3 ตกใจงู
หลังจากได้ระบายอารมณ์ใส่เพื่อนซี้อย่างหมอพีรพร ที่เลือกจะทำงานอยู่ที่
หลังจากได้ระบายอารมณ์ใส่เพื่อนซี้อย่างหมอพีรพร ที่เลือกจะทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย หลังจากทำงานใช้ทุนเสร็จเธอผันตัวเองมาประจำอยู่โรงพยาบาลเอกชนแทน จึงไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก ได้แต่โทรระบายสารทุกข์สุกดิบหรือนัดเจอกันบ้างตามโอกาส หรือไม่ก็เวลาที่เธอต้องเข้าไปดูร้านกาแฟของตัวเองที่โรงพยาบาลเก่าที่เธอเคยทำงานอยู่กับพีรพร
ร้านกาแฟที่เธอเซ้งต่อเพื่อนมาอย่างไม่ตั้งใจ หลังจากทำงานเก็บเงินก้อนได้ก้อนแรก คิดไว้ว่าจะรวบรวมไว้ซื้อบ้านหลังเล็กๆ สักหลัง แต่เพราะเพื่อนซี้อีกคนเดือดร้อนขอยืมเงินไป บอกแค่สามเดือนจะคืนสุดท้ายเงินก้อนนั้นเธอจึงได้เป็นร้านกาแฟมาดูแลแทน โชคดีที่พนักงานร้านกาแฟของนังอรดี อดีตเจ้าของร้านกาแฟหรูข้างโรงพยาบาลนั้นเป็นญาติกัน ที่แถมมาพร้อมกับร้านดูไว้ใจได้ เธอจึงให้พวกเด็กๆ ดูแลร้านกันต่อ เธอเพียงหาเวลาเข้าไปที่ร้านบ้างอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งถึงสองวัน นับจนถึงวันนี้เรียกว่าเงินหลายแสนนั้นก็ได้คืนทุนแล้ว แต่เงินเก็บที่เคยมีก็หายไปหมด เพราะภาระที่มากขึ้นตามมา
ปรางทิพย์ออกมาสูดอากาศหายใจที่ระเบียงคอนโด ที่เธอจัดเป็นสวนหย่อมเล็กๆ มีโต๊ะไม้ชุดเล็กไว้สำหรับนั่งพักผ่อน บรรยากาศช่วงหัวค่ำ แสงไฟจากท้องถนนไกลๆ ชวนให้ทอดสายตามองตาม เธอเอนตัวนั่งพิงเก้าอี้หลับตาให้สายลมอ่อนๆ ปะทะผิวหน้า แม้จะรู้ว่ามันคือฝุ่นพีเอ็มก็เถอะ แต่สายลมเย็นๆ แบบนี้ก็ช่วยให้จิตใจเย็นขึ้นไม่น้อย
"อ๊ะ อ๊าาา ซี๊ด.."
แต่พลันเสียงหวานแหลม คล้ายคนจะขาดใจที่ดังลอดออกมาจากห้องไหนสักห้อง ทำเอาปรางทิพย์ขมวดคิ้ว เผลอหันสายตาไปทางที่มาของเสียง เมื่อคิดว่ารู้แล้วว่าเสียงนั้นมาจากห้องไหนเธอก็ได้แต่กลอกตาแล้วก็เบะปากใส่ห้องข้างๆ เมื่อรู้ว่าเสียงนั้นออกมาจากห้องน้ำที่อยู่ติดกับระเบียงห้องเธอนั่นเอง คงเพราะกระจกระบายอากาศในห้องน้ำที่เป็นแบบปิดไม่สนิทนั่นทำให้เสียงซี๊ดซ๊าดลอดออกมา
"อะไรจะหนักหน่วงกันขนาดนั้น" ปรางทิพย์ได้แต่บ่นพึมพำเบาๆ แล้วก็ต้องย้ายตัวเองเข้ามาตากเครื่องปรับอากาศภายในห้องแทน
บ้านบริรักษ์ไพศาลในวันที่สามพี่น้องพร้อมหน้ากันกลับมาทานข้าวที่บ้าน ไม่พ้นที่คุณประไพรผู้เป็นแม่จะต้องคอยเร่งรัดให้พี่ใหญ่กับพี่รองของบ้านรีบแต่งงาน ส่วนคนเล็กที่เพิ่งแต่งงานไปได้ไม่กี่เดือนก็ถูกเร่งให้มีหลานไวๆ
"คุณคะ ได้ยินว่าหนูมิลิน ไปฝึกงานที่โรงแรมเราหรือคะ" คุณประไพรเอ่ยถามคุณไตรภพผู้เป็นสามี
เรื่องที่คุณนายของบ้านเอ่ยถามทำให้บนโต๊ะอาหารเริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที โดยเฉพาะไตรคุณพี่ชายคนโต ส่วนคนรองไตรวิทย์ก็เริ่มขมวดคิ้วมองผู้เป็นแม่อย่างค้นหา พร้อมรอฟังคำตอบจากประมุขของบ้าน
"อื้ม ไปเป็นผู้ช่วยเลขาเจ้าคุณน่ะ"
"ได้ข่าวว่าปีนี้ คุณสาโรจน์จะลงสมัครสส. ด้วยใช่ไหมคะ" เมื่อเอ่ยถามถึงลูกสาวก็เลยถามไปถึงพ่อของเธออีกด้วย
"เห็นคุยว่าแบบนั้นนะ น้องทำงานเป็นไงบ้างล่ะเจ้าคุณ" เมื่อตอบภรรยาเสร็จ คุณไตรภพก็หันไปถามลูกชายคนโตต่อ
"เอ่อ ก็โอเคมั้งครับ ไม่เห็นเลขาผมว่าอะไร" น้ำเสียงไม่ใส่ใจ ผู้เป็นแม่ฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจใส่ลูกชายคนโต
"วันหลังชวนน้องมาทานข้าวที่บ้านบ้างซิ จะได้แนะนำให้เจ้าวิทย์รู้จักบ้าง" คนจะได้รับการแนะนำ ไอโขกขึ้นทันที เพราะกำลังจิบน้ำอยู่ ไตรฉัตรได้แต่หันไปยิ้มกับเหมือนแพรด้วยสายตาที่รู้กันสองคน อาการกลั้นยิ้มของน้องชายทำให้พี่ชายสองคนหันมาถลึงตาใส่
"ไม่ต้องแนะนำให้ผมเลยครับแม่ เด็กฝึกงาน ยังเรียนไม่จบน่ะซิ ผมเป็นอาจารย์นะครับ มันจะเสียหาย" อาจารย์วิทย์เอ่ยอย่างจริงจัง ยิ่งทำให้พี่ชายคนโตหันมามองตาเขียว
"ก็จริงอยู่ แต่น้องก็กำลังจะจบแล้วนะ"
"ไม่ดีหรอกครับ เกิดเสียหายขึ้นมา คุณอาสาโรจน์จะเสียหายไปด้วย ยิ่งกำลังจะลงสมัครอยู่ไม่ใช่หรือ แนะนำให้พี่คุณเถอะ" อาจารย์หนุ่มพูดจบไตรคุณก็ประเคนฝ่าเท้าใส่น้องชายอยู่ใต้โต๊ะเบาๆ ยิ่งทำให้ไตรฉัตรยิ้มขำพี่สองคนหนักขึ้น
"แกหุบยิ้มไปเลยเจ้าไตร ถือว่าตัวเองรอดแล้วไง ยาบำรุงที่แม่ส่งไปให้กินหมดหรือยัง ถ้าหมดแล้วฉันจะได้สั่งชุดใหม่ให้" ไตรคุณหันไปคาดโทษใส่น้องชายคนเล็ก เพราะรู้ว่าเจ้าตัวแอบเอายาจีนสูตรซินแสที่คุณแม่ให้ไปกินเพื่อบำรุงให้มีลูก สองผัวเมียนั่นแอบโกหกว่ากิน แต่แท้จริงแล้วแอบซ่อนไว้ไม่ยอมกิน ไตรฉัตรจำต้องหุบยิ้ม แล้วหันมาสนใจตักกับข้าวให้เมียรักแทน
"แกล่ะเจ้าวิทย์ พักนี้ไม่ค่อยกลับบ้านนะ ไปหาเลี้ยงอีหนูเหมือนพี่แกอีกหรือเปล่า" เมื่อไม่ได้เรื่องจับคู่ คุณประไพรก็หันมาเรื่องอื่นแทน
"มีที่ไหนล่ะครับแม่ ผมเร่งเขียนตำราอยู่ช่วงนี้ เผื่อจะได้เลื่อนเป็นศาสตราจารย์บ้าง"
"อย่าให้ฉันรู้นะ ว่าพวกแกไปแอบเลี้ยงอีหนูไว้ที่ไหน"
"ไม่มีครับ" สองพี่ชายแทบจะเอ่ยพร้อมกัน ยิ่งทำให้คุณประไพรมองลูกชายทั้งสองด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
หลังจากมื้ออาหารค่ำเสร็จสิ้น ภายในห้องนั่งเล่นใหญ่ของบ้านคงเหลือเพียงสามพี่น้องกับหนึ่งน้องสะใภ้ ไตรวิทย์เดินเข้ามาทีหลังก็ตรงไปที่เคาน์เตอร์บาร์หยิบไวน์ขวดหรูราคาแพงจากตู้แช่มาเปิด ทำเอาสองพี่น้องมองหน้ากัน เพราะนานๆ จะเห็นไตรวิทย์ อาจารย์ผู้เคร่งขรึมดื่มเหล้าในบ้านสักครั้งและเป็นวันที่ไม่ใช่วันหยุดอีกด้วย เพราะเจ้าตัวเคยบอกไม่อยากให้เมาค้างหรือมีกลิ่นเหล้าติดตัวไปสอนนักศึกษา ส่วนนอกบ้านเป็นที่รู้กันว่าผู้ชายบ้านนี้ดื่มหนักมาก
"พรุ่งนี้ไม่มีสอนหรือไง" ไตรคุณตามมานั่งที่เก้าอี้ทรงสูงหน้าเคาน์เตอร์บาร์ พลางเอ่ยถามน้องชาย แล้วก็รับแก้วไวน์จากไตรวิทย์มาแกว่ง ในท่าพร้อมดื่ม
"ไม่มี ว่าจะไปหาหมอสักหน่อย"
"เป็นไรพี่ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม" ไตรฉัตรรีบเอ่ยถาม แล้วก็รับแก้วไวน์มาเผื่อภรรยาตัวเองด้วย
"ไม่ต้องหรอก ไม่ได้เป็นไรมาก ปวดคอนิดหน่อย"
"แต่สีหน้าพี่ดูไม่ค่อยดีเลยนะ" ไตรฉัตรยังอดเป็นห่วงพี่ชายไม่ได้
"ไม่ดีเพราะเรื่องที่แม่พูดนั่นแหละ วันๆ คิดแต่จะหาเมียให้" พูดออกมาแล้ว จากคนที่เป็นห่วงก็กลายเป็นขำ
"แกก็หาแฟนสักคน แม่ก็เลิกยุ่งกับแกเองนั่นแหละ" พี่ชายคนโตเอ่ยแนะนำ พลางยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม
"แต่ผมว่าแม่เขาก็ต้องดูดีแล้วแหละถึงแนะนำให้น่ะ" ไตรฉัตรเอ่ย
"แกมันรอดแล้วนี่ ทำเป็นพูดดี ทีตอนนั้นอย่าให้ฉันเล่าให้เบบี๋ฟังนะ แกว่าอะไรไว้บ้าง"
"นายนี่ว่าอะไรบี๋คะพี่คุณ" เหมือนแพรรีบเอ่ยถาม พลางส่งสายตาเขียวให้สามีตัวเอง
"ไม่เคยว่าไรเลยครับเบบี๋" ไตรฉัตรหันมาทำเสียงอ่อนใส่ภรรยา ที่ยังมองตาขุ่นไม่หาย ไตรวิทย์ได้แต่ยิ้มขำสองผัวเมียคู่นี้เพราะความเป็นเพื่อนกันมาก่อน จึงทำให้ทั้งคู่ค่อนข้างจะไม่มีใครยอมกัน แต่สุดท้ายน้องชายเขาก็ยอมเมียอยู่ดี