๓ ไล่ไปแต่ใจห่วง (๒)
เขาเลือกนั่งเก้าอี้ชิงช้าที่อยู่ในสวนข้างบ้าน เอนกายพิงพนักแล้วใช้เท้ายันพื้นเพื่อตัวชิงช้าจะได้แกว่ง พอทำให้หัวสมองที่ตีบตันโล่งขึ้นมาบ้าง
“อาปราบนอนไม่หลับเหรอคะ” จากที่คิดว่าจะนั่งคนเดียวเพื่อคิดหาทางออกสำหรับความรู้สึกของตัวเองเงียบๆ คนต้นเหตุกลับโผล่มานั่งข้างกายพร้อมแจกรอยยิ้มหวานซะอย่างนั้นจนเขาต้องรีบหลบสายตา
“เปล่าหรอก อาแค่อยากนั่งดูพระจันทร์” เงยหน้ามองท้องฟ้า
พบว่าวันนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญ พระจันทร์จึงเปล่งแสงเหลืองนวลสวยงามตาจนไม่อาจละไปทางใดได้ เฌอรีนาเงยหน้ามองดวงจันทร์แล้วค่อยลดระดับสายตามามองคนที่อยู่ข้างกัน ซึ่งชวนมองมากกว่าดวงกลมบนท้องฟ้า
“เหมือนเฌอเลยค่ะ เฌอก็อยากดูพระจันทร์...วันนี้จันทร์เต็มดวงด้วย สวยนะคะ” เหตุของเธอเป็นเหมือนข้ออ้าง
โชคดีที่ห้องของตนอยู่ใกล้กับห้องของกองปราบ พอได้ยินเสียงเปิดประตูจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วแต่งหน้าพองามค่อยตามลงมาข้างล่าง อย่างน้อยก็ได้ใช้เวลาพูดคุยกัน เธอตัดสินใจแล้วว่าจะบอกความในใจให้เขาทราบ
บอกรักท่ามกลางแสงจันทร์...โรแมนติกน่าดู
“หนาวเหรอ ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าให้หนากว่านี้ล่ะ อาว่าเรากลับเข้าไปข้างใน...น้องเฌอ” พวกเขาต่างคนต่างเงียบ แต่เมื่อเห็นหล่อนห่อไหล่ทั้งที่ตัวสั่นก็ต้องถามด้วยความเป็นห่วง ตอนกลางวันร้อนพอตกกลางคืนกลับหนา อากาศประเทศไทยแปรปรวนเช่นนี้เสมอ
เขาคิดจะชวนเธอกลับเข้าบ้าน แต่กลายเป็นว่าหญิงสาวคว้าแขนหนาไปกอดเอาไว้ พร้อมให้เหตุผลที่ฟังขึ้น
ทว่าเหมือนจะไม่ถูกต้อง...
“ขอแค่แขนอาปราบก็อุ่นขึ้นแล้วค่ะ” นอกจากกอดแขน ยังโถมตัวมาแนบชิด เธอยิ้มกว้างมีความสุขที่ได้อยู่กับเขา รุกโดยที่ไม่ให้ชายหนุ่มทันตั้งรับ
“อาว่าทำแบบนี้ไม่เหมาะนะ” เตือนโดยพยายามแกะมือบางออกจากแขนของตน แต่หญิงสาวเกาะแน่นเกินไปจนไม่อาจแกะหลุด
“ไม่เหมาะยังไงเหรอคะ เฌอว่าก็ปกตินี่น่า เฌอยังกอดแขนคุณพ่อแล้วดูพระจันทร์ออกจะบ่อย” เอียงศีรษะพิงไหล่หนา เธอใช้ข้ออ้างเพื่อจะได้อยู่กับเขาให้นานกว่านี้สักหน่อย แม้รู้ดีว่าร่างสูงไม่ค่อยชอบใจก็ตาม
แต่การไม่ชอบใจของเขาเพราะสิ่งที่เธอทำไม่เหมาะสม
หรือมีอย่างอื่นแอบแฝงมากกว่านั้น
“แต่อาไม่ใช่คุณฌาร์ม...คนอื่นจะมองเฌอไม่ดี” ทุกอย่างที่เขาเอ่ยล้วนคิดถึงหล่อนเป็นหลัก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้รักได้อย่างไร กองปราบเป็นชายในอุดมคติของหล่อนด้วยซ้ำ ฉะนั้นผู้ชายที่เข้ามาจีบจึงไม่มีใครเข้าตาเลย
“ไม่มีใครมองสักหน่อย แต่ถึงมองเขาก็คิดว่าเราเป็นแฟนกัน”
“เฌอ เราไม่ใช่แฟนกัน อาอายุมากกว่าเฌอเป็นยี่สิบปี ไม่ใช่สิ เยอะกว่านั้นอีก แล้วเฌอจะบอกว่าเป็นแฟนกันได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้” พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นครั้งแรก ถึงเธอไม่ได้บอกรักจริงจังแต่ก็พอเดาความรู้สึกของหญิงสาวออก
เขาคิดว่าคงต้องบอกให้ชัดเจนว่าเรื่องระหว่างเราไม่มีทางเป็นไปได้ หล่อนควรตัดใจดีกว่า...
“เป็นไปได้ค่ะ อายุไม่ใช่เรื่องสำคัญสักหน่อย” ยืนกรานเช่นเดิมและเธอเชื่ออย่างนั้นมาโดยตลอด
ตอนแรกที่คบกันอาจจะทุลักทุเลบ้าง แต่เราต้องใช้เวลาในการพูดคุย ปรับความคุ้นชินให้ความรักต่างอายุเป็นเรื่องปกติ ก็แค่คนสองคนที่รักกัน ไม่เห็นจะแปลกกว่าคนอื่นตรงไหน
“สำคัญสิ ถ้าเราเดินด้วยกันสิ่งแรกที่คนคิดคือพ่อลูก อย่างที่สองคือมองเฌอว่าคบคนแก่ อย่างที่สามคืออาจะอยู่บนโลกได้อีกกี่ปี ถ้าเฌอสามสิบอาก็เกือบจะหกสิบแล้ว” เหตุผลทุกข้อล้วนทำให้เขาคิดไม่ตกจนเลือกตัดใจไม่เดินหน้าต่อกับเธอ
ถ้าเด็ดขาดตั้งแต่ตอนนี้ เธออาจจะไม่เจ็บมาก...
เฌอรีนาจ้องหน้าเขานิ่ง ดวงตากลมวูบไหวเมื่อคิดว่ากองปราบกำลังตั้งป้อมปราการสูงใหญ่ในใจ โดยที่เธอไม่อาจก้าวข้ามไปได้เลย ตอนแรกคิดว่าเขาจะตกลงคบ แต่พอถึงเวลานี้คงต้องลองทบทวนดูใหม่
ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังเลือกเผยความในใจให้คุณอาข้างบ้านได้ทราบ ดีกว่าเก็บเงียบเอาไว้คนเดียว...
“เฌอรักอาปราบ” บอกออกไปก็รู้สึกโล่งเป็นอย่างมาก เธอเก็บงำคำนี้เอาไว้หลายปี จนวันนี้ได้บอกกับเจ้าตัว ถึงแม้เขาจะไม่รับรักเธอก็ตาม
ผินหน้าไปมองคนข้างกายที่เผยอปากค้าง ไม่คิดว่าหล่อนจะกล้าพูดในห้วงอารมณ์ที่กำลังเศร้า เขาชัดเจนว่าปฏิเสธความรู้สึก แล้วทำไมเฌอรีนาถึงเดินหน้าไปต่อล่ะ
เธอไม่กลัวอกหักอย่างนั้นเหรอ
“เฌอรีน”
“เฌอไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองยังไง เฌอไม่สนว่าเราจะอยู่ด้วยกันได้อีกกี่ปี เฌอสนอย่างเดียวคือความรู้สึกของตัวเอง และเฌอก็รู้ว่าเฌอรักอา แค่เราเกิดห่างกันมันผิดมากเหรอคะ ถ้ารู้อย่างนี้เฌอคงบอกให้แม่รีบท้องเฌอเร็วกว่านี้ความรักของเราจะได้ไม่เป็นปัญหา”
พูดรัวและเร็วจนเขาจับใจความไม่ได้ ตาแดงก่ำทั้งยังเม้มปากเมื่อพูดจบไม่ให้ตัวเองร้องไห้ เสียใจที่เขาปฏิเสธหัวใจของตัวเอง หล่อนเชื่อว่ากองปราบก็คิดเช่นเดียวกันเพียงแค่ไม่ยอมรับความจริง เขากลัวเรื่องที่ยังไม่เกิด
แล้วตัดความสัมพันธ์ทั้งที่ยังไม่ได้ลองรักกันด้วยซ้ำ สมองของหล่อนตื้อไปหมด ไม่รู้แล้วว่าตอนนี้ควรทำอย่างไร เมื่อตนกำลังโดนผลักไส
“อาว่าเราคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ” ร่างสูงเลือกจะลุกเพื่อหนีจากสถานการณ์น่าอึดอัด แต่มือหนาถูกคว้าเอาไว้พร้อมคำถามที่เธออยากรู้คำตอบ
“อาปราบรักเฌอหรือเปล่า” ประโยคเดียวที่ทำให้กองปราบนิ่งไป เขารู้ว่าไม่ควรตอบตามความจริง ยิ่งจะทำให้ปัญหามันเพิ่มมากกว่าเดิม แต่ถ้าโกหกก็กลัวทำร้ายจิตใจคนที่กำลังอ่อนไหว ทางเลือกของเขาจึงมีไม่มาก
เป็นแบบนี้ควรตอบอย่างไรดีล่ะ...
“ประเด็นไม่ได้อยู่ที่รัก แต่เราไม่เหมาะสมกัน อาอายุมากกว่าเฌอ...”
“เฌอถามเรื่องความรัก ประเด็นก็ต้องอยู่ที่ความรัก ไม่ใช่เหมาะหรือไม่เหมาะ...อาปราบตอบแบบนี้แสดงว่าอาปราบก็รักเฌอเหมือนกัน” คราวนี้เธอจับมือเขาไว้แน่น เงยหน้าเพื่อมองเสี้ยวหน้าคมที่ไม่ยอมหันกลับมาสบตาด้วยซ้ำ จนเธอเริ่มอ่อนแรง
แค่ยอมรับหัวใจตัวเองกองปราบยังไม่กล้าทำเลย แล้วอย่างนี้จะคาดหวังกับความสัมพันธ์ของเราได้เหรอ
“อาว่าเฌอไปรักคนที่อายุใกล้เคียงกันเถอะ เราเป็นอาหลานแบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ” ค่อยปลดมือบางออกแล้วหันหลังให้เธอทันที
น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงหล่นจากดวงตากลมสวย เธอไม่คิดจะรั้งเขาเอาไว้เมื่อกองปราบบอกชัดเจน เลือกสูดลมหายใจลึกเข้าปอด เช็ดน้ำตาออกอย่างรวดเร็วพลางลุกจากเก้าอี้ชิงช้าที่หยุดแน่นิ่ง
“ค่ะ ถ้าอาปราบว่าแบบไหนดี เฌอก็จะเชื่ออา” พูดจบก็เดินผ่านเขาเพื่อเข้าบ้าน ปล่อยให้ร่างสูงมองตามหลังแล้วทรุดกายลงที่เดิม ยกมือขึ้นกุมขมับระหว่างเอนกายพิงพนัก
เขาตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหมที่เปิดโอกาสให้เธอเจอกับคนที่เหมาะสม...
นอนคิดทั้งคืนกว่าจะหลับก็ปาเข้าไปตีสอง ตื่นมาอีกทีฟ้าข้างนอกก็สว่างจนต้องรีบลุกไปอาบน้ำ ไม่เคยตื่นสายขนาดนี้มาก่อน เป็นเพราะเรื่องของเฌอรีนาทำให้เขานอนไม่หลับ คิดว่าตัวเองทำถูกแต่ใจก็นึกเจ็บปวด
ถ้าหญิงสาวไปคบกับคนอื่นจริงตามคำแนะนำของเขาล่ะ
หากเป็นอย่างนั้นก็ต้องยินดีกับเธอ ถึงจะหน้าชื่นอกตรมมากแค่ไหน ชายอายุใกล้เคียงก็คงเหมาะสมกว่าคนแก่อย่างเขา
“ทำไมมีคนแค่นี้ล่ะครับ” คนในบ้านกำลังรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย สายตาคมกวาดไปทั่วห้องอาหารแต่ไม่พบคนที่อยากเจอหน้า เขาจึงถามกว้างๆ ไม่เฉพาะเจาะจงถึงใคร แต่ร้อยตรีทราบดีว่าพี่ชายต้องการถามถึงสาวน้อยคนสวยที่ติดสอยห้อยตามกลับมาไร่
“อยากถามถึงน้องเฌอใช่ไหมคะ”
“เฌอไม่ลงมากินข้าวเหรอ” เมื่อถูกจับได้ก็รีบถามถึงเฌอรีนาทันที หล่อนไม่น่าใช่คนที่ชอบตื่นสายเมื่อมาบ้านคนอื่น
“กลับไปตั้งแต่เช้ามืดแล้วพี่ปราบ เห็นบอกว่ามีธุระเลยต้องรีบกลับ พ่อให้คนงานขับรถไปส่งที่กรุงเทพฯ” คราวนี้หนุ่มนักบินถึงกับเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าหล่อนจะเก็บกระเป๋ากลับบ้านเร็วขนาดนี้ทั้งที่บอกว่าจะอยู่อีกสองสามวัน
หรือเป็นเพราะเรื่องที่คุยกันเมื่อคืน
“คนงานไว้ใจได้หรือเปล่า” รีบถามทันทีด้วยความกังวล
“ไว้ใจได้อยู่แล้ว พี่มานั่งกินข้าวดีกว่า” คนเป็นน้องถึงกับถอนหายใจระอาที่กองปราบดูจะเรื่องมากซะเหลือเกิน เลื่อนเก้าอี้ว่างข้างตนเพื่อให้อีกฝ่ายได้นั่ง เขาจึงต้องเดินมาทรุดกายลงที่ประจำอย่างเสียไม่ได้ ค่อยลงมือรับประทานอาหารด้วยอาการเหม่อลอย
“เย็นนี้ผมกลับกรุงเทพฯ นะครับ” กินข้าวไปได้สักพักก็บอกกับคนในครอบครัว คิดจะอยู่นานกว่านี้แต่ก็ไม่ไว้ใจสถานการณ์ที่ไม่ปกติ
เป็นคนไล่หล่อนออกจากชีวิต แต่เขากลับเครียดเองเมื่อคิดว่าเฌอรีนากำลังจะมีชายอื่นเคียงกาย
ทำไมถึงเห็นแก่ตัวขนาดนี้นะกองปราบ...
“ทำไมรีบกลับนักล่ะ ไหนบอกจะอยู่สองสามวัน” คุณนาถอนงค์รีบท้วง
“พอดีเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระครับ” พอจะนึกข้ออ้างได้เท่านี้ คนในครอบครัวจึงมองหน้ากันเหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายอยากรีบกลับเพราะอะไร
“ตามใจ”
คงอยากไปหาเฌอรีนาล่ะสิ...
เพื่อไม่ให้ตัวเองว่าง เธอจึงเลือกไปทำงานที่บริษัทและนอนโรงแรมในเครือต้นตระการที่อยู่แถวนั้น ไม่อยากผ่านบ้านของกองปราบให้ปวดใจ เมื่ออาปราบบอกให้ไปคบกับคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เธอก็ทำตามนั้น
ทำความรู้จักกับหนุ่มที่เข้ามาจีบ แต่ไม่มีคนใดน่าสนใจพอจะดึงดูดให้อยากสานสัมพันธ์ สุดท้ายก็ได้เพื่อนกลับมาแทน
“เฌอรีน” กลับบ้านในรอบสามวัน บิดาที่ไม่เห็นหน้าค่าตาลูกสาวจึงเรียกเพื่อให้มานั่งคุย
“คะคุณพ่อ”
“ใครมาส่ง” หล่อนเดินมานั่งที่โซฟาเดี่ยวเยื้องกับบิดา โน้มตัวมาหยิบแก้วน้ำไปดื่มจนหมดเพื่อดับกระหาย แล้วค่อยตอบตามความจริงเพราะตนก็ไม่ได้ปิดบัง ช่วงนี้อยู่ในเวลาการลองผิดลองถูกกับความรักที่ไม่เข้าที่เข้าทางสักเท่าไหร่
“เพื่อนค่ะ” ตอบเสียงเรียบไม่ใส่ใจ แต่ดูเหมือนฌาร์มจะค่อนข้างสนใจเป็นอย่างมาก
“เพื่อนผู้ชาย...”
“ค่ะ เพื่อนผู้ชาย คุณพ่อมีอะไรหรือเปล่าคะ” กระพริบตาปริบไม่มีความลับกับพ่ออยู่แล้ว ยกเว้นเรื่องเดียวคือเรื่องของกองปราบ หากอีกฝ่ายรู้รับรองว่าบ้านแตกแน่นอน ไม่รู้จะจงเกลียดจงชังหนุ่มข้างบ้านทำไมนักหนา
“ตอนนี้ลูกมองใครไว้บ้างหรือเปล่า” ความหวงลูกสาวทำให้เขาต้องทำหน้าที่แสกนผู้ชายทุกคนที่เข้าใกล้เฌอรีนา ความจริงยังไม่อยากให้หล่อนสนใจเรื่องความรัก เพิ่งเรียนจบก็น่าจะทำงานสักสองสามปีเพื่อสร้างสมประสบการณ์ซะก่อน
“หมายถึงแฟนเหรอคะ...เฌอก็มีมองไว้บ้างค่ะ แต่ยังไม่ได้คิดจะคบจริงจัง ศึกษาดูใจไปก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ” ตอบอย่างที่คิดถึงหน้าตาจะดูเบื่อหน่าย หล่อนมีคนในใจแต่เขาไม่เล่นด้วย
แล้วเรื่องอะไรจะต้องตื๊อให้น่ารำคาญ...
สิ่งที่เลือกทำคือการลองเอาตัวเองออกมาแล้วคบกับคนที่อายุใกล้เคียงกัน แต่ก็ไม่มีใครมาแทนที่กองปราบได้เลย
แน่ล่ะ...เธออุตส่าห์รักเขามาหลายปี การจะให้ตัดใจมันง่ายนักหรือไง
“ดีแล้ว จะคบใครก็ต้องดูกันนานๆ”
“ค่ะคุณพ่อ...แล้วเรื่องอายุล่ะคะ คุณพ่อว่าอะไรไหมถ้าเขาอายุมากกว่า” ลองถามเผื่ออนาคต เธอลุ้นกับคำตอบของท่านเมื่อบิดานิ่งคิดสักพัก
“ไม่ว่าหรอก ขอแค่เป็นคนดีแล้วก็รักลูกพ่อ ไม่ทำให้เฌอเสียใจก็พอแล้ว” ประโยคสวยหรูไม่รู้ว่าจะจริงหรือเปล่า แต่ก็ทำให้หล่อนดีใจเป็นอย่างมาก ลุกจากโซฟาเดี่ยวไปนั่งข้างท่านแล้วกอดแขนบิดาเอาไว้แน่น
“คุณพ่อน่ารักที่สุด” ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
ไม่แน่ว่าถ้ารักกับกองปราบ อาจจะไม่มีใครคัดค้านก็ได้...
การไปทำงานทุกเช้าของนักเรียนจบนอกมักมีคนอาสามารับเสมอ แต่ครั้งนี้หล่อนไหว้วานเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานานให้มารับถึงหน้าบ้าน ตัดปัญหากวนใจเรื่องผู้ชายหลายคนที่เสนอตัวซะเหลือเกินจนน่ารำคาญ
“มารอนานยัง” เดินออกมาจากบ้านเพื่อมาหาคนที่รอนอกรั้ว
กรกต ชาติดำรงเป็นหนุ่มหล่อที่สาวหลายคนหมายปอง ทั้งยังมีชื่อเสียงเรื่องความเจ้าชู้ มาบ้านต้นตระการทีไรจึงถูกฌาร์มจับตาตลอด จนเลือกจะรออยู่ข้างนอกเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เพราะสำหรับเขาแล้วเฌอรีนาเหมือนเพื่อนผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
“เพิ่งถึง ไปกันเลยไหม ช้ากว่านี้รถติดเดี๋ยวจะสาย” เขาจะผ่านบริษัทของอีกฝ่ายพอดีจึงยอมตกลงไปส่งตามคำขอ
ร่างบางกำลังจะเปิดประตูรถแต่กลับเห็นรถยนต์ของกองปราบเลี้ยวออกจากบ้านพอดี เธอใช้โอกาสนี้เรียกเพื่อนสนิทที่กำลังเดินไปประจำตำแหน่งคนขับให้กลับมาหาตนเอง
“อือ...เดี๋ยวก่อนกรณ์”
“อะไรเหรอ” เขาเดินกลับมาทันทีด้วยใบหน้าสงสัย เธอเหลือบมองรถยนต์ที่ขับช้าจนเหมือนคลาน แอบยกยิ้มมุมปากมีความสุขที่ได้เอาคืนบ้าง
“เหมือนมีฝุ่นเข้าตา ดูให้หน่อยสิ”
“ทำยังไงให้ฝุ่นเข้าตา” บ่นพึมพำแล้วเดินเข้ามาใกล้ ชะโงกหน้าแล้วดูดวงตากลมที่เบิกกว้างขึ้น เธอเอียงศีรษะให้องศาเหมือนกับพวกเขากำลังจุมพิตกัน คนที่ผ่านไปจะได้เข้าใจผิด
อยากผลักไสหล่อนให้คนอื่นดีนัก คงสมใจแล้วใช่ไหม
“ลมพัดฝุ่นเลยปลิวไง อย่าพูดมากน่า บอกให้ดูก็ดูสิ ดูใกล้ๆ ด้วย” กรกตยอมทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกวันนี้เฌอรีนาเหมือนแม่มากกว่าเพื่อนอีก ร่างสูงจึงยื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิมเพื่อดูฝุ่นอย่างจริงจัง ต่างจากร่างบางที่กำลังยกยิ้มมุมปากมีความสุข
“ครับคุณหนู”
แต่ไม่นานกลับก็ได้ยินเสียงรถที่ชนเข้ากับถังขยะจนต้องเหลียวไปมอง
โครม
เธอหลุดขำทันทีเมื่อเห็นว่ากองปราบรีบลงมาจับถังขยะให้ตั้งขึ้น ก่อนขับรถออกไปอย่างรวดเร็วแทบไม่เห็นฝุ่น