๑ เปิดโอกาส (๑)
๑
เปิดโอกาส
การกลับมาอยู่บ้านของเฌอนารีนในครั้งนี้ต้องปรับตัวพอสมควร เนื่องจากอยู่ต่างประเทศใช้ชีวิตคนเดียวจนชิน พอได้มาอยู่กับครอบครัวใหญ่ที่เวลารับประทานอาหารเช้าและอาหารเย็นค่อนข้างตรงต่อเวลา ทว่างานของหล่อนที่ต้องใช้อารมณ์ในการสร้างสรรค์ผลงาน ยามที่กำลังละเลงจินตนาการลงบนกระดาษกลับมีคนมาขัด
จึงต้องพูดคุยอย่างจริงจังว่าถ้าหิวจะลงมารับประทานเอง ไม่ต้องการให้ใครรบกวนตน จนคุณรุ่งรดาเริ่มคิดจะสร้างบ้านแยกแต่อยู่ในรั้วเดียวกันให้หลานสาวของตนโดยเฉพาะ เอาไว้เป็นสตูดิโอทำงานแต่ยังไม่ได้บอกเจ้าตัว
ยามบ่ายที่แดดร้อนระอุ ร่างแบบบางกอดกล่องสีสันสดใสเอาไว้แน่น มุมปากยกยิ้มตลอดเวลาขณะที่มือเอื้อมไปกดออดของบ้านข้างเคียง
เธอไม่ต้องเข้าบริษัททุกวัน เพียงแค่เข้าไปรับงานและส่งงานตามระยะเวลากำหนดเท่านั้น...
งานของหล่อนคือปริ๊นท์ดีไซเนอร์ (Print Designer) หรือนักออกแบบภาพประกอบบนลายผ้า โดยเธอยังรับวาดรูปเป็นงานอดิเรก
การเรียนของเธอไม่ได้ดีเด่นเหมือนน้องชายคนรองกับคนเล็กสุด อยู่ในระดับปานกลาง แต่สิ่งที่โดดเด่นคือฝีมือวาดรูป บิดาเห็นข้อดีในด้านนี้ของลูกสาวจึงผลักดันสนับสนุนเต็มที่ เพื่อให้กลายเป็นอาชีพทำมาหากินในอนาคต
ถึงบ้านจะร่ำรวยไม่ต้องทำงานก็ยังมีกินมีใช้ ทว่าเขาไม่ต้องการให้ลูกงอมืองอเท้า เมื่อเฌอนารีนยืนยันไม่เข้าทำงานที่บริษัทของบิดาจึงต้องหางานที่เหมาะกับความสามารถ
“อาปราบ! นึกว่าอาปราบจะไม่อยู่บ้านซะแล้ว” รอไม่นานประตูด้านหน้าก็เปิด เสียงทักทายดังเป็นปกติพร้อมกับรอยยิ้มฉีกกว้าง เดินเข้ามาในรั้วบ้านโดยไม่ทันขออนุญาตเจ้าของ ข้างนอกมันร้อนจนไม่อาจให้แดดโลมเลียผิวกายได้
“ช่วงนี้อาบินแค่สองแลนด์ บางครั้งก็เว้นว่างหลายวัน...ไม่ค่อยอยากออกไปไหนเท่าไหร่ ว่าแต่น้องเฌอมีอะไรหรือเปล่า” ปิดประตูรั้วแล้วเดินตามร่างบางเข้ามาข้างใน
หล่อนย่างเท้าเข้ามาในบ้านหลังงามเพื่อสัมผัสกับความเย็นของเครื่องปรับอากาศ บ้านของหนุ่มโสดค่อนข้างสะอาดและสบายตา ห้องรับแขกถูกตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาลให้ความอบอุ่น รอบบ้านมีต้นไม้ใหญ่ปลูกเต็มไปหมด
ที่สำคัญคือมีผลไม้ที่มารดาของกองปราบนำมาปลูกตั้งแต่เพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ ผ่านไปยี่สิบกว่าปีจึงยืนต้นสูง มีพืชผลให้เก็บกินทุกปี คนที่ชอบปีนมาขโมยไม่ใช่ใครอื่นไกลนอกจากเฌอรีนา เป็นตัวตั้งตัวตีพาน้องชายทั้งสามมาแอบกินบ่อยครั้ง
แต่เมื่อหล่อนไปเรียนต่างประเทศผลไม้ก็ดกเต็มต้นจนเน่าหล่นลงพื้นเพราะเก็บกินไม่ทัน บางครั้งเขาก็นึกถึงหลานสาวตัวแสบข้างบ้านเหมือนกัน
“เฌอลองทำขนม เลยเอามาให้อาปราบชิมค่ะ” ยื่นกล่องขนมไปตรงหน้าคุณอาที่เดินตาม เขาสวมเสื้อยืดกับกางเกงผ้านิ่มสำหรับอยู่บ้าน ผมที่เคยเซ็ทเป็นทรงถูกปล่อยธรรมชาติ ใบหน้าคมจึงดูเด็กกว่าอายุพอสมควร
“กินได้แน่นะ อาจะไม่ท้องเสียเหรอ” เย้าหล่อนเล่น ปกติเฌอนารีนเคยเข้าครัวซะที่ไหนล่ะ
ไม่เคยทำขนมมาให้กินเลยสักครั้ง หล่อนไม่มีเสน่ห์ปลายจวัก สงสัยการไปเมืองนอกครั้งนี้จะเปลี่ยนสาวน้อยให้กลายเป็นแม่บ้านแม่เรือน
“ไม่ท้องเสียแน่นอน แต่รสชาติอร่อยหรือเปล่าก็เป็นอีกเรื่องนะคะ แต่ แต่ว่าความตั้งใจเกินร้อยนะขอบอก หน้าตาขนมก็ดีด้วย ถ้าอาปราบไม่เชื่อเดี๋ยวเฌอเปิดให้ดูตอนนี้เลย” จัดการเปิดกล่องขนมให้เขาดู พบคุกกี้รูปหัวใจที่ปาดด้วยครีมหลากหลายรสชาติ ทั้งสตรอว์เบอร์รี่และช็อคโกแลต วางเรียงสลับกันชวนน้ำลายสอเป็นอย่างยิ่ง
“แต่งมาสวยเชียว ให้อาเป็นหนูทดลองจะเอาไปให้ใครหรือเปล่า” เอ่ยล้อเมื่อเห็นว่าขนมเป็นรูปหัวใจ เหมือนต้องการทำเพื่อไปบอกรักใคร เขาจึงอดจะเย้าหยอกไม่ได้ แต่เธอกลับส่ายศีรษะแล้วอมยิ้มยามสบดวงตาคม
“เปล่าค่ะ ทำมาให้อาปราบโดยเฉพาะ” ก้าวเข้ามาหาเขาเพียงครึ่งก้าว เงยหน้าแล้วจ้องดวงหน้าหล่อไม่ยอมหลบ เธอพยายามเปิดเปลือยความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเขา โดยไม่ใช้คำพูดเมื่อยังไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายคิดเหมือนกันหรือเปล่า
“ขอบคุณครับ”
เขาเลือกจะเดินเข้าห้องครัวนำขนมไปเก็บ ส่วนเธอก็นั่งรอที่โซฟานิ่มไม่ยอมกลับบ้าน คิดจะเอ่ยชวนร่างสูงเพื่อให้ไปเที่ยวด้วยกัน เข้าหาเขาในฐานะหลานสาวเพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นแฟน
คิดว่าสักวันร่างสูงจะต้องใจอ่อนให้ตนอย่างแน่นอน...
“เฌอเพิ่งกลับไทยยังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย ถ้าอาปราบว่างช่วยพาเฌอไปหน่อยได้ไหมคะ” เมื่อเจ้าของบ้านออกมาจากครัว เธอก็รีบใช้โอกาสอันเหมาะเอ่ยชวนด้วยใบหน้าใสซื่อ แต่ในใจคิดวางแผนเอาไว้ชัดเจน
รับรู้เรื่องราวความรักของบิดามารดามาพอสมควร เธอต้องเอาเยี่ยงอย่างมารดาที่สู้ไม่ถอยจนได้รับความรักจากชายในดวงใจ อาปราบคงรักตนได้ไม่ยากหรอก...
คนอย่างเฌอรีนามีทั้งหน้าสวยงามและทรัพย์สมบัติเพียบพร้อม ใครบ้างจะไม่สนใจ ไหนจะเสน่ห์เฉพาะตัวอีกต่างหาก หล่อนเปรียบตัวเองเหมือนยอดพีระมิดที่ชายหนุ่มหลายคนหมายปอง แต่น่าเสียดายที่ตาคู่นี้มองเพียงชายผู้เดียวมาตลอด
“น้องเฌอ...เราโตแล้วนะไม่ใช่เด็กตัวเล็ก ไปกับอาสองคนเดี๋ยวคนอื่นก็มองไม่ดี ไปกับเพื่อนเถอะจะได้สนุก ดีกว่าไปกับคนแก่อย่างอาตั้งเยอะ” กองปราบเห็นถึงความไม่เหมาะสมจึงปฏิเสธ ซึ่งร่างบางรีบเอ่ยค้านอย่างรวดเร็ว
“ไปกับอาปราบสองคนก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เราบริสุทธิ์ใจนี่คะ”
“คนอื่นจะมองเราไม่ดี” หากไปเป็นกลุ่มยังพอจะพาเธอไปได้ ทว่าการไปเที่ยวสองคนระหว่างชายหนุ่มวัยกลางคนกับสาวสะพรั่งไม่น่าใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่
“ช่างคนอื่นปะไร เฌอไม่สนใจสักหน่อย” กอดอกแล้วพูดอย่างเอาแต่ใจ ขอเพียงได้ไปกับชายหนุ่มตรงหน้าก็พอ ซึ่งเขาไม่เห็นด้วยสักนิด
“เฮ้อ เด็กดื้อ” ส่ายหน้ากับความรั้นของเฌอรีนา นับวันจะยิ่งเอาเรื่องมากขึ้นทุกที
“เฌอไม่เด็กแล้วนะ บรรลุนิติภาวะเรียนจบปริญญาตรี พร้อม พร้อม...ใช้ชีวิต” ขยับตัวเล็กน้อย คิดจะไปนั่งข้างเขาแต่ยั้งตัวเองเอาไว้ได้ทัน เลือกจะพูดย้ำความจริงที่อีกฝ่ายเหมือนจะมองไม่เห็นว่าตอนนี้หล่อนกลายเป็นสาวสวยที่พร้อมสำหรับการเป็นคนรัก
ไม่ใช่เด็กหญิงข้างบ้านที่ชอบแอบปีนมาขโมยมะม่วงอีกต่อไป...
“แต่สำหรับอาก็ยังมองว่าเฌอเด็กอยู่ดี เด็กตัวเล็กที่อาเคยอุ้มเมื่อยี่สิบปีก่อน” ย้ำถึงความจริงข้อนี้
นอกจากจะบอกหล่อนแล้วเขายังพยายามบอกตัวเองอีกด้วย แววตาของหญิงสาวบอกความนัยหมดทุกอย่าง กองปราบไม่อยากกระโดดลงไปในกองไฟ เขาไม่ต้องการเล่นกับความอันตราย จึงต้องบอกกับตนตลอดเวลา
อย่าไปหลงรักหลานสาวข้างบ้านเด็ดขาด!
“อาปราบ!” ตะโกนเรียกเขาเสียงดังอย่างขัดใจ เธอจ้องดวงหน้าคมตลอดเวลาเหมือนต้องการให้อีกฝ่ายอธิบายมากกว่านั้น ร่างสูงกลับเงียบไม่เอ่ยอะไร หล่อนจึงไม่อาจนั่งอยู่ตรงนั้นได้อีก ตัดสินใจลุกยืนเต็มความสูง ค่อยบอกลาเจ้าของบ้านด้วยใบหน้างอง้ำ
“เฌอกลับแล้วนะคะ อาปราบอย่าลืมกินขนมด้วย” ก่อนกลับไม่วายย้ำเขาอีกรอบ
“ครับ” ตอบรับพร้อมรอยยิ้มแต้มมุมปาก
เธอเลือกเดินกลับบ้านของตนเอง สีหน้าไม่ใคร่พอใจเท่าไหร่กับประโยคที่ย้ำว่าเธอยังดูเด็กในสายตาของเขา ทั้งที่ตอนนี้ตนเรียนจบปริญญาตรี มีหน้าที่การงานดีพร้อม การแต่งตัวก็ไม่ได้ดูเด็กเหมือนแต่ก่อน
แล้วทำไมจึงยังเป็นเพียงเด็กหญิงในสายตาของอีกฝ่าย...ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด
ก้าวเข้าบ้านพร้อมถอนหายใจฮึดฮัด เปลี่ยนจากรองเท้าแตะเป็นสลิปเปอร์สำหรับสวมในบ้าน หล่อนคิดจะตรงขึ้นไปข้างบนเพราะนึกว่าไม่มีใครอยู่บ้าน กลับมีเสียงทุ้มรั้งเอาไว้ก่อนจึงเหลียวมองยังห้องนั่งเล่น พบบิดาอยู่ในชุดสูทเต็มยศ
กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่...
“เดินหน้าบึ้งมาเชียว ใครขัดใจอีกล่ะ” ถามกับแม่บ้านจึงทราบว่าบุตรสาวออกไปข้างนอก แต่ยังเห็นรถจอดอยู่ที่เดิมก็นึกสงสัยว่าไปไหน
“ก็อา...อากาศร้อนค่ะ น่าหงุดหงิดมากเลย” เกือบเผลอหลุดชื่อของกองปราบ จึงรีบเปลี่ยนอารมณ์ทันทีแล้วยกมือขึ้นพัดใบหน้า ทั้งที่อากาศในบ้านค่อนข้างเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศ แต่ดูเหมือนฌาร์มจะไม่สงสัยและคล้อยตามคำพูดของลูกสาวอย่างง่ายดาย
“เรานี่น่า สงสัยยังไม่คุ้นกับอากาศของเมืองไทย”
“เฌอขึ้นบนบ้านนะคะ” รีบขอตัวเพราะต้องการอยู่คนเดียว แต่ดูเหมือนคนเป็นพ่อจะไม่เข้าใจ เลือกจะรั้งบุตรสาวเอาไว้
“ไม่กินข้าวเหรอ” ทราบจากแม่บ้านว่าถึงหล่อนจะขลุกอยู่ในครัวแทบทั้งวันแต่ก็ทำขนม ไม่มีอาหารลงท้องสักเม็ด จนเขาเริ่มกังวลว่าเฌอรีนาจะเป็นโรคกระเพาะ
“เฌออิ่มแล้วค่ะ เข้าครัวตั้งแต่เช้าทำไปกินไป ตอนนี้แน่นท้องไปหมดแล้ว” พูดจบก็รีบขึ้นบนห้องทันทีกลัวว่าตัวเองจะเผยพิรุธ คนเป็นพ่อจึงทำได้เพียงมองตามแล้วก้มหน้าอ่านอีเมลที่ส่งมาจากบริษัท
วันนี้เขามีนัดเลี้ยงรุ่นของนักเรียนนอก จึงเลือกกลับมาบ้านก่อนเวลาเพราะอย่างไรก็ไม่มีงานอื่น ก่อนกลับไม่ลืมแวะไปรับภรรยาอยู่ที่ทำงาน ซึ่งตอนนี้หล่อนขลุกอยู่ห้องครัวเพิ่งเดินออกมาพร้อมจานผลไม้ที่ปอกเรียบร้อยแต่ไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่
มองแวบเดียวก็รู้ว่าฝีมือใคร...คงไม่ใช่แม่บ้านอย่างแน่นอน
“ยัยเฌอล่ะ” ต้นเดือนลงมาจากข้างบน ได้ยินเสียงหลานสาวแต่พอลงมากลับไม่เห็นซะอย่างนั้น
“ขึ้นห้องแล้ว”
“อ้าว หลานกลับมาหลายวันฉันเจอไม่ถึงสามครั้ง หมกตัวทำอะไรอยู่ในห้อง” บ่นรำพันถึงหลานสาวสุดที่รัก ต้นเดือนยังคงครองตัวโสดถึงจะมีสาวรุ่นราวคราวเดียวกันแวะเวียนมาขายขนมจีบบ่อยครั้งแต่เขาก็ไม่สนใจ
คิดว่าอยู่เป็นโสดเลี้ยงหลานไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน คุณรุ่งรดาก็ไม่ได้มายุ่งหรือจัดแจงเหมือนเมื่อก่อน ออกจะปลงซะด้วยซ้ำ
“งานเขานั่นแหละ พวกศิลปะฉันก็ไม่ถนัด...แต่เห็นว่าหม่าม้าจะทำสตูดิโอหลังบ้านให้เฌอ จากนี้คงไม่ค่อยได้เห็นหน้าหรอก” แม่ยายของเขาเปรยอยู่หลายครั้ง ล่าสุดติดต่อช่างเพื่อมาออกแบบห้องเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไม่รู้จะได้เห็นหน้าลูกสาวหรือเปล่า ถึงจะอยู่รั้วบ้านเดียวกันก็ตาม
“อืม...หลานรักของเขา ต้องยอมให้แหละ” พยักหน้าพลางจัดเนกไทให้เข้ารูป
ปริณดาจิ้มผลไม้แล้วป้อนถึงปากสามีโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องทำอะไร สร้างความหมั่นไส้ให้แก่ต้นเดือนเป็นอย่างมาก ยิ่งอยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่ความหวานไม่เคยลดลงเลยสักนิด
แต่ยังไม่ทันจะได้ลุกไปไหน กลับมีรถยนต์มาจอดหน้าบ้านพร้อมเสียงเรียกดังตั้งแต่ยังไม่ทันเห็นว่าแขกเป็นใคร ทุกคนมองหน้ากันทันทีรู้ดีว่าคนที่เข้ามาคือใคร
“หม่าม้า!” เรียกแบบนี้มีเพียงคนเดียวคือฌานินทร์
หนุ่มหล่อผู้มีอารมณ์ขันไม่อยากเหมือนพี่น้องคนอื่น พอเห็นเพื่อนเรียกพ่อแม่ว่าป๊าม้าเลยขอเรียกบ้าง กลายเป็นความแตกต่างที่ลงตัวและติดปากมาจนโต
“เสียงมาก่อนตัวอีก” ลูกชายคนนี้ติดแม่เป็นอย่างมาก แต่ก็เลือกไปอยู่บ้านประมุขการณ์แทนที่จะมาอยู่บ้านต้นตระการ เพราะรู้สึกว่ามีอิสระมากกว่า ทั้งยังใกล้โรงเรียนสามารถตื่นสายได้
แม้บ้านจะอยู่ใกล้แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะไปเข้าแถวทันเวลา กลายเป็นดาวเด่นของคนบ้านใกล้แต่มาสาย
“คิดถึงหม่าม้าจังเลยครับ ฟอด ฟอด” กอดปริณดาแล้วอ้อนทันทีพร้อมหอมแก้มของมารดาทั้งสองข้าง ทำเหมือนตนเองยังเป็นเด็กจนคนเป็นพ่อถึงกับส่ายหน้าแล้วเอ่ยเตือน
“ฌา สำรวมหน่อยสิ”