3
นางรำในชุดบางเบาอวดความงามพร้อมจอมยุทธ์ที่ร่ายรำเพลงดาบ ฉากต่อสู้ดุเดือดฉายขึ้นพร้อมเสียงผีผาหวานซึ้งสลับเสียงกลองดังทุ้มในใจ ก่อนตัดมายังใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มผมยาวสีดำราวกับน้ำหมึก เป็นตอนนั้นที่หล่อนนึกขำตนเอง สุดท้ายก็พ่ายแพ้แก่ชายงาม แถมเป็นชายงามที่เพียงแค่แรกเห็นหน้า หัวใจก็กระตุกไหว
เสียงนักเล่านิทานพเนจรดังขึ้น มันอยู่ในชุดคลุมยาว ปกปิดใบหน้ามิดชิด เสียงมันแหบพร่าหากมีเสน่ห์ชวนฟัง
“ถึงเวลาของเจ้าเสียที ข้ารอคอยมานานเหลือเกิน”
วีรินทร์ยังสับสนต่อทุกสรรพสิ่งรอบตัว ก่อนหันมาสนใจเสียงที่เอ่ยทัก
“รอหนู...รอทำไมคะ”
มันหัวเราะเสียงน่าเกลียด ก่อนเอ่ยถึงชายงามผู้นั้น และเรื่องราวสุดโลดโผนของอีกฝ่าย
“คุณชายผู้ต่ำต้อย อาศัยอยู่ในเรือนเล้าหมูข้างโรงเก็บฟืนร้าง ใครจะรู้ว่าภายนอกที่เหมือนคนไม่เอาถ่าน เนื้อแท้เขาคือผู้ที่สร้างสรรค์ศิลปะชั้นเยี่ยม ผ่านภาพวาดสาวงามในหอหูเตี๋ยฮวา”
วีรินทร์ตั้งใจฟังสิ่งที่นักเล่านิทานกล่าว พลางจดจ้องหนุ่มรูปงามที่สวมชุดยาวสีฟ้าอ่อนสลับขาว เขาผูกผมยาวสลวยด้วยผ้าสีเข้ม สองแก้มนวลใส ริมฝีปากชุมชื้นเป็นกระจับสวย
“จะว่าหล่อก็หล่อลากดิน จะว่างามก็งามล่มบ้านล่มเมือง โลกนี้มีคนแบบนี้อยู่ด้วยจริงๆ หรือ”
ยามเขายิ้มและหัวเราะยิ่งขับให้ใบหน้าดูอ่อนหวานงดงาม ชวนให้นึกถึงเทพจากสรวงสวรรค์
“นี่ถ้าได้อยู่ใกล้ชิด กะหนุงกะหนิงทั้งวัน ชาตินี้คนสวยคงนอนตายตาหลับ” หล่อนว่าไปด้วยความคึกคะนอง
“ความต้องการของเจ้า มิไกลเกินเอื้อม บุรุษผู้นี้ผูกพันต่อเจ้า ฟ้าดินลิขิตโชคชะตาไว้ ผิดแต่ยามนี้ดวงตาเจ้ามืดบอด จึงมองไม่เห็นด้ายแดงที่ร้อยรัดกัน”
“ฝัน! แก้มอุ่นต้องฝันไปแน่ๆ คนหล่อขนาดนี้จะมาเป็นผู้ชายของแก้มอุ่นได้ยังไง” หล่อนสงสัยหนัก
“คำตอบมีอยู่ที่ตัวเจ้า ไม่มีผู้ใดล่วงรู้” สิ่งที่นักเล่านิทานกล่าว สร้างความสงสัยแก่วีรินทร์
“หมายความว่ายังไง”
“ข้าไม่ได้มีหน้าที่ตอบ สิ่งที่เจ้าผูกพันกับคุณชายจะนำพาให้ได้พบกันอีกครา และขึ้นอยู่กับว่าบุญแลวาสนาจะเกื้อกูลกันหรือไม่”
“โอ้ เหมือนพวกละครหลังข่าวแนวข้ามภพข้ามชาติเปี๊ยบ!”
วีรินทร์ว่าเสียงสนุก หล่อนชอบเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่เพ้อฝันเป็นทุนอยู่แล้ว
“ทุกสิ่งเจ้าก็รู้ดี ดังนั้นจงพยายามเอาตัวรอดให้ได้ในโลกที่เจ้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน”
“อูย จริงจังอะไรขนาดนั้น นี่แค่ความฝันนะคะ”
หล่อนว่าพลางมองรอบตัว เห็นต้นหอมหมื่นลี้ซึ่งยามนี้ดอกของมัน
เคลื่อนไหวไปมา ดูงดงามเกินจะอยู่ในโลกแห่งความจริง
“แต่อย่าลืมว่าเกิดมามีชีวิตเดียว ดังนั้นจงรักษาเอาไว้ให้ดี สิ้นลมหายใจเมื่อไร ทุกอย่างเป็นอันมอดดับ”
“พูดเป็นลางแบบนี้แสดงว่ามีเรื่องชวนขนหัวลุกรอแก้มอุ่นอยู่ใช่ไหม แบบนั้นไม่เอาด้วยหรอก ยังไงที่นี่ก็มีผู้ชายหล่อล่ำให้แก้มอุ่นเสวยสุขเพียบ”
“อย่าเอาแต่พูดจาเหลวไหล เจ้าหารู้ไม่ว่าในชาติภพก่อน เจ้ากระทำสิ่งชั่วช้าใดไว้บ้าง ฉะนั้นจงกลับไปแก้ไขเสีย มิเช่นนั้น ชีวิตนี้จะ
ไม่ได้พบความสุข”
“หืม สรุปว่าท่านเป็นผู้ใดกันแน่ ยมทูตในขุมนรก หรือนักเล่านิทาน”
“ข้าเป็นสิ่งใด เจ้าอย่าได้นำพา ให้รู้เพียงแต่ว่าเจ้าจะเกิดใหม่ในร่างอื่น และหนทางอยู่รอดนั้น ขึ้นอยู่ว่าเจ้าจะสามารถใช้สติและปัญญาที่มีอยู่นี้ ช่วยตนเองได้มากน้อยแค่ไหน”
“โอเค คนสวยเข้าใจ แต่ยังไงขอให้เกิดใหม่ในร่างผอมเพรียวและสวยแซ่บนะเจ้าคะ อีกอย่าง ขอให้ผู้ชายทั้งแผ่นดินก้มหัวให้หนูแบบถวายชีวิตเลยยิ่งดี”
หล่อนพลั้งปากต่อรองอีกฝ่ายอย่างคะนอง พอมันวางสีหน้าเข้ม และปิดปากเงียบเลยถามย้ำ
“ขอแบบนี้ ไม่ผิดกติกาใช่ไหมเจ้าคะ”
“ย่อมกระทำได้ ทั้งหมดที่กล่าวมาคือความปรารถนาที่แท้จริงอย่างนั้นรึ”
“แน่นอน ผู้หญิงที่ไหนจะไม่อยากสวยพร้อมมีผู้ชายล้อมหน้าล้อมหลัง ยิ่งให้หลงรักแบบหัวปักหัวปำได้ นับว่าเยี่ยมยอด”
ร่างในชุดคลุมยาว ยกมือข้างหนึ่งลูบเคราที่ปลายคาง ก่อนหัวเราะเสียงทุ้มกังวาน
“เอาอย่างนี้ ข้าจะให้สองสิ่งตามที่เจ้าขอ แต่เจ้าต้องยอมรับเงื่อนไขอื่นที่จะตามมาด้วย ทุกสิ่งล้วนมีด้านตรงกันข้าม” น้ำเสียงในปลายประโยคของอีกฝ่ายชวนหวาดหวั่นใจ
วีรินทร์นิ่วหน้าอยู่เล็กน้อย นึกแปลกใจต่อสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าว แต่วินาทีนี้ หล่อนถูกภาพหนุ่มรูปงามมอมเมาจนยากจะถอนใจ โดยเฉพาะตอนที่เขายิ้มกว้าง และส่งสายตาเจ้าชู้ฝากรักมาให้
“ตกลงค่ะ การค้าขายครั้งนี้ แก้มอุ่นยอมรับข้อเสนอ”
จากนั้นหญิงสาวก็ล่องลอยอยู่ในความฝันอันแสนยาวนาน...
ชายหนุ่มผู้นั้นมีผิวขาวละเอียด ดวงหน้าเขางดงามหากแต่ดูสง่ามิใช่อ่อนหวาน ยามนี้สองแก้มแดงปลั่งเพราะอากาศค่อนข้างอบอ้าว และมันขับให้เขาน่าหลงใหลประหนึ่งมีเวทมนตร์
ดวงตาสีดำขลับจับจ้องหน้ากระดาษด้วยความตั้งใจ เขานั่งอยู่ตรงนั้นนานแล้ว มือขวาถือพู่กันสะบัดไปมา เป็นเวลาอีกราวๆ หนึ่งก้านธูป เขาจึงหยุดมือ และยิ้มอย่างพึงใจเมื่องานสำเร็จ
“ส่งมันไปที่หอหูเตี๋ยฮวา มอบให้คุณชายสี่แห่งสกุลไป๋ อย่าลืมรับเงินส่วนที่เหลือกลับมาด้วย”
เขาสั่งเต่าน้อย บ่าวรับใช้ในบ้านซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังจงรักภักดีต่อคุณชายผู้ไร้เกียรติ ซึ่งอาศัยในเรือนเก่าที่อดีตเคยเป็นเล้าหมู
หนึ่งปีก่อนหลังจากถูกส่งตัวมาที่นี่ก็ไม่มีใครอยากมารับใช้เขา แต่บ่าวต่ำต้อยเคยได้รับการเลี้ยงดูจากบิดาฉีหยางซิ่วตั้งแต่เล็ก มันลั่นวาจาไว้ถึงตายก็จักทดแทนบุญคุณนายตัวจริงของตระกูลฉี
หนุ่มรูปงามซึ่งยากพบเห็นได้ในใต้หล้า อดีตเขาเกิดในตึกใหญ่เทพเซียนอักษร แต่มรสุมชีวิตทำให้ระหกระเหินจากไปตั้งแต่แบเบาะ อาศัยอยู่กับผู้เฒ่าถานนับสิบปี ก่อนที่จะได้ไปฝึกวรยุทธ์ที่ผาไร้นามกับปรมาจารย์
ฉีหย่งชางผู้ล่วงลับ
ครั้นเติบใหญ่จึงกลับมายังบ้านเกิดตามคำสั่งเสียของปู่ที่ให้ไว้ เขาเดินทางมาพร้อมพู่กันเหล็ก ศาสตราวุธล้ำค่าซึ่งฉีหย่งชางมอบให้
“เลือดของเจ้าคือคนตระกูลฉี เรือนตายของเจ้าอยู่ที่นั่น ปู่มอบสิ่งนี้ให้เจ้าเก็บรักษา เมื่อเติบใหญ่จงสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าสำนักตะวันไร้พ่าย...ต่อแต่นี้อย่าได้เป็นคนหูเบา เหลาะแหละอย่างบิดา”
กระนั้น ชายหนุ่มก็มิใช่คนมักใหญ่ใฝ่สูง คำสั่งเสียสุดท้ายของปู่เป็นเหมือนภูเขาขนาดมหึมาที่กดทับบนหลังไหล่ และโชคชะตานั้นเล่นตลก เมื่อคืนสู่ตระกูลฉี ได้เกิดเรื่องพลิกพลันเมื่อผู้เป็นพี่ชายต่างมารดายึดทุกอย่างไปเป็นของตน
ฉีหยางซิ่วจึงกลายเป็นคุณชายตกอับ นั่นเป็นสาเหตุให้เขาเริ่มหากินด้วยการวาดภาพ ซึ่งภายหลังได้สร้างเม็ดเงินให้เขาอย่างงาม
แต่แรกหลังจากถูกส่งตัวมาอยู่เรือนเล้าหมู เขาต้องอดมื้อกินมื้อ ถูก
เหยียดหยามจากฉีเจียนหลิว รวมถึงคนรับใช้ในบ้าน และเหล่าสมุนนักดาบของมัน
ชายหนุ่มมิเคยตอบโต้ เขาอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว อาศัยข้าวและอาหารที่ถูกส่งมาเพียงน้อยนิดเลี้ยงตน ชีวิตจึงขัดสนหนัก นานวันเข้า คุณชายผู้นี้จึงถูกคนในตึกเทพเซียนอักษรลืมเลือน
“เอ่อ แล้วรูปสำหรับหอลู่ไป๋เซ่อที่แม่นางผู้หนึ่งต้องการให้คุณชายวาดจะทำเยี่ยงไร คนของนางท่าทางเป็นนักเลงโต วันก่อนติดตามบ่าวมาจนถึงประตูเล็กด้านหลัง โชคดีที่บ่าวซ่อนตัวทัน มิเช่นนั้น พวกมันคงบุกเข้ามา”
เต่าน้อยเล่าถึงเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานให้ฟัง คือเรื่องที่เขาลักลอบวาดรูปอนาจารซึ่งกำลังเป็นที่จับตาของคนภายนอก
“บัดซบ ข้าคือว่าที่เจ้าสำนักตะวันไร้พ่าย ผู้สืบทอดวิชา พู่กันปลิดวิญญาณ ใครหน้าไหนกล้ามาตอแย”
เด็กหนุ่มลุกพรวดจากม้านั่ง ความเดือดดาลท่วมท้นใจ
หอลู่ไป๋เซ่อเต็มไปด้วยคณิกาชายงามหลากหลายเชื้อชาติ พวกมันมีหน้าที่เล่นดนตรี และระบำรำฟ้อน เพื่อมอบความสุขสำราญแก่ผู้คน จริงอยู่ การที่จะให้เขาวาดรูปผู้ชายเปลื้องผ้ารวมถึงภาพสมสู่กันทางประตูหลังเป็นเรื่องชวนให้สะอิดสะเอียน กระนั้น หากเขาไม่กระทำตาม ข่าวที่เขาลักลอบวาดภาพสาวงามรวมถึงการเขียนหนังสือชุนกงอาจแพร่งพรายออกไป
“คุณชายโปรดระงับโทสะ บ่าวคาดว่าแม่นางผู้นั้นอาจแค่ลองใจท่าน”
“ลองใจอย่างงั้นหรือ” ฉีหยางซิ่วทวนคำพูดเต่าน้อย
มันมีอายุมากกว่าเขาเกือบครึ่งรอบ แต่ด้วยรูปร่างผอมบางจึงดูเหมือนเด็กผู้ชาย ผิดกับเขาซึ่งสูงสง่าเกินวัย
“ใช่ขอรับ หลังจากพบหน้ากันคราวนั้น บ่าวก็ไปขอความช่วยเหลือจากโรงเตี๊ยมป่าไผ่ ท่านป้าของนายน้อยกำชับว่าอย่าขัดใจแม่นางผู้นั้น”
“เอ ท่านป้าลู่เหลียนมีแผนอันใด” ฉีหยางซิ่วคิดใคร่ครวญ ก่อนกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นเอาเช่นนี้ บอกนางปีศาจบ้าตัณหาว่าข้าจะรีบจัดการให้ และเจ้าก็อย่าให้ใครจับตัวได้ หากพลาดพลั้งจงปิดปากเสีย”
คนรับใช้ค้อมศีรษะ แล้วรีบก้าวจากไปเพื่อส่งภาพวาดให้ลูกค้าของฉีหยางซิ่ว