ตอนที่ 2 เพื่อนรักที่ตายแทนกันได้
ร่างบางสูงโปร่งในชุดทำงานที่ทันสมัยสีครีมของปาริชาติยืนทอดสายตานิ่งมองลงไปยังชั้นล่างของอาคารเรียนของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งให้ทุนหญิงสาวได้ไปเรียนต่อที่เมืองนอกและเมื่อจบเธอก็ได้กลับมาเป็นอาจารย์สอนที่นี่เพื่อชดใช้เงินทุนจำนวนนั้น เธอรู้สึกภาคภูมิใจไม่น้อยที่เป็นส่วนหนึ่งในการที่จะช่วยพัฒนาบุคลากรของประเทศไทย
ปาริชาติสะดุ้งเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อดังขึ้นและดึงเธอออกมาจากห้วงความคิด มือเรียวเลื่อนลงไปหยิบมันขึ้นมา ร่างเพรียวบางหันกลับมาช้าๆ ผมยาวตรงถึงกลางหลังสีดำสนิทสะบัดไปทางด้านหลัง ใบหน้ารูปไข่ที่ตกแต่งเอาไว้ด้วยจมูกโด่งเป็นสัน คิ้วหนาเรียวได้รูปและริมฝีปากบางสีชมพูระเรือนั้นแย้มยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นชื่อที่โชว์อยู่ที่หน้าจอแล้วกดปุ่มรับสายทันที
“แหม..นึกว่าลืมกันไปเสียแล้วนะ วันนี้ว่างหรือไงถึงได้โทรมาหาปาได้” น้ำเสียงของคนพูดออกจะงอนนิดๆแต่ไม่จริงจังนัก
“ฉันไม่มีทางลืมเธอหรอกน่าปา ฉันเพิ่งว่างจริงๆ ไม่รู้ว่างานมันมาจากไหนมากมายขนาดนี้” สร้อยสะบันงาบอกเพื่อนพลางบ่นถึงงานประชาสัมพันธ์ในสนามบินเชียงใหม่ซึ่งตนเองทำอยู่ “พอว่างปุ๊บก็โทรหาเธอทันทีเลยนะเนี่ย” เสียงคนปลายสายพูดปนกลั้วเสียงหัวเราะออกมาอย่างขำๆ
“จร้า คุณประชาสัมพันธ์คนสวย แล้วเป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า”
“สบายดี แล้วเธอล่ะปา เป็นยังไงบ้าง” เสียงถามอย่างอ่อนโยนของสร้อยสะบันงาแสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยในตัวเพื่อนสาว
“สบายดี แต่คิดถึงสร้อยจังเลย ปาอยู่ที่นี่เหงามากเลยนะไม่มีเพื่อนคุยถูกใจเหมือนกับสร้อยเลย” ปาริชาติหยอดลูกอ้อนลงไปตามสาย
“แหม...อ้อนจริงนะ แล้วไม่มีใครเข้ามาจีบให้หายเหงาปากหรือไง หรือว่าพวกนั้นกลัวฝีปากของเธอจนเข็ดขยาดกันหมดแล้ว ฮึ ฮึ” เจ้าสร้อยสะบันงาหัวเราะในลำคออย่างชอบใจเมื่อนึกวาดภาพชายหนุ่มที่เข้ามาจีบเพื่อนสาวแล้วโดนตะเพิดออกไปคนละทาง 2 ทาง
“ลองเข้ามาสิ ฉันจะจับฉีกอกให้ดู ฮึ ฮึ” หญิงสาวหัวเราะอย่างขำๆ
“ระวังนะดุแบบนี้จะหาสามีไม่ได้” เสียงอีกฝ่ายเย้า
“ไม่มีก็ไม่เห็นเป็นไรเลย พอใช้หนี้เงินทุนหมด ฉันก็ไปอยู่กับเธอให้ลูกๆ ของเธอเลี้ยงฉันไปด้วยไง ในฐานะเพื่อนของแม่ ดีไหม ฮิ ฮิ “ ปาริชาติหัวเราะคิกคักเช่นเดียวกับคนปลายสายที่หัวเราะจนน้ำตาคลอ
“นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เจอกันเลย” หญิงสาวผู้มีเชื้อเจ้าทางเหนือเอ่ยขึ้นช้าๆ
“3 เดือน หรือว่า 4 เดือนได้แล้วมั้ง” หญิงสาวเมืองกรุงตอบก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆ
“วันเวลามันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน แต่ฉันคิดว่าพวกเราเพิ่งจบกันมาไม่นานนี้เองนะ จะว่าไปแล้วไม่รู้ว่าป่านนี้เจ้าหญิงฟารียาจะเป็นยังไงบ้าง” สร้อยสะบันงานึกไปถึงเจ้าหญิงแห่งประเทศฟาริทที่ได้พบเจอและคบหากันเป็นเพื่อนตอนไปเรียนที่ออสเตรเลีย
“รายนั้นก็คงจะไม่มีอะไรมาก คงสบายมากอยู่แล้ว มีคนรองมือรองเท้าให้ใช้สอย ไม่ลำบากอะไรหรอกอย่าเป็นห่วงเขานักเลย ห่วงตัวเองก่อนเถอะ ได้พักผ่อนเต็มที่หรือเปล่า อย่าโหมงานหนักนักล่ะเดี๋ยวจะไม่สบายไป”
“จ้า พอพูดถึงเพื่อนรักเข้าหน่อยก็ทำเป็นของขึ้นเลยนะ”
“เพื่อนรัก รักมาก...จนลับฝีปากกันทุกวัน วันไหนไม่ได้ทะเลาะกันมีหวังไม่ฉันก็เจ้าหญิงนั่นแหละที่จะนอนไม่หลับ”
ปาริชาติหวนนึกไปถึงเมื่อครั้งที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่ประเทศออสเตรีย ซึ่งถึงแม้ว่าเธอกับเจ้าหญิงฟารียาและสร้อยสะบันงาจะเป็นเพื่อนกัน แต่ระหว่างหญิงสาวกับเจ้าหญิงฟารียามักจะขัดคอกันเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรือว่าเรื่องอื่นๆ
และด้วยความเอาแต่ใจ อีกทั้งเจ้าอารมณ์ของเจ้าหญิงเมืองไกลทำให้ปาริชาติไม่พอใจอีกฝ่ายอยู่เนืองๆ ส่วนกับสร้อยสะบันงานั้น เธอเป็นลูกผู้ดีเก่าถึงแม้เชื้อสายจะห่างไกลจากพวกเจ้าพวกนายมากแล้วก็ตาม แต่กิริยามารยาทก็งามสมกับเป็นกุลสตรี รวมทั้งไม่เหย่อหยิ่ง ไม่ถือตัวแล้วก็ไม่ดูถูกผู้อื่น จึงเข้ากับใครๆ ได้ง่าย สรุปแล้วฝ่ายหลังจึงต้องคอยเป็นกรรมการ โดยปรามๆ ทั้งเพื่อนสนิทอย่างปาริชาต หรือส่งสายตาคมๆ ห้ามเจ้าหญิงฟารียาอยู่เป็นประจำ
“จริงสิ!” สร้อยสะบันงาร้องขึ้น “คุยกันจนเกือบลืมแน่ะ ที่ฉันโทรมาก็อยากจะชวนปามาเที่ยวที่บ้าน คนที่บ้านฉันอยากเจอปามาก ได้ยินสรรพคุณของปาแล้วเขาอยากเห็นตัวจริงกัน”
“สร้อยเผาอะไรปาเอาไว้บางล่ะ สงสัยคงจะไหม้เกรียมไปแล้วมั้ง ฮึ ฮึ ฮึ” ปาริชาติหัวเราะชอบใจ
“โธ่...ใครจะเผาเพื่อนรักได้ลงคอ ฉันก็เล่าแต่ความดีของเธอทั้งนั้นแหล่ะ ฉันไม่ใช่คนขายเพื่อนนะจ๊ะ” อีกฝ่ายบอกเสียงหวาน
“มีเพื่อนที่น่ารักก็ดีแบบนี้แหล่ะ” หญิงสาวชาวเมืองคลี่ยิ้มออกมา
“แล้วจะมาได้หรือเปล่า” สร้อยสะบันงาถามแล้วนิ่งรอฟังอย่างใจจดจ่อ
“อืม...วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้เลยเป็นไง ปาจะลาพักร้อนสัก 7 วัน ตอนนี้ปาก็รู้สึกเบื่อๆกับความวุ่นวายในกรุงเทพฯเต็มทีแล้วเหมือนกัน อากาศก็ร้อน รถก็ติด คนก็จู้จี้น่ารำคาญ”
“ได้เลย ฉันจะรีบไปบอกทุกคนให้เตรียมรอต้อนรับสาวสวยจากเมืองกรุง” สาวเมืองเหนือยิ้มแย้มอย่างดีใจก่อนหยอกเพื่อนอีกครั้ง “แล้วก็อย่าบ่นมากนักนะเดี๋ยวแก่เร็ว”
“ก็มันเรื่องจริงนี่นา หลบความวุ่นวายไปหาความสงบทางจิตใจเสียบ้าง ถือว่าชาร์ตแบตเตอร์รี่ให้กับตัวเองละกัน ส่วนสร้อยน่ะเตรียมบ้านต้อนรับปาเอาไว้ได้เลย อ้อ..แล้วก็อย่าลืมทำอาหารทางเหนือเอาไว้ด้วยนะ ปาอยากกิน พูดแล้วน้ำลายไหลเลยนะเนี่ย ฮึ ฮึ ฮึ”
“จ้า ฉันจะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเลย งั้นแค่นี้ก่อนนะแล้ววันอาทิตย์เจอกัน แล้วเธออย่าลืมโทรมาบอกฉันด้วยนะว่าจะมาเที่ยวไหน”
“ได้จ้ะ แล้วเจอกัน” พูดจบปาริชาติก็กดวางสายลงก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เป็นเวลาเข้าทำงานในช่วงบ่ายของเธอพอดี หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่เหมือนกับจะต้องเตรียมเพื่อไปสู้รบปรบมือกับใครหรืออะไรบางอย่าง ขาเรียวก้าวเข้าไปในห้องทำงานที่น่าเบื่อแห่งนั้นอีกครั้ง
ที่จริงเธอมีความฝันว่าถ้าใช้หนี้เงินทุนหมดก็จะลาออกจากที่นี่แล้วขึ้นไปหางานทำที่เชียงใหม่แทน หญิงสาวชอบสภาพพื้นที่ บรรยากาศรวมทั้งนิสัยใจคอที่เอื้อเฟื้อของคนทางเหนือเพราะมันทำให้หญิงสาวที่กำพร้าอย่างเธอรู้สึกอบอุ่น ไม่รู้สึกว่าอยู่คนเดียวบนโลกนี้
สนามบินจังหวัดเชียงใหม่
สร้อยสะบันงาอยู่ในชุดไทยล้านนาประยุกต์ซึ่งประกอบด้วยเสื้อเกาะอกสีขาวครีมและผ้าซิ่นสีเข้มลวดลายไทยโบราณซึ่งช่วยเน้นทรวดทรงอรชรแบบสาวเหนือของเธอให้ดูน่ามองยิ่งขึ้น หญิงสาวกำลังนั่งอยู่บนโซฟาในส่วนที่พักของพนักงาน เนื่องจากกำลังรอให้สายการบินประกาศเที่ยวบินซึ่งปาริชาติเดินทางมาเพื่อที่ตนเองจะได้ลงไปรับอีกฝ่ายเสียที
“ทำไมไม่มาซักทีนะ”
หญิงสาวแตะผมยาวของตนซึ่งถูกจับมวยไว้ทางด้านหลังพร้อมปักด้วยดอกสะบันงาหอมกรุ่นก่อนเงยหน้ามองนาฬิกาแขวนผนังซึ่งเข็มสั้นชี้ไปที่เลขเก้า แล้วก็เริ่มไม่สบายใจ เนื่องจากบัดนี้เลยเวลานัดหมายระหว่างตนเองกับปาริชาติมามากแล้ว และตัวเธอเองก็รีบถึงขนาดที่ไม่ได้เปลี่ยนชุดจากงานทำบุญกลางบ้านในตอนเช้าตรู่เลยด้วยซ้ำ โดยนั่นทำให้หญิงสาวไม่ยอมลงไปยืนแกร่รอเพื่อนในที่พลุกพล่านเช่นห้องโถงอาคารผู้โดยสารขาเข้า แต่แล้วเมื่อคิดได้ว่านี่เป็นเวลานานเกินไป สร้อยสะบันจึงขยับไปกดโทรศัพท์สายในซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ข้างๆ และถาม
“เที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ยังมาไม่ถึงอีกหรือจ๊ะ” ซึ่งเมื่อแผนกประชาสัมพันธ์ด้านล่างได้ยินเสียงของหญิงสาว ปลายสายก็ร้องขึ้นอย่างดีใจทันที
“เจ้าสร้อย” พนักงานซึ่งเป็นคนในจังหวัดนี้และรู้จักตระกูลของเธอดีมักจะเรียกตนเองแบบนี้แม้หญิงสาวจะพยายามห้ามและบอกว่าเธอนั้นปลายแถวจนไม่ต้องมียศศักดิ์นำหน้าแล้วก็ตาม แต่ครั้นพอห้ามไม่ฟังนานๆ เข้าจึงต้องปล่อยเลยตามเลยไป “เจ้าสร้อยรู้ไหมตอนนี้สนามบินเรากำลังวิกฤติแล้ว”
คนปลายสายนอกจากจะไม่ตอบคำถามแล้ว เธอยังมีน้ำเสียงที่พร้อมจะเล่าเรื่องตื่นเต้นให้สร้อยสะบันงาฟังอีกต่างหาก
“รู้ไหม ตอนนี้มีเครื่องบินไม่ปรากฏสัญชาติมาขอลงในสนามบินของเรา”
“อะไรนะคะ”
“ตอนนี้ข้างบนกำลังยุ่งกันใหญ่เลยรู้ไหม เพราะหาคนออกไปเจรจาไม่ได้ จะส่งการ์ดออกไปก็กลัวจะไปตีกันมากกว่าพูดคุย แผนกประชาสัมพันธ์ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะส่งใครออกไป” หากพอจะบอกเล่าเก้าสิบต่อไปเสียงผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งออกแนวดุๆ ก็ดังขึ้นเบื้องหลังของสร้อยสะบันงาทันที
“ใครน่ะ ใครอยู่ตรงนั้น”
สาวร่างอรชรในชุดไทยจึงหันกลับมามองพร้อมบอกปลายสายว่าตนต้องวางแล้ว เธอลุกขึ้นยืนก่อนกระพุ่มมือไหว้เจ้าของเสียงดุๆ นั้นตามวิสัยที่ได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี ทว่าพอคนที่ดุเห็นลักษณะท่าทีพร้อมดูชัดเจนแล้วว่าร่างงามนั้นคือใคร เสียงร้องอีกครั้งก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นดีใจทันที
“เจ้าสร้อย เจอพอดีเลย มานี่ๆ” เธอคว้าข้อมือเล็กๆ ของสร้อยสะบันงาพร้อมลากให้เดินมาคุยกัน
“มีอะไรหรือคะพี่นิ่ม” คนโดนดึงถามผู้ช่วยผู้จัดการแผนกอย่างแปลกใจ
“ก็เรื่องเครื่องบินลำนั้นนั่นแหละเจ้าสร้อย เห็นพวกที่ออกไปเจรจาชุดแรกบอกว่าเป็นเครื่องบินมาจากซีกโลกตะวันออกกลาง เห็นบอกว่าเป็นพวกมีเชื้อเจ้าเสียด้วยนะ” พี่นิ่มของสร้อยสะบันงามองหน้าสาวสวยก่อนยิ้มหวาน “คือตอนนี้...พี่อยากให้เจ้าสร้อยช่วยออกไปต้อนรับทีน่ะจ๊ะ”
“แต่วันนี้สร้อยหยุดนะคะ”
“ถือว่าช่วยสนามบินเถอะนะเจ้าสร้อย เรื่องภาษา และกิริยาท่าทางน่ะ ไม่มีใครสู้เจ้าสร้อยได้อยู่แล้ว แถมยังใส่ชุดสวยแบบนี้อีก เหมาะเจาะพอดีเลย คือเรื่องนี้มันกระทันหันมากเลยน่ะเจ้าสร้อย ผู้จัดการก็ไม่อยู่ด้วย” คนเคยเสียงดุกลับส่งเสียงอ้อน “นะ ไปต้อนรับให้พี่หน่อยนะ”
“แต่สร้อยรอเพื่อนอยู่นะคะ”
“ไม่เป็นไรสั่งไว้ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”
สร้อยสะบันงาแอบระบายลมหายใจน้อยๆ แต่ที่สุดแล้วเธอตกปากรับคำไปจนได้