๔ อยากเล่นกับไฟ (๑)
๔
อยากเล่นกับไฟ
เมื่อขับรถชนถังขยะล้มเพราะไม่มองทาง เอาแต่เบิกตากว้างจนโตเท่าไข่ห่านหลังเห็นฉากสวีทของเฌอรีนากับผู้ชายหน้าหล่อ ยืนพลอดรักยามเช้าที่หน้าบ้านไม่อายใคร ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจจนไม่เป็นอันทำการทำงานทั้งวัน
เขาไม่มีบินจึงเลือกเข้าบริษัท ไม่คิดว่าการออกจากบ้านครั้งนี้จะทำให้ใจที่งุ่นง่านยิ่งร้อนระอุมากกว่าเดิม ลำพังเธอหายไปหลายวันก็ชะเง้อมองนอกรั้วจนคอจะยาวเป็นยีราฟอยู่แล้ว พอมาเจอร่างบางกำลังไปได้ดีกับผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างที่ตนนึกหวัง
กลับไม่ได้รู้สึกยินดี...
รู้ทันทีว่าตนกำลังหวงก้างทั้งที่ไม่ควรรู้สึกอย่างนั้น เห็นหล่อนไปได้ดีก็ควรดีใจไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมต้องมานั่งคิดฟุ้งซ่านด้วยล่ะ เป็นแบบนี้ไม่ดีแน่
“หยุดคิด หยุดคิดไงวะ” ถึงจะนั่งดูภาพยนตร์แต่เนื้อเรื่องไม่เข้าหัวสักนิด เขาเอาแต่คิดถึงภาพของหญิงสาวข้างบ้านที่พลอดรักกับชายรุ่นราวคราวเดียวกัน เผลอมองอย่างตกตะลึงจนไม่รู้ตัวว่ารถของตนไปชนถังขยะจนมันล้ม
คิดจะขับหนีแต่ดูไร้ความรับผิดชอบ จึงตัดสินใจลงไปยกถังขยะตั้งตรงแล้วค่อยขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ากระทั่งจะหันไปมองคนทั้งสองด้วยซ้ำ
ทั้งที่บอกให้เธอมีคนอื่น แต่เป็นเขาเองที่ไม่อาจปล่อยวางเรื่องของเฌอรีนาได้ กลับมาถึงบ้านก็คิดไม่หยุด นั่งถอนหายใจหลายรอบแล้วนึกโกรธตัวเอง
เขารักเธอ...เธอเองก็รักเขาเช่นเดียวกัน
สองหัวใจตรงกันแล้วมีสิ่งใดให้กลัว สิ่งเร้าภายนอกที่ควบคุมไม่ได้อย่างนั้นเหรอ ในเมื่อเรื่องมันยังไม่เกิดแล้วทำไมต้องเก็บมาคิดล่ะ
กองปราบเพิ่งกล้าเมื่อคิดว่ากำลังจะสูญเสียเธอให้คนอื่น คิดว่าตนเองคงทำใจได้หากเฌอรีนาพบคนที่เหมาะสม แต่ใจก็ค้านขึ้นมาว่าหัวใจของหล่อนมีเขาอยู่เต็มดวง แล้วจะยกให้คนอื่นได้อย่างไร
สิ่งที่คิดว่าทำเพื่อเฌอรีนา...หรือแท้จริงแล้วทำเพื่อไม่ให้คนอื่นมองตัวเองว่าคบเด็กกันแน่
เขาห่วงสายตาคนนอกมากกว่าความรู้สึกคนที่รักตนหรือเปล่า
คิดสระตะอยู่คนเดียวหลายนาทีจนเริ่มฟุ้งซ่าน เขาจึงหยิบโทรศัพท์แล้วกดโทรออกหาเพื่อนสนิท อย่างน้อยต้องออกไปข้างนอกเพื่อไม่ให้คิดมากเรื่องของหล่อน ไม่อยากใช้เวลาอยู่คนเดียว สงสัยคงต้องพึ่งเพื่อนสนิทแล้วล่ะ
“ฮัลโหล ค่ำนี้มึงว่างไหม ว่าจะชวนไปหาอะไรกิน” รอสายไม่นานก็มีคนรับ เขาจึงรีบเอ่ยชวนรวดเร็วเพราะไม่อาจทนอยู่คนเดียวได้
‘กูไม่ว่าง ต้องช่วยลูกทำงานศิลปะ มึงมีอะไรหรือเปล่า’ ลืมเสียสนิทว่าตอนนี้เพื่อนของเขามีลูกที่กำลังล่วงเข้าสู่วัยรุ่น
คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันมีครอบครัวไปหมดแล้ว คงมีเพียงตนที่ครองโสดมานานไม่ยอมตกลงปลงใจกับใครสักที ทั้งที่เปิดใจให้คนที่เข้ามาตลอดแต่ก็เหมือนไปไม่รอด ขนาดภรรยาเก่ายังสละโสดด้วยการเข้าพิธีวิวาห์
ทำไมเขาถึงยังโสดล่ะ...
“เปล่าหรอก มึงอยู่กับลูกเถอะ” เลือกวางสายแล้วให้เพื่อนสนิทอยู่กับลูก ส่วนตนก็เอนกายพิงพนักโซฟาเหมือนเดิม ดวงตาคมเหม่อลอยขณะมองภาพยนตร์ที่ถูกรันไปเรื่อยแต่ผู้ดูไม่มีปฏิสัมพันธ์กับวิดีโอตรงหน้าสักนิด
เริ่มเบื่อจนไม่อยากทำอะไร ดวงตาคมค่อยหลับลงแล้วฟังแค่เสียงภาษาอังกฤษจากหนังที่เลือกดู ซึ่งเขาก็แค่ฟังผ่านหูเท่านั้น จนสุดท้ายอยู่กับตัวเองทั้งห้องจึงกลายเป็นความเงียบในความรู้สึกของชายหนุ่มทันที
ดวงหน้าหวานยามแย้มยิ้มโผล่เข้ามาทักทายกระทั่งในความมืดจนต้องรีบลืมตาเพื่อพบความว่างเปล่า ทุกวันนี้น่าจะเป็นเอามากพอสมควร
ติ้งน่อง ติ้งน่อง ติ้งน่อง
“เชี้ย” เสียงออดดังหน้าบ้านจนคนที่กำลังเหม่อลอยสะดุ้ง เผลอสบถด้วยความเคยชินแล้วเหลียวหน้าไปทางประตู เริ่มสงสัยว่าใครมาหาตนในเวลาค่ำ จึงลุกยืนแล้วเดินไปทางด้านหน้า ออกจากตัวบ้านเพื่อไปเปิดประตูรั้ว
คิดว่าเป็นเพื่อนของตนสักคนหรือคนรู้จัก แต่ไม่คิดว่าคนที่ยืนตรงหน้าจะเป็นหญิงสาวที่ตนคิดถึงอยู่หลายวัน
“น้องเฌอ”
เฌอรีนานั่นเอง...
ใบหน้าหวานเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ เธอยื่นถ้วยลายไทยที่มีฝาปิดมาตรงหน้าเขา ราวกับถูกบังคับให้มาโดยที่ไม่เต็มใจ
“คุณแม่ให้เอากล้วยบวชชีมาให้อาปราบค่ะ” นิ่งค้างมองดวงหน้าหวานด้วยความคิดถึง แต่ยังคงไว้ท่าทีเหมือนเดิม ค่อยรับถ้วยนั้นมาถือเอาไว้ ประคองอย่างระมัดระวังแล้วแอบแตะปลายนิ้วหล่อน จนเฌอรีนาถึงกับเงยหน้ามองเขาด้วยความตกตะลึง
การกระทำของเขาหมายความว่าอย่างไร แฝงความนัยอะไรหรือเปล่าถึงสะกิดปลายนิ้ว
“ขอบคุณครับ”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าอย่างไม่รู้สึกรู้สา หันหลังเตรียมเดินกลับบ้านของตัวเอง ขณะที่ดวงตาคมมองตามด้วยความสับสน ไม่รู้ว่าควรจะรั้งเธอเอาไว้หรือเปล่า
“น้องเฌอ...เข้ามาในบ้านก่อนไหม” แต่ปากก็ไปไวเกินกว่าสมองจะสั่ง เขาเรียกเธอพร้อมเอ่ยชวนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ปกติจะเป็นเฌอรีนาที่เดินเข้ามาในบ้านลิขิตสกุลโดยไม่ต้องให้เอ่ยชวนซะด้วยซ้ำ
วันนี้จึงต่างออกไป...
เธอแอบซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ภายใต้ดวงหน้าเรียบเฉย ไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์เมื่อเช้าจะทำให้คนที่ปิดใจยอมเปิดหัวใจให้ตนเอง คราวนี้อาจจะมีข่าวดีก็ได้ แต่ถ้ายอมเร็วไปคงไม่ดีเท่าไหร่ ต้องขอเล่นตัวสักหน่อย
“อาปราบไม่กลัวคนอื่นมองไม่ดีแล้วเหรอคะ” ใช้คำที่เขาเคยพูดกับตนมาถามบ้าง อยากรู้ว่าชายหนุ่มจะตอบอย่างไร กลายเป็นว่ากองปราบถอนหายใจแล้วยอมปล่อยเฌอรีนากลับบ้านโดยไม่รั้งเอาไว้ เขาไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเอง
“งั้นไม่...”
“เข้าค่ะ เฌอเข้า” พอเขากำลังจะปฏิเสธจึงรีบเดินเข้าไปในบ้านลิขิตสกุล เธอยอมลดราวาศอกเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจะบอกปัด อุตส่าห์มีโอกาสทั้งทีต้องรีบคว้าเอาไว้
เปิดประตูเข้าไปนั่งที่โซฟากลางห้องรับแขก ทำเหมือนเป็นบ้านของตัวเองแต่ยังคงทำหน้านิ่งดังเดิม ไม่แม้แต่จะปรายตามองเจ้าของบ้านซึ่งเดินผ่านไปรินน้ำใส่แก้วเพื่อมาเสิร์ฟหล่อน เขาเลือกน้ำส้มคั้นที่ซื้อมาจากซุปเปอร์มาเก็ต รู้ว่าเป็นของโปรดเฌอรีนาเพราะเธอเคยบอกตอนไปไร่
ไม่นึกว่าจะได้นำมาเสิร์ฟเจ้าตัวอีกครั้ง...
ร่างบางเห็นอย่างนั้นก็แทบกลั้นยิ้มไม่อยู่ แอบดีใจที่เขาใส่ใจตนเอง แต่พอดวงตาคมจ้องก็รีบหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว ทำการแสดงได้อย่างแนบเนียนเล่นเอากองปราบใจแป้ว
“น้ำครับ”
เธอทำเพียงพยักหน้าแล้วแสร้งมองทางอื่นโดยไม่แตะน้ำ นั่งนิ่งไม่เอ่ยอะไรสักคำยิ่งสร้างความกดดันให้คนที่ชวน กำลังพยายามทำให้เขารู้ว่าตนไม่ใช่เด็ก มีความเป็นผู้ใหญ่มากพอสมควร ซึ่งร่างสูงก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มอย่างไร
เสียงโทรทัศน์ที่เปิดไว้ยังพอทำลายความอึดอัดได้บ้าง แต่จะปล่อยให้เงียบโดยไม่มีการสนทนาก็ไม่อาจทำได้ สุดท้ายจึงเลือกเป็นฝ่ายถามข้อสงสัย
“เมื่อเช้าอาเห็นน้องเฌออยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง เพื่อนเหรอ หรือกำลังดูใจ” แค่เปิดเรื่องก็ทำให้เฌอรีนาหันมามองหน้าได้ หล่อนนั่งไขว้ห้างพลางถามกลับอย่างประชดประชัน ต้องการสื่อให้เขารู้ว่าตนทำตามความต้องการของกองปราบทุกอย่าง
กระทั่งเลือกคบกับผู้ชายที่อีกฝ่ายบอกว่าเหมาะสม ถึงจะไม่ได้รักก็ตาม...
“อาปราบคิดว่ายังไงล่ะคะ คิดว่าเขาเป็นแค่เพื่อนของเฌอหรือเปล่า แต่ต้องขอบคุณอาปราบที่ช่วยชี้ทางให้นะ ไม่อย่างนั้นเฌอก็คงไม่เจอคนที่เหมาะสม เข้ากับเฌอได้ทุกอย่าง ขอบคุณอาปราบมากๆ นะคะ” พูดจบก็คว้าน้ำส้มมาดื่มครึ่งแก้วเพื่อดับอารมณ์ร้อนที่สุมทรวง พูดเองก็โมโหเอง ไม่เข้าใจกองปราบที่พยายามผลักไสแต่ก็ยังเข้ามาทำให้เธอหวั่นไหวเช่นเดิม
ทั้งความรู้สึกของตนซึ่งไม่เคยเปลี่ยนไปเลย อยากให้เขาเป็นเพียงรักแรกที่อยู่ในใจ ส่วนตนก็สามารถคบกับคนอื่นได้ แต่ความจริงคือดวงตาคู่นี้ไม่อาจมองใครได้อีก หัวใจทั้งดวงก็เป็นของคุณอาข้างบ้านจนหมด
ที่สำคัญคือเธอมองออกว่าเขาก็รักตนเช่นเดียวกัน แล้วทำไมเราถึงจะเป็นแฟนกันไม่ได้
ความกลัวของกองปราบไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย ถ้าเราจับมือกันเพื่อข้ามผ่านอุปสรรคไปด้วยกัน เธอเชื่อว่าทุกคนต้องยอมรับ
“ถ้าน้องเฌอรักเขาจริง อาก็ยินดีด้วย” คำตอบของเขายิ่งทำให้เธอโกรธมากกว่าเดิม หญิงสาวกำหมัดแล้วเลือกจะเบี่ยงกายเพื่อคุยกับกองปราบที่นั่งอยู่โซฟาเดี่ยวเยื้องกัน ชายหนุ่มไม่รู้หรือไงว่าเธอกำลังประชด
ทำไมคนแก่เข้าใจอะไรยากแบบนี้นะ!
“คนที่เฌอรัก...อาปราบก็น่าจะรู้นะคะว่าใคร แต่เขาไม่ยอมรับรักเฌอ แล้วเฌอก็ไม่รู้จะง้อทำไม ถ้าเรื่องแค่นี้เขายังไม่กล้าก้าวข้ามไปกับเฌอ สู้ไปรักคนอื่นที่เขาพร้อมจะเดินเคียงข้างดีกว่า” จ้องตาเขาไม่ยอมหลบระหว่างที่พูดจนจบ
ร่างสูงนิ่งเงียบไม่ได้โต้ตอบเพราะกำลังเถียงกับใจของตัวเองว่าควรทำตามที่สมองบอกหรือหัวใจสั่ง ชั่งน้ำหนักแล้วอย่างใดจะดีกว่ากัน
อายุของพวกเขาห่างกันมากเกินไป เกรงจะมีปัญหาอีกมากมายตามมา แต่เรื่องนิสัยน่าจะพอเข้ากันได้จากที่รู้จักมักคุ้นกับเฌอรีนามาหลายปี
เรื่องที่เขาห่วงมากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของฌาร์ม เชื่อว่าอีกฝ่ายต้องไม่ยอมอย่างแน่นอน กลัวตนจะทำให้พ่อลูกทะเลาะกัน
“อาปราบมีอะไรอยากจะพูดอีกไหมคะ” เมื่อเห็นเขาเงียบไปนาน เธอจึงลองถามเหมือนเป็นการลองใจ
กองปราบเผยอปากเหมือนต้องการจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกถอนหายใจเสียงเบาพลางส่ายศีรษะเป็นการปฏิเสธ เขาไม่กล้าพอจะเดินออกจากความกลัว
“ไม่ครับ”
“แต่เฌอมีค่ะ” คราวนี้เฌอรีนาเริ่มโกรธจนไม่อาจระงับอารมณ์ของตัวเองได้ เธอขยับไปใกล้เขาแล้วหมายมั่นว่าถ้าวันนี้ไม่ได้ขยับสถานะกับกองปราบจะไม่เดินออกจากบ้านเด็ดขาด ถึงจะดูเป็นเด็กเอาแต่ใจก็ตาม
“เฌอขอจ้องตาอาปราบยี่สิบวิได้ไหม ถ้าอาปราบไม่หลบตาเฌอ ต่อจากนี้เฌอจะไม่มายุ่งหรือกวนใจอาอีก” ทบทวนเป็นอย่างดีแล้วขยับเข้าไปใกล้ร่างสูง เธอโน้มกายพลางยื่นใบหน้าไปใกล้เขา อยู่ห่างไม่ถึงคืบจนกองปราบถึงกับผงะ
ไม่คิดว่าเฌอรีนาจะเข้ามาใกล้ขนาดนี้...
“ได้สิ” แต่ก็ยังทำใจกล้ารับปาก อยากรู้เหมือนกันว่าหล่อนจะมาไม้ไหน
อีกอย่างแค่จ้องตาไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว เธอคงไม่ได้ประสงค์ร้ายกับเขาหรอก คิดในแง่ดีแล้วจ้องนัยน์ตาหวานที่ยิ่งมองก็ยิ่งหลงใหล เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธออยู่ใกล้มากแค่ไหน เหมือนว่ายิ่งจ้องตาก็เหมือนมีแม่เหล็กดึงดูดเข้าหากัน
“อื้อ!” สุดท้ายเฌอรีนาก็ประกบริมฝีปากเข้ากับปากหยัก พิสูจน์บางสิ่งให้แน่ใจว่าตนไม่ได้คิดฝันไปคนเดียว เขาเองก็มีใจตรงกัน
สัมผัสที่ได้รับส่งผลให้หนุ่มนักบินนิ่งอึ้ง เขาควรจะถอนกายออกทันทีแต่หัวใจกลับสวนทางเมื่อมันขบเม้มปากอวบอิ่มที่นึกโหยหามาตลอด แช่ค้างสักพักแล้วเริ่มขยับปาก ดูดกลืนความหวานด้วยความเผลไผล ร่างบางถึงจะไม่ค่อยมีประสบการณ์แต่ก็พยายามโต้ตอบ
ระยะเวลาเพียงไม่นานแต่กลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของฝ่ายตรงข้าม จนเธอไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไป
“น้องเฌอ! ทำไมทำแบบนี้” เมื่อหล่อนถอนริมฝีปากออก เขาก็ถามเสียงเข้มราวกับว่าโกรธอีกฝ่าย แต่ความจริงคือโกรธตัวเองที่เคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสนั้น
เขารู้แล้วว่าแพ้ทางเธอ...