำ
“เสด็จพี่วาคิม” เธอแย้มยิ้มอย่างดีใจ “ยินดีต้อนรับกลับสู่ฟาริทค่ะ”
ถึงตอนนั้นผู้คนล้วนถอยร่นเกาะกลุ่มยืนดูกันอย่างอยากรู้อยากเห็น บอดี้การ์ดในชุดสีดำ รวมถึงทหารรักษาพระองค์บางคนจึงต้องแบ่งส่วนไปดูแลความเรียบร้อยด้วย เสียงอึกทึกนั้นทำให้ยามรักษาการณ์พร้อมเจ้าหน้าประจำสนามบินหลายคนเริ่มออกมาเดินกันขวักไขว่
ตอนนี้จุดนั้นจึงคล้ายมีกิจกรรม หรืองานอะไรสักอย่างซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
เจ้าชายวาคิมถอนพระปัสสาสะน้อยๆ ทรงใช้พระหัตถ์ดึงแว่นกันแดดสีดำออก ก่อนตรัสเรียกหญิงสาวที่เดินเข้ามา
“เจ้าหญิงฟารียา”
“เจ้าชายวาคิม” คนโดนเรียกแย้มพระสรวลตอบ ก่อนบ่น “ทำไมไม่ใช้ให้เครื่องบินส่วนพระองค์ไปรับ หรือไม่ก็ทำไมไม่บอกให้ทหารเตรียมกองเกียรติยศล่ะคะ”
ดวงพักตร์คมดวงเนตรสีน้ำทะเลจึงมองเหตุการณ์ที่ดูวุ่นวายรอบๆ ก่อนบ่นเบาๆ “ฉันเกลียดเรื่องแบบนี้จริงๆ”
“ทรงเกลียดน้องหรือคะ”
“ไม่ใช่น้องฟารียา” พระองค์ดึงแขนผู้เป็นญาติห่างๆ “รีบออกไปกันก่อนเถอะ”
ซึ่งนั่นทำให้ราชนิกูลสาวออกอาการขวยเขินทันใด เพราะถึงแม้เจ้าชายวาคิมจะเรียกเธอว่าน้อง แต่ถ้าให้นับตามสายเลือดตรงๆ ละก็ ทั้งสองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย และสำหรับราชนิกูลหนุ่มรูปงามนี้ ถ้ามีใครสบพระเนตรพระองค์แล้วไม่หลงรักหรือถึงกับคลั่ง ก็บ้าเต็มทนแล้ว......
เจ้าชายวาคิมหยุดชะลอฝีเท้าเมื่อเห็นใครคนหนึ่งที่คุ้นตายืนขวางหน้าตามทางที่พระองค์กำลังจะเสด็จ เจ้าหญิงฟารียาลอบอมยิ้มเมื่อรู้ว่าบุคคลที่มายืนขวางอยู่นั้นเป็นใคร ร่างสูงนั้นอยู่ในชุดดำยาวคลุมทั้งตัว รอยยิ้มผุดขึ้นใต้ผ้าคลุมสีดำที่มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่โผล่พ้นออกมา พร้อมกันนั้นทหารองครักษ์ก็รีบกันเจ้าชายหนุ่มออกห่างแล้วชักปืนออกมาเล็งไปที่ชายลึกลับผู้นั้น
“เสด็จหนีสาวๆมาหรือยังไง ถึงได้รีบแบบนี้”
แต่น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ดังขึ้นก็เหมือนจะเป็นการทักทายและหยอกล้อ เจ้าชายวาคิมแย้มพระสรวลออกมาก่อนจะเสด็จผ่านทหารองครักษ์ออกมายืนประจันหน้ากับชายผู้นั้น
“ราห์ฟาส นายก็มารับฉันด้วยหรือ” คำกล่าวนั้นทำให้ชายในชุดดำปลดผ้าคลุมหน้าของตนเองออก เผยให้เห็นดวงตาที่คมกริบราวกับพญาเหยี่ยว นัยน์ตาสีดำเช่นเดียวกับสีผมที่ยาวตรงระแค่บ่า จมูกโด่งและเรียวปากรูปกระจับส่งผลให้ใบหน้านั้นดูคมสันและน่าเกรงขามยิ่งขึ้น เจ้าหญิงฟารียาเดินยิ้มเข้ามาหาชายหนุ่มทั้งสองคน
“น้องเป็นคนโทรไปบอกพี่ราห์ฟาสเองค่ะ”
“อืม...มีสิ่งนี้แหล่ะที่น้องทำได้ถูกใจพี่ ฟารียา” เจ้าชายหนุ่มหันมาคลี่ยิ้มให้ก่อนหันไปหาเพื่อน “มานี่เลยราห์ฟาส จู่ๆก็หนีกลับมาก่อนเสียเฉยๆ” และเดินโอบไหล่เพื่อนรักซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ไปทางรถยนต์ซึ่งจอดอยู่ที่ทางออก ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนาของเหล่าบอดี้การ์ดและทหารองครักษ์
“กระหม่อมมีธุระส่วนตัวนิดหน่อยก็เลยรีบกลับมาก่อน” ราห์ฟาสบอกเสียงเรียบ
“นายไม่น่ารีบกลับมาก่อนเลย ในงานเลี้ยงนะมีแต่สาวๆสวยๆทั้งนั้น น่าเสียดาย”
“ฝ่าบาทก็ทรงทราบว่ากระหม่อมไม่ชอบงานเลี้ยงแบบนั้น” แววตาของราห์ฟาสเข้มขึ้น
“เฮ้อ...นายมันก็เป็นเสียแบบเนี่ย แล้วนี่ฉันอุตส่าห์ไม่บอกใครแล้วนะว่าจะกลับมาวันนี้ แต่ฟารียาก็รู้จนได้” เจ้าชายวาคิมกระซิบกับพระสหายเบาๆ เพื่อไม่ให้หญิงสาวที่เดินตามหลังมาได้ยิน
“ฮึ ฮึ ฝ่าบาทไม่ทรงทราบหรือยังไงว่าเจ้าหญิงฟารียาทรงทำได้ทุกอย่างถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฝ่าบาท” ราห์ฟาสอมยิ้ม
“แต่ฟารียาเปรียบเสมือนน้องสาวของฉันนะ นายก็รู้อยู่ว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับฟารียา อีกอย่างฉันยังไม่อยากผูกติดตัวเองกับใคร”
“แต่อย่าทรงลืมนะว่าฝ่าบาทจะต้องขึ้นครองราชย์แล้วก็ต้องมีองค์ราชินีคู่บัลลังก์ ถึงฝ่าบาทไม่ทรงยินยอมแต่ก็เลี่ยงไม่ได้” ราห์ฟาสหันมายิ้มให้กับเจ้าชายหนุ่ม
“เอาไว้ถึงตอนนั้นก่อน แล้วค่อยว่ากัน แต่ตอนนี้ฉันยังมีสิทธิ์เที่ยวได้อย่างเต็มที่ จริงไหม” เจ้าชายหนุ่มยักคิ้วให้เพื่อนรัก และอีกฝ่ายก็ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับยิ้ม