๑ เปิดโอกาส (๒)
“โธ่ป๊า มาสำรวมอะไร บ้านก็มีแค่พวกเราไม่เห็นมีแขกคนอื่นเลย...หิวจังเลยม้า เย็นนี้ขอกินข้าวด้วยคนนะครับ” เหลียวมองบิดาที่ดูเหมือนจะหวงภรรยากระทั่งกับลูกชาย ฌานินทร์ยืดตัวไปหยิบผลไม้มากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย
“วันนี้เราไม่ไปเรียนเหรอ ทำไมมาที่นี่ได้” นาฬิกาบอกเวลาว่ายังไม่เลิกเรียน แต่เหตุใดลูกชายของตนถึงได้มาอยู่ที่นี่แทนที่จะเป็นห้องเรียนล่ะ
“ระดับฌาไม่ต้องเรียนแล้ว ความเก่งระดับเทพ หนังสือต้องมาเรียนรู้ในตัวฌา” กอดอกอย่างภูมิใจ แต่สร้างความเหนื่อยหน่ายให้แก่ผู้ใหญ่ทั้งสามจนต้องส่ายหน้าระอา
“เฮ้อ ฉันว่าลูกนายมีปกติแค่ฌอร์นกับฌองส์” ต้นเดือนเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา
“อ้าวลุงต้น ทำไมพูดงี้ล่ะ แบบนี้มีเรื่องแล้ว ต้องมีเรื่องแล้วนะ...คืนนี้พาฌาเข้าเลาจน์หน่อยสิ” ตอนแรกคิดว่าจะหาเรื่องแต่กลายเป็นจบลงที่อ้อนซะอย่างนั้น แต่ต้นเดือนก็รีบยื่นคำขาดอย่างรวดเร็ว ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการให้หลานชายผู้ชอบเล่นพิเรนทร์เข้าสถานบันเทิง
เกิดมีเรื่องจะทำอย่างไร...
“ยังไม่ถึงสิบแปด ห้ามเข้า”
“โห่...ลุงต้น” ทำหน้าบูดบึ้งแล้วหยิบผลไม้เข้าปากจนคนอื่นกินไม่ทัน จากนั้นก็อ้อนมารดาขอไปเที่ยวต่างประเทศกับเพื่อน
ไม่น่าล่ะ...ทำไมถึงกลับมาบ้านก่อนเวลาเลิกเรียน
ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้เอง
ตารางบินของร่างสูงต้องออกต่างประเทศในรอบหลายเดือน กว่าสามวันที่กองปราบหายหน้าหายตา สาวน้อยข้างบ้านทำได้เพียงชะเง้อมองเพื่อรอคอย จนวันที่เห็นรถยนต์ทะเบียนคุ้นตาจอดอยู่โรงรถ พลันเกิดรอยยิ้มกว้างที่ดวงหน้าหวาน
เธอไม่รอช้ารีบเดินไปรดน้ำต้นไม้อยู่ริมรั้ว เงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าหนักเดินเข้ามาใกล้ รู้ว่าชีวิตประจำวันของเขาต้องมาดูแลบรรดาต้นไม้ลูกรัก ใช้โอกาสนี้ฉีดสายยางข้ามรั้วเพื่อเรียกร้องความสนใจ จนกองปราบสะดุ้งตะโกนถามเสียงดัง
“เฮ้ย น้ำอะไรวะเนี่ย” เงยหน้ามองท้องฟ้าคิดว่าเป็นฝน แต่กลับไม่มีหยาดฝนสักเม็ด นอกจากน้ำที่มาจากบ้านฝั่งตรงข้าม
“น้ำจากเฌอเอง” หล่อนตะโกนตอบแล้วรีบเดินไปปิดก๊อกน้ำ ปีนขึ้นเก้าอี้ตัวเล็กแล้วโผล่หน้ามาให้เขาเห็นจนร่างสูงต้องพรูลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย
กลับมาบ้านไม่ถึงสามชั่วโมงดูเหมือนจะมีเรื่องให้เหนื่อยใจซะแล้ว
“น้องเฌอ” เรียกเสียงเข้มต้องการจะเตือน แต่เฌอรีนากลับกระโดดขึ้นมานั่งบนรั้วที่ใช้ร่วมกัน ยิ้มกว้างพลางอ้อนวอนแกมสั่งให้คนตรงหน้ารับตัวเอง
“อาปราบรับเฌอหน่อย กระโดดลงไปเองขาหักแน่เลย” ทำหน้าเหมือนกลัวแต่ด้วยความสูงแล้วไม่น่าจะถึงขั้นขาหัก ปีนต้นมะม่วงสูงกว่านี้หล่อนยังเคยปีนมาแล้ว แค่รั้วบ้านไม่น่าจะทำให้คนใจกล้ากลัวได้หรอก
“ตอนเด็กยังกระโดดข้ามรั้วมาขโมยมะม่วงอาได้ ตอนนี้โตขึ้นแล้วก็น่าจะกระโดดลงมาได้สิ” กองปราบกอดอกไม่ยอมทำตามคำขอร้องของหลานสาว จนเธอต้องอ้อนเสียงหวานอย่างที่ทำมาตลอดแล้วได้ผล
“อาปราบรับหน่อย น้า นะคะอาปราบ”
“เฮ้อ เด็กไม่รู้จักโต” พรูลมหายใจแล้วส่ายหน้า ไม่รู้จะเหนื่อยกับสาวน้อยข้างบ้านหรือตัวเองที่ยอมใจอ่อน เดินเข้าไปรับเฌอรีนาที่กระโดดลงจากรั้วแล้วกอดคอเขาเอาไว้แน่น ทั้งขาเรียวยังเกี่ยวเอวสอบอีกต่างหาก
ใบหน้าหวานซุกซบที่ลำคอหนา เกาะเป็นลูกลิงทั้งที่ตอนนี้โตเป็นสาว เล่นเอาหัวใจที่แห้งแล้งมานานของคนเป็นอาถึงกับกระตุก
“ปล่อยคออาได้แล้ว ตัวหนักไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ” พยายามสั่งตัวเองไม่ให้คิดอะไร ถึงจะได้กลิ่นหอมหวานจากเนื้อนวล ความนุ่มนิ่มที่ไม่อยากนึกถึงใจก็เตลิด
เขาจะชอบหลานสาวคนนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
“ไม่ปล่อย อาปราบสูง เฌออยากรับอากาศในที่สูงบ้าง” ยิ่งกอดคอแน่นขึ้นกว่าเดิม ยกยิ้มมุมปากอย่างมีความสุข จุมพิตแผ่วเบาที่ไหล่หนาผ่านเสื้อยืดที่เขาสวมใส่
ยิ่งได้ใกล้ชิดก็รู้ทันทีว่ารักชายหนุ่มมากเพียงใด จนไม่อยากปล่อยกองปราบให้คนอื่น
“ไม่ใช่เด็กแล้วนะน้องเฌอ” เตือนเธอเมื่อรับรู้ถึงรอยจูบที่ไหล่ ปากหยักเม้มแน่นแล้วเตือนร่างแบบบางถึงความเหมาะสม พวกเขาไม่ควรใกล้กันมากกว่านี้
เธอไม่ใช่เด็กหญิงเฌอรีนาที่ตนโอบอุ้มได้อีกแล้ว...
“ค่ะ เฌอไม่ใช่เด็กแล้ว เฌอโตแล้วนะคะอาปราบ” หย่อนเท้าลงบนพื้นแล้วยืนตรงหน้ากองปราบ เอ่ยย้ำกับเขาถึงความจริงข้อนี้ว่าตนไม่ใช่เด็กอีกต่อไป แววตาของเธอจริงจังจนคนเป็นอาถึงกับลอบกลืนน้ำลาย
ความจริงควรเรียกเขาว่าลุงด้วยซ้ำเพราะอายุเยอะกว่าแม่เธอ แต่ปริณดาเองที่นับตามอายุของฌาร์มจึงให้ลูกทั้งสี่คนเรียกเขาว่าอา
ไม่ว่าจะมองจากวัยหรือความเหมาะสมใด พวกเขาก็ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นนอกจากอาหลาน
อย่าก้าวข้ามเส้นอันตราย...
“มาบ้านอาทำไม กลับบ้านเราไปสิ” ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องทันที
“ห้องครัวบ้านเฌอไม่ว่าง ขอมาใช้ห้องครัวบ้านอาปราบได้หรือเปล่า อาปราบอยู่คนเดียวไม่น่าจะมีใครใช้” ก้าวเข้ามาใกล้ร่างสูงขณะที่เขารีบถอยห่างอย่างรวดเร็ว สร้างความขัดใจให้แก่เฌอรีนาเป็นอย่างมาก
ไม่รู้ว่ากองปราบจะกลัวอะไรตนนักหนา ทำอย่างกับหล่อนเป็นผีสาง...
“จะทำอะไร”
“ทำเค้กค่ะ” ตอบพลางยิ้มกว้าง เธอไม่ได้อยากทำเค้กหรือมีธุระใดหรอก เพียงแค่ต้องการใช้เวลากับเขาเท่านั้นเอง
“วันเกิดใคร” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย หรือจะเป็นวันเกิดคนตรงหน้า แต่คงไม่ใช่หรอก
“วันเกิด...อยากจะกิน อาปราบมีวัตถุดิบใช่ไหม” เว้นประโยคเอาไว้แล้วค่อยตอบเสียงใส เธอรู้ดีว่าห้องครัวของเขามีวัตถุดิบทุกอย่างครบครันแน่นอน ในเมื่อกองปราบอยู่คนเดียวก็ต้องทำอาหารกินเอง ทำไมจะไม่ซื้อของเข้าตู้เย็นไว้ล่ะ
การทำเค้กดูเหมือนจะมีหลายขั้นตอน หากให้อีกฝ่ายช่วยทำก็จะมีเวลาอยู่ด้วยกัน ได้กำไรทั้งขึ้นทั้งล่อง
“มี”
“เย้!” ร้องดีใจเสร็จก็วิ่งเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้เขาพึมพำกับตัวเองแล้วส่ายศีรษะอย่างระอาปนเอ็นดู
พยายามอย่างยิ่งที่จะมองเฌอรีนาเป็นหลานสาว แต่เธอไม่ให้ความร่วมมือเอาซะเลย ชอบมาล้อเล่นกับหัวใจคนแก่ตลอด
“วิ่งเข้าไปข้างในเหมือนเป็นบ้านตัวเองเลยนะ” อมยิ้มเล็กน้อยก่อนสะดุ้งเมื่อเจ้าตัววกกลับมาหาเขาแล้วแก้ตัวอย่างรวดเร็ว
“บ้านอาปราบก็เหมือนบ้านเฌอนั่นแหละ...ขอเก็บมะยงชิดหน่อยนะคะ อยากทำเค้กมะยงชิด” แววตาหวานเป็นประกายเมื่อเอ่ยสมอ้างเรื่องบ้าน หล่อนคิดจะเอื้อมมือเด็ดผลไม้สีส้มที่มีเต็มต้น เห็นแล้วน่าจะเอามาทำเป็นเค้กได้หลายก้อน
“อาเก็บให้เอง เฌอเข้าไปเตรียมของเถอะ”
“โอเคค่ะ ขอลูกใหญ่ๆ สวยๆ นะอาปราบ” ไม่วายสั่งเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข เดินเข้าไปรอชายในหนุ่มในบ้าน ซึ่งเขาก็ตอบรับเป็นมั่นเหมาะ
“ครับ”
เข้าห้องครัวเพื่อมาเริ่มทำเค้ก เธอดูวิธีทำในอินเตอร์เน็ต จนสุดท้ายกองปราบต้องเป็นคนบอกทุกขั้นตอนเพราะเขาทำเค้กบ่อย ไม่ว่าจะงานวันเกิดคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท เขามักจะได้เป็นพ่อครัวทำของหวานชนิดนี้เสมอ
“อาปราบปอกมะยงชิดสวยจังเลย มีฝีมือในการทำอาหารเหมือนคุณพ่อเลยค่ะ” เมื่ออบเค้กเรียบร้อยก็เริ่มลงมือปาดหน้าเค้ก โดยร่างสูงจัดการปอกมะยงชิด เธอเห็นก็รีบชื่นชมทันที
“อาไม่เทียบชั้นฝีมือของพ่อเราหรอก” เขาทราบดีว่าฌาร์มทำอาหารอร่อย ไม่ว่าจะรังสรรค์เมนูใดก็ต้องยกนิ้วโป้งชื่นชมตลอด ส่วนตนแค่มือสมัครเล่นเท่านั้น ฝีมือการทำอาหารไม่ได้ดีเด่นเท่าไหร่หรอก ส่วนมากเน้นของหวาน
“แม่บอกว่าอาปราบเคยจีบแม่” คนที่สนิทกับมารดาเป็นอย่างมากจนสามารถพูดทุกเรื่องด้วยกันเป็นฝ่ายเอ่ยถาม
เธอไม่อยากมีความลับกับแม่ แต่เรื่องของกองปราบยังเป็นข้อยกเว้น กลัวท่านจะเอ่ยห้าม...
“เรื่องนานมาแล้ว ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกอะไรกับแม่ของเฌอแน่นอน” ย้ำเพื่อให้เธอสบายใจว่าไม่มีทางแย่งปริณดามาจากบิดาของหล่อน
ความรู้สึกของเขาหมดไปหลายปีแล้ว เหลือเพียงพี่น้องที่หวังดีต่อกัน
“แล้วกับภรรยาเก่าของอา ทำไมถึงเลิกกันคะ เฌอถามได้หรือเปล่า จี้ใจดำอาปราบไหม”
เธอแอบยิ้มมีความสุขแล้วเลือกถามถึงเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาหย่าขาดจากภรรยา เพื่อเธอจะได้เอาไปปรับใช้กับตัวเองบ้าง
กองปราบนิ่งไปครู่หนึ่ง คิดถึงเรื่องราวของตนกับภรรยาเก่าที่หย่าขาดกันหลายปี พวกเขาเลิกรากันด้วยดีตอนนี้ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เพียงแค่ให้เกียรติสามีใหม่ของหล่อน โดยการไม่ติดต่อเกินความจำเป็น
“อากับเขาเข้ากันไม่ได้ ช่วงคบกันจนถึงแต่งงานมันเป็นความรัก แต่พอได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเราปรับตัวเข้าหากันไม่ได้ มีหลายครั้งที่ต้องปรับจูน สุดท้ายเลยตัดสินใจแยกกันอยู่แล้วมันดีกว่าที่คิด พอมาคุยอีกครั้งเลยตัดสินใจหย่า...ตอนนี้ก็เป็นเพื่อนกัน เขาเพิ่งแต่งงานปีก่อน อายังไปแสดงความยินดีเลย”
พยักหน้าทำความเข้าใจ การเลิกราของพวกเขาคือไม่สามารถใช้ชีวิตคู่ด้วยกันได้ เธอมีความเป็นตัวเองค่อนข้างสูง ถึงจะพยายามปรับอย่างไรสุดท้ายก็ต้องโบกมือลาเมื่อไม่อาจเข้ากันได้ คนฟังแอบยิ้มกริ่มถือเป็นความโชคดีของตัวเอง
ต่อจากนี้กองปราบต้องเป็นของหล่อน...
“ดีจังเลยนะคะ เลิกกันก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ แล้วอาปราบไม่คิดจะมีใหม่เหรอ”
“อยู่คนเดียวก็ดีนะ ลุงของเฌอยังโสดเลย” เอ่ยถึงต้นเดือนที่ยังไม่มีคนในใจ เขาเลือกอยู่คนเดียวเพื่อความสบายใจ กองปราบก็คิดเอาเป็นแบบอย่าง
“มันไม่เหมือนกันนี่น่า ลุงต้นมีเฌอกับน้องๆ แต่อาปราบอยู่ตัวคนเดียว” เธอรีบเปลี่ยนความคิดของเขา ถึงรู้ว่าอาจจะเปลี่ยนไม่ได้ก็ตาม
“อีกไม่นานอาก็กลับไปอยู่ไร่แล้ว อามีน้องสาวมีหลาน ไม่เห็นจะเหงาตรงไหน”
“อาปราบจะกลับไร่เหรอ ทำไม!” หันมาโวยวายแล้ววางมือจากงานตรงหน้า สีหน้าตื่นตระหนกไม่ปิดบังว่าตกใจ เธอเพิ่งย้ายกลับมาไทยแต่ทำไมเขาถึงจะย้ายกลับไร่ล่ะ
พวกเราจะห่างกันตลอดกาลเหรอ...เธอไม่ยอมหรอก!
“ถึงเวลาเกษียณก็ต้องกลับ ที่นี่ไม่ใช่บ้านของอาสักหน่อย จะให้อาอยู่ทำไมล่ะ” เขายังคงก้มหน้าปอกมะยงชิด จนรับรู้ถึงสองมือนุ่มที่ประคองใบหน้าตนให้หันไปมองเพื่อสบตากัน ก่อนเอ่ยประโยคที่ทำให้หัวใจเจ้าของบ้านสั่นไหว
“เฌอคิดถึงอาปราบ” เพียงประโยคเดียว ทำลายความมุ่งมั่นของเขาว่าจะไม่หลงรักหลานสาวข้างบ้านลงทันที
ดูเหมือนหัวใจของหนุ่มวัยกลางคนจะเต้นเร็วเพียงเพราะได้สบตาสาวแสนสวยคนนี้แล้วล่ะ...