ตอนที่ 3 ฉันคือปาริชาติ
ปาริชาติกำลังลุกขึ้นจากที่นั่งผู้โดยสารภายในเครื่องบินแล้วเดินตามคนอื่นๆไป แต่แล้วเสียงดังเอะอะของคนด้านหน้าก็ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยก่อนที่ร่างบางจะแหวกผ่านผู้โดยสารออกไปยังประตูด้านหน้า แอร์โฮสเตสสาวสองคนยืนอยู่ด้านหน้าประตูเพื่อกันไม่ให้ผู้โดยสารลงจากเครื่อง
“เกิดอะไรขึ้นค่ะ ทำไมถึงยังลงไปไม่ได้” หญิงสาวหันมาถามแอร์โฮสเตสสาวที่ยืนอยู่ทางซ้ายมือของเธอ
“ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกค่ะ อย่ากังวลใจไปเลย รอสักครู่นะคะเดี๋ยวก็ได้ลงแล้ว” แอร์โฮสเตสสาวบอกอย่างสุภาพแล้วหันมายิ้มให้กับหญิงสาวที่ถาม
“แต่ฉันนัดเพื่อนเอาไว้นะคะ นี่ก็เลยเวลานัดมาเกือบ 10 นาทีแล้วนะคะ ขอฉันลงไปก่อนไม่ได้หรือคะ”
“ไม่ได้จริงๆค่ะ ทางกัปตันสั่งเอาไว้ ต้องขอโทษด้วยนะคะ กรุณาอีกสักเดี๋ยวนะคะ”
“ผมเองก็นัดกับลูกค้าเอาไว้เหมือนกัน เกินเวลามาแล้วด้วย แบบนี้ธุรกิจของผมเสียหายนะครับ แล้วแบบนี้ใครจะรับผิดชอบครับ” ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของปาริชาติแทรกตัวขึ้นมายืนข้างๆกับกับหญิงสาวด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง
“ต้องขอโทษจริงๆค่ะ มีเหตุฉุกเฉินด่วนจริงๆ” แอร์โฮสเตสสาวหันไปยกมือไหว้อย่างขอโทษ
ปาริชาติมองออกไปทางลานจอดเครื่องบินทางด้านหน้า เครื่องบินสีดำลำหนึ่งมีตราธงชาติติดเอาไว้แต่เธอไม่รู้ว่าเป็นประเทศอะไรจอดขวางทางเครื่องบินลำที่เธอโดยสารมา แล้วถ้าเธอเดาไม่ผิดผู้ชายในชุดอาหรับสีดำที่กรูกันลงมาจากเครื่องนั้นน่าจะบ่งบอกถึงฐานะของคนที่อยู่บนเครื่องบินลำนั้นได้ดีทีเดียว น่าจะเป็นคนใหญ่คนโตหรือไม่ก็เชื้อพระวงศ์จากประเทศไหนสักที่หนึ่ง ความไม่พอใจและความหงุดหงิดพุ่งขึ้นมาอย่างฉับพลัน ปาริชาติไม่ชอบอยู่แล้วกับพวกที่ไปไหนมาไหนแล้ววางอำนาจไปทั่ว ทำไมไม่คิดบ้างว่าผู้โดยสารคนอื่นหรือเครื่องบินลำอื่นเขาก็รีบร้อนและมีธุระเหมือนกัน
“คุณให้พวกเรารอเพื่อให้คนที่อยู่บนเครื่องบินลำนั้นลงไปก่อนใช่ไหม?” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“ค่ะ เจ้าชายวาคิมเสด็จแวะมาที่นี่อย่างกะทันหันค่ะ คุณรออีกสักครู่นะคะ” แอร์โฮสเตสสาวอธิบายเพื่อให้ผู้โดยสารของตนเองหายหงุดหงิด แต่นั่นมันก็ยิ่งทำให้สาวไทยใจกล้าอย่างปาริชาติโมโหมากขึ้นไปอีก
“คุณค่ะที่เราเดินทางมาโดยเครื่องบินก็เพื่อความรวดเร็วนะคะ แล้วอย่างคุณคนนี้!” หญิงสาวมองชายที่ช่วยเธอโวยเมื่อครู่ก่อนพูดต่อ “เขาอาจสูญเสียเงินไปมหาศาลเลยก็ได้นะคะกับการรอคนเพียงคนเดียว แล้วถ้าเกิดมีเชื้อพระวงศ์จากประเทศไหนมาอีกพวกเราไม่ต้องนอนกันอยู่บนเครื่องบินหรือคะ” ปาริชาติหันมาทางชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆกับเธอแล้วหันไปมองหน้าที่สีซีดลงของแอร์โฮสเตสสาวทั้งสอง
“เอ่อ...คือว่าทุกท่านใจเย็นๆก่อนนะคะ เดี๋ยวทุกท่านก็ได้ลงจากเครื่องแล้ว” เสียงหวานๆนั้นไม่อาจทำให้ปาริชาติใจเย็นลงได้เลย เธอหนีมาจากพวกวางอำนาจบาตรใหญ่ แต่กลับต้องมาเจอคนจำพวกนี้ที่นี่อีกหรือ นี่เธอจะหนีไม่พ้นเรื่องแบบนี้เลยหรือไงนะ
“เฮ้อ...” หญิงสาวถอนหายใจออกมา แล้วยืนกอดอกเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น สายตาจ้องไปยังเครื่องบินโดยสารส่วนตัวตรงหน้า บันไดทางออกผู้โดยสารอยู่แค่เอื้อมแต่เธอกลับเดินออกไปจากหน้าประตูเครื่องบินไม่ได้ คิดแล้วก็น่าขำดีใช่เล่น และถ้าได้ไปเล่าให้สร้อยสะบันงาฟังคงขำกลิ้งน่าดู
ปาริชาติยืนรอด้วยความข่มใจอยู่เกือบ 3 นาที แต่แล้วความอดทนหญิงสาวก็หมดลงจนได้ ในนาทีนั้นเองเธอก็เดินผ่าแอร์โฮสเตสสาวทั้งสองออกไปยังทางเดินผู้โดยสารแล้ววิ่งอย่างรวดเร็วโดยไม่ฟังคำเรียกที่ดังมาจากแอร์โฮสเตสสาวทั้งสอง
“เดี๋ยวค่ะคุณ! กลับมาก่อน คุณ! ผู้หญิงอะไรกัน สวยดีอยู่หรอกแต่ดื้อรั้นชะมัด” แอร์โฮสเตสสาวคนหนึ่งพูดขึ้น
“อย่ามัวแต่พูดเลย รีบไปจับตัวเอาไว้ก่อน เดี๋ยวได้ชนเข้ากับขบวนเสด็จหรอก แล้วเราสองคนจะเดือดร้อน” แอร์โฮสเตสสาวอีกคนพูดขึ้นพร้อมกับหน้าซีดลงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
“อืม..จะรีบไปเดี๋ยวนี้” พูดจบร่างบางก็รีบวิ่งตามผู้โดยสารสาวไป
ปาริชาติวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อให้พ้นออกมาจากทางออก แต่ฝีเท้าของเธอก็ต้องชะลอลงเมื่อเห็นกลุ่มคนกลุ่มใหญ่เดินอยู่ทางด้านหน้า หญิงสาวเดาได้ทันทีว่าน่าจะเป็นขบวนเสด็จของเจ้าชายที่แอร์โฮสเตสสาวพูดถึง ซึ่งทางด้านหลังขบวนเสด็จนั้นเป็นพวกเหล่าบอดี้การ์ดและทหารองครักษ์เป็นนางกำนัลเกือบ 10 คน ตามลำดับต่อๆ กันมา และด้วยความว่องไวประกอบกับไหวพริบที่มีอยู่ ปาริชาติจึงรีบเดินเข้าไปแอบอยู่ในกลุ่มคนมากมายนั้นพร้อมหลบไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งซึ่งทำให้แอร์โฮสเตสสาวที่วิ่งตามเธอมาไม่สามารถสังเกตุเห็นได้
“หายไปไหนแล้วนะ ไวจริงๆ คนหรือลิงกันแน่เนี่ย”
แอร์โฮสเตสสาวบ่นอุบอิบแล้วหยุดฝีเท้าลงเมื่อเห็นขบวนเสด็จอยู่ด้านหน้า เธอนึกภาวนาในใจว่าขออย่าให้หญิงสาวคนนั้นไปวิ่งตัดหน้าเจ้าชายวาคิมเลย ไม่งั้นเธอกับเพื่อนได้พักงานยาวแน่ๆ แต่มองหาเท่าไรก็หาผู้โดยสารของตัวเองไม่เจอ จึงได้ตัดสินใจเดินกลับไปที่เดิม
“เป็นไงเธอหาเจอหรือเปล่า” เพื่อนที่ยืนรอลุ้นอยู่ถามทันทีที่อีกคนเดินมาถึง
“ไม่เจอ ไม่รู้ไปอยู่ตรงไหน ฉันไม่กล้าไปหาต่อเพราะขบวนเสด็จออกมาพอดี”
“แย่แน่ๆคราวนี้ แล้วมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ไหมเนี่ย ไม่น่าเลยจริงๆ เราไม่น่ามาเที่ยวบินนี้เลย” แอร์โฮสเตสสาวที่ยืนรออยู่พูดอย่างสงสารตัวเอง
“ทำไงได้ เราจะโทษผู้โดยสารก็ไม่ได้ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะ ใจเย็นๆเอาไว้ก่อน คิดในทางที่ดีเอาไว้ ถ้ามีเรื่องป่านนี้คงเอะอะโวยวายกันแล้ว อย่าเพิ่งคิดอะไรให้มากไปเลย” อีกคนพูดอย่างปลอบใจทั้งตัวเองและเพื่อนร่วมงาน อีกคนพยักหน้ารับอย่างช้าๆแต่สีหน้าของทั้งสองก็ยังเป็นกังวลอยู่มาก
ส่วนปาริชาติที่พยายามทำตัวให้กลมกลืนกับคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่ชุดซึ่งใส่อยู่ไม่ค่อยอำนวยเสียเท่าไหร่ก็เงยมองไปทางเบื้องหน้าก่อนจะเหลือบหางตามามองบรรดาสาวๆที่คลุมหน้าเดินอยู่ข้างๆ เธอนึกดีใจที่สาวๆเหล่านี้เดินก้มหน้างุดอย่างเดียวและไม่สนใจใครเลย และหญิงสาวก็คิดอยู่ในใจว่ามันคงเป็นประเพณีของประเทศนี้นี่เอง
‘อีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะถึงทางออกผู้โดยสารแล้ว รอก่อนนะเพื่อนรัก ฉันมีเรื่องสนุกๆจะเล่าให้ฟังอีกแล้ว’ ปาริชาติคิดในใจ
ท่ามกลางผู้คนมากมายในห้องโถงกว้างของอาคารผู้โดยสารขาเข้ากำลังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นวุ่นวาย เนื่องจากมีขบวนใหญ่โตของชายหญิงซึ่งแต่งกายด้วยชุดแบบชาวอาหรับหลายคนกำลังเดินเข้ามาด้านใน อีกทั้งชายซึ่งเดินอยู่เบื้องหน้ากลุ่มคนเหล่านั้นก็ช่างเป็นที่น่าจับตามองยิ่งนัก
เจ้าชายวาคิมในชุดสีขาวแบบอาหรับเหมือนทุกคน แต่แตกต่างตรงที่เนื้อผ้าและการตัดเย็บซึ่งคาดด้วยสีทองประจำพระราชวงศ์ กำลังเดินนำหน้ากลุ่มคนทั้งหลาย ถึงแม้จะเป็นการตามห่างๆ จากทหารรักษาพระองค์ซึ่งวิ่งไปเคลียร์พื้นที่ล่วงหน้าก่อนเป็นหลายเมตรแล้วก็ตาม
ดวงเนตรสีน้ำทะเลของราชนิกูลหนุ่มมองบ้านเมืองซึ่งเพิ่งเคยเหยียบลงเป็นครั้งแรก และเริ่มเห็นถึงความตื่นเต้นของชาวเมืองที่โดนทหารกั้นไม่ให้เข้าใกล้รัศมี เจ้าชายรูปงามทรงแย้มพระสรวลน้อยๆ ก่อนก้าวไปตามทางข้างหน้า ซึ่งถูกเคลียร์พื้นที่ไว้ให้แล้ว
“เจ้าชาย ทรงอยากเที่ยวที่นี่จริงๆ หรือ ที่จริงป่านนี้เจ้าหญิงฟารียาคงกำลังรอพระองค์อยู่ที่สนามบินฟาริทแล้ว” ซาอิดทหารรักษาพระองค์คนสนิทซึ่งเดินอยู่ข้างๆ ทูลกับราชนิกูลหนุ่มเบาๆ
“นั่นแหละ สาเหตุที่ฉันยังไม่อยากกลับ”
“ทรงพูดแบบนี้เจ้าหญิงจะเสียพระทัย”
“งั้นนายช่วยเปลี่ยนมาเป็นฉันทีสิ เผื่อจะทำให้ฟารียาไม่ต้องเสียใจ”
คำตรัสยอกย้อนของเจ้าชายหนุ่มทำให้ซาอิดส่ายหน้า เพราะที่จริงวันนี้ขบวนของเจ้าชายวาคิมซึ่งเดินทางกลับจากการไปเป็นเกียรติในงานพิธีสำคัญของราชวงศ์สวีเดน ต้องเดินทางถึงฟาริทแล้วตามหมายกำหนดการ แต่ครั้นพอราชนิกูลหนุ่มก้าวขึ้นบนเครื่องบินพระที่นั่งได้สักครู่ใหญ่ พระองค์ก็รับสั่งว่า
“อยากไปเที่ยวประเทศไทย เพื่อนๆ ที่อังกฤษเคยเล่าให้ฟังว่าสวยมาก”
“แต่ว่า...” มิใยที่หลายๆ คนต่างตั้งท่าจะทักท้วง หากแต่เจ้าชายวาคิมก็ส่งสายตาดุๆ มาให้ทันที และนั่นก็เป็นสาเหตุให้กัปตันต้องขอเส้นทางการบินใหม่และหันหัวมาจอดลง ณ สนามบินจังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย ดังเช่นเวลานี้
และเมื่อเป็นแบบนั้นซาอิดจึงต้องเจรจากับตัวแทนของสายการบินไปชุดหนึ่งแล้วว่าจะขอจอดเครื่องบินที่นี่ชั่วคราว เพราะเขารู้ดีว่าเจ้าชายวาคิมนั้นคงไม่ชื่นชอบเมืองธรรมชาติไปมากกว่าเมืองศิริไลซ์อย่างกรุงเทพฯ หรอก ด้วยเหตุนี้เองเขาถึงสั่งนักบินให้บังคับเครื่องลงที่สนามบินย่อยในเมืองไทยดีกว่าเนื่องจากไม่อยากให้ทรงเที่ยวเตร่อยู่นานนัก หากเมื่อมาถึงแล้วรู้ว่าที่นี่ก็ศิวิไลซ์ไม่แพ้เมืองหลวงของประเทศไทย นายทหารองครักษ์ก็ชักเริ่มกุมขมับเสียแล้ว ซาอิดส่ายศีรษะด้วยความกลัดกลุ้ม และระหว่างที่กำลังก้มหน้านั้นเอง เขาก็ก้าวชนด้านหลังพระวรองค์สูงใหญ่ของเจ้าชายวาคิมซึ่งอยู่ดีๆ ก็หยุดยืนนิ่งในทันที!
เหตุเพราะบัดนั้น ณ ที่ว่างซึ่งถูกเว้นไว้ให้ขบวนของเจ้าชายแห่งฟาริทเสด็จผ่าน ได้ปรากฏร่างอรชรในชุดไทยประยุกต์ เสื้อเกาะอกสีขาวครีมผ้าซิ่นสีเข้มลายโบราณรัดทรวดทรงสวยงามยืนอยู่พร้อมๆ กับเจ้าหน้าที่หญิงในเครื่องแบบของสนามบินอีกสองคน