บทย่อ
รศ.ไตรวิทย์ บริรักษ์ไพศาล หรือ อาจารย์วิทย์ อาจารย์ประจำภาควิชาคณะนิติศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ภายใต้กรอบแว่นตาหนา ใบหน้าหล่อคมคายนั้น กลับซ่อนความเป็นแบดบอยเอาไว้ได้อย่างมิดชิด แม้ภายนอกจะดูอบอุ่น แต่ความจริงร้อนแรงยิ่งกว่าแสงพระอาทิตย์ในวันที่อุณหภูมิ 40 องศา และบางครั้งมันก็รุนแรงยิ่งกว่าแผ่นดินไหว 8.7 ริกเตอร์ เสียอีก จนเธอ พญ.ปรางทิพย์ พัฒนะชาติ หรือ หมอปราง ต้องถึงขั้นเอากระดาษที่เขียนด้วยลายมือหมอ ไปแปะไว้ที่หน้าห้องข้างๆ "ตำน้ำพริก กรุณารองครกด้วยค่ะ" ❤️❤️❤️ อาจารย์วิทย์ เป็นลูกชายคนรองของคุณไตรภพกับคุณประไพร และเป็นพี่ชายของคุณไตรฉัตร จากเรื่อง รักอีกครั้งไม่อยากเป็นเพื่อน สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่าน คุณไตรฉัตร ไบโพล่า ก็สามารถอ่านเรื่องนี้ได้เข้าใจค่ะ เนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด แต่ก็อยากให้ทุกท่านได้รู้จักคุณไตรฉัตรนะคะ ❤️❤️❤️ ครอบครัว บริรักษ์ไพศาล (ทุกเรื่องสามารถอ่านแยกได้ค่ะ) เรื่อง รักอีกครั้งไม่อยากเป็นเพื่อน [ไตรฉัตร (ไตร) & เหมือนแพร (เบบี๋)] - แอบรักเพื่อนเป็นเหตุ เรื่อง สูตรรักศาสตราจารย์ [ไตรวิทย์ (อาจารย์วิทย์) & ปรางทิพย์ (หมอปราง)] - เสียงตำน้ำพริกข้างห้องเป็นเหตุ เรื่อง ก็จะเอาคนนี้ [ไตรพัฒน์ (พัฒน์) & มธุรน (มิลิน)] – ทักคนผิดเป็นเหตุ (ฝาแฝด) เรื่อง ฝุ่นในใจคุณ [ไตรคุณ (คุณ) & ละอองรัก (ฝุ่น)] – ความแค้นเป็นเหตุ (ฝาแฝด)
1 เสียงตำน้ำพริก
ปึก ปึก ปึก !!
พญ.ปรางทิพย์ พัฒนะชาติ หรือ หมอปราง ฝืนโงหัวขึ้นมาจากหมอนใบใหญ่สีขาวสะอาดตา ด้วยความหงุดหงิด เพราะเสียงที่ดังอยู่ตรงหัวเตียงของเธอเป็นจังหวะถี่ๆ ความดังที่เป็นจังหวะแบบนั้นแทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าข้างห้องของเธอลุกขึ้นมาเขย่าเตียงกันทำไมในช่วงเช้าตรู่ ของวันที่เธอเพิ่งจะกลับจากเวรดึกมา แล้วหัวอันหนักอึ้งของเธอเพิ่งจะถึงหมอนไปเมื่อไม่ถึงชั่วโมงนี้เอง
ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เธอเพิ่งจะย้ายเข้ามาที่คอนโดแห่งนี้ เพราะเห็นว่าทำเลใกล้กับโรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่และค่าเช่าในราคาเป็นมิตร แถมห้องยังสะอาดสะอ้านเพราะเจ้าของดูแลเอาไว้อย่างดี ถึงแม้คอนโดนี้ภายนอกจะดูเก่าอยู่สักหน่อยเพราะถูกสร้างมานานมากแล้วก็ตาม
แต่ไอ้เสียงปึกๆ ที่ดังสนั่นจนเธอแทบจะคลอนหัวตามเสียงข้างห้อง ทำเอาเธอจะเป็นบ้าตาย ภายในหนึ่งอาทิตย์เธอจะต้องได้ยินเสียงนี้ไม่ต่ำกว่าสองครั้ง บางอาทิตย์โชคดีก็เงียบหายไป แต่อาทิตย์นี้เธอได้ยินเสียงนี้มาสามวันแล้ว ไม่ว่าเธอจะอยู่เวรเช้าหรือเวรดึก บางวันเสียงก็ดังอยู่เกือบครึ่งค่อนคืน จนเธอแทบจะเป็นหมีแพนด้าไปทำงาน
ปรางทิพย์เปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานหยิบกระดาษสีขาวขึ้นมาหนึ่งแผ่น พร้อมด้วยปากกาเคมีหัวใหญ่ ที่คิดว่าเขียนแล้วมันจะตัวใหญ่เห็นได้ชัดๆ
ตำน้ำพริก กรุณารองครกด้วยค่ะ
เธอพยายามบรรจงลายมือหมอให้อ่านได้ง่ายที่สุด หวังจะให้ข้างห้องอ่านออก และเรื่องราวตัวหนังสือบนแผ่นกระดาษนั้น แม้จะคนละเรื่อง แต่ก็หวังว่าคนที่อยู่คอนโดราคาเป็นล้าน หรือเช่าอยู่ก็ไม่ต่ำกว่าเจ็ดพันนั้น จะได้สำนึกและเข้าใจได้เอง ว่าควรจะต้องเกรงใจข้างห้องอย่างไรบ้าง
ปรางทิพย์แปะกระดาษแผ่นนั้นที่หน้าห้องข้างๆ เสร็จแล้ว ก็ได้แต่กลับมานอนเอาหมอนปิดหัวปิดหูเอาไว้ เพราะตั้งแต่เธอลุกขึ้นไปเขียนข้อความนั้น จนนำไปติดที่หน้าห้องแล้วกลับมาเพื่อนอนต่อ เสียงนั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จสักที สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้คงต้องหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์และความเชื่ออันน้อยนิดของเธอ
"สาธุ ขอให้มันอักเสบ หรือไม่ก็ให้เตียงมันหักไปซะจะได้ไม่ต้องเสียงดัง"
เพราะความเหนื่อยมาตลอดทั้งคืน แม้จะได้งีบบ้างในบางช่วง แต่ร่างกายที่ถูกใช้งานผิดเวลาแบบนี้ก็ทำให้เธอยิ่งต้องการเวลาพักผ่อน โดยเฉพาะในช่วงวันหยุด แต่กลับถูกทำลายลงเสียได้
ปรางทิพย์ตื่นมาอีกครั้งในช่วงเย็นของวันเพราะความหิว โชคดีที่คืนนี้เธอไม่ได้อยู่เวร และก็หวังว่าจะไม่ได้ยินเสียงตำน้ำพริกในตอนกลางคืนอีก เธอหอบร่างไร้เรี่ยวแรงอาบน้ำให้พอสดชื่น คิดจะออกไปซื้อกับข้าวสำหรับมื้อเย็นที่ซูเปอร์มาร์เกตถัดจากคอนโดไป
ชุดลำลองขาสั้นที่เธอเลือกใส่ ผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นมัดเป็นมวยหลวมๆ ไว้กลางศีรษะ ส่งให้ใบหน้าหวานไร้เครื่องสำอางดูสดใสขึ้นไม่น้อยแม้วัยจะใกล้สามสิบอีกไม่กี่ปีแล้วก็ตาม เธอกำลังจะเปิดประตูห้องออกมา แต่พลันได้ยินเสียงคล้ายคนคุยกันอยู่ที่หน้าห้องข้างๆ เธอจึงชะงักมือไว้ เพราะคิดถึงเรื่องกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาได้ รอยยิ้มเยาะเกิดขึ้นที่มุมปาก พยายามเงี่ยหูฟังเสียงคนจากห้องข้างๆ แต่เสียงก็เงียบหายไปแล้ว เธอจึงส่องตาแมวที่หน้าประตูห้อง แล้วก็ต้องตกใจจนเกือบเสียงดังให้คนที่กำลังเดินผ่านและหันหน้ามามองที่ประตูห้องเธอได้ยินเสียง ถ้าเธอไม่ตะปบปากตัวเองเอาไว้ได้ทัน ผู้ชายตัวสูงคนนั้นคงรู้แน่ว่าเธอแอบมองเขาอยู่ หรือว่าเขาจะรู้
ใบหน้าภายใต้หน้ากากอนามัยสีดำ กรอบแว่นตาใสนั้น แทบจะปกปิดความหล่อคมคายเอาไว้ไม่มิด แค่เห็นดวงตาเรียวอีกทั้งคิ้วเข้มได้รูปที่พาดผ่านส่งให้ใบหน้าขาวนั้นเด่นเรียกว่า หล่อทะลุแมสก์ก็ว่าได้ เธอรีบหลบสายตาคมราวกับว่าคนคนนั้นจ้องมองเธออยู่ มือที่ปิดปากย้ายมาจับที่หัวใจของตัวเองไว้เพราะมันออกจะตื่นเต้นที่เหมือนถูกจับได้ว่าแอบมองเขาอยู่
รอจนเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินหายไปสักพัก เธอจึงออกมาจากห้อง ไม่ลืมที่จะหันสายตาไปมองกระดาษแผ่นนั้นที่หน้าห้องข้างๆ คงเหลือเพียงรอยสกอตช์เทปใสที่ติดอยู่กับเศษมุมกระดาษ คงเพราะคนดึงกระชากมันออกจนเหลือร่องรอยเอาไว้ เธอไหวไหล่เบาๆ ให้ตัวเอง นึกดีใจว่าต่อไปคงจะไม่ต้องได้ยินเสียงนั้นอีก
ปรางทิพย์ลงลิฟต์มาถึงชั้นล่าง เดินออกมาจนพ้นประตูหน้าอาคาร เพื่อจะออกไปที่ถนน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายเชิ้ตดำที่เดินผ่านหน้าห้องเมื่อครู่ เขากำลังจะเปิดประตูรถบีเอ็มดับเบิลยูคันหรูของเขา และเหมือนสายตาเขามองมาที่เธอ ปรางทิพย์รีบหลบสายตานึกดีใจที่ช่วงเวลาในยุคโรคระบาดยังไม่จางหาย ทำให้ผู้คนยังคงใส่หน้ากากอนามัยกันอยู่บ้าง แม้จะมีหน้ากากอนามัยสวมอยู่ แต่เธอก็หน้าเห่อร้อนขึ้นเสียดื้อๆ เมื่อนึกถึงเสียงกระแทกถี่ อีกทั้งสายตาคมดุนั้น ถ้าเขารู้ว่าเธอเป็นคนเอากระดาษไปติดที่หน้าห้อง แทบจะเดาไม่ออกว่าเขาจะจัดการกับเธออย่างไร แล้วสายตานั่นก็ออกจะน่ากลัวอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ปรางทิพย์ค่อยๆ เดินผ่านรถคันนั้นไปอย่างไร้พิรุธ เธอเลือกที่จะไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างหน้าถนนเพราะเห็นจะสะดวกกว่าขับรถไปเองที่ต้องยูเทิร์นไกล เธอแอบหันมามองรถคันหรูนั้น เห็นกำลังเคลื่อนตัวออกจากหน้าคอนโดมาที่ถนน แล้วก็ขับผ่านรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างของเธอไป ปรางทิพย์ได้แต่ถอนหายใจแรงๆ ออกมา