ตอนที่ 3 : ฝืนใจ
ตอนที่
[2]
ฝืนใจ
“หนึ่ง.... คำนับฟ้าดิน
สอง....คำนับพ่อแม่
สาม....คำนับกันและกัน ส่งตัวเข้าห้องหอได้”
แม้จะเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม สุดท้ายงานมงคลก็เกิดขึ้นจนได้ หากแต่บรรยากาศงานมงคลที่หลายคนเรียกขาน กลับคล้ายกับงานขาวดำก็ไม่ปาน ด้วยความไม่ยินยอมของหลายคนจากทั้งสองตระกูลโดยเฉพาะผู้เป็นเจ้าบ่าวที่กำลังแสดงหน้าตาบูดบึ้งราวกับไม่สบอารมณ์หนักหนา แต่สุดท้ายพิธีการก็ดำเนินสู่ขั้นตอนสุดท้ายจนได้….
ในยามนี้เรียกได้ว่าครอบครัวตระกูลหยวนและตระกูลช่ายถือว่าได้เกี่ยวดองกันแล้ว
สองเรียวขาก้าวย่างอย่างมั่นคงเมื่อถูกนำทางไปยังห้องหอที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ สตรีงดงามอยู่ใต้ผ้าคลุมสีแดงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือดีใจเลยแม้แต่น้อยแม้ว่าจะได้ตบแต่งกับบุรุษในดวงใจ นางแอบรักเขาเงียบ ๆ มานาน แต่ไม่คิดเผยความในใจออกไป ยิ่งเมื่อรู้ว่าเขามีใจให้กับพี่สาว ‘ต่างสายเลือด’ ที่อยู่ในจวนเดียวกันนางยิ่งไม่คิดจะเปิดเผยอันใดและพยายามที่จะตัดใจจะเขาอยู่ทุกวันและสักวันคงได้จากไปอย่างเงียบ ๆ แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นเสียก่อน
ในที่สุดการเดินทางก็สิ้นสุดลง….ผู้ที่นำทางเมื่อทำหน้าที่ของตนเสร็จก็ล่าถอยออกไป ไม่นานเสี่ยวหวาบ่าวรับใช้ที่ติดตามกันมาตั้งแต่จวนตระกูลช่ายก็ตามเข้ามาในห้อง
“คุณหนูมีอันใดให้บ่าวช่วยหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวหวาว่าพลางนั่งลงที่ด้านล่างข้างขวาผู้เป็นนาย
“ช่วยข้าปลดเปลื้องอาภรณ์และเครื่องประดับบนหัวออกก่อนเถิด”
“แต่ว่า….” นั่นไม่ต้องรอผู้เป็นเจ้าบ่าวมาเปิดให้หรือ เสี่ยวหวาได้แต่คิดแต่ไม่ได้กล่าวออกไปด้วยกลัวว่าจะกระทบจิตใจของผู้เป็นนาย
“เขาไม่มาหรอก” แต่ช่ายจือซิ่วรู้ดีว่าคืนนี้เขาไม่มาที่นี่เป็นแน่ ยามนี้ในใจของเขานอกจากจะไม่มีนางในใจเขากระนั้นคงจะเพิ่มความเกลียดชังนางด้วยแล้วเป็นแน่ ด้วยเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของนาง
และในส่วนลึกนางก็ยังไม่ปรารถนาที่จะพบเขา…..
เหตุการณ์ในคืนนั้นมันไม่น่าอภิรมย์ทั้งยังเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน หาใช่ความรู้สึกอ่อนหวานอย่างที่ควรจะเป็น
เมื่อคิดว่าหากคืนนี้จะต้องพานพบกับเรื่องเช่นนั้นอีก ในใจก็พยายามจะหลีกหนีไม่น้อย
“เพราะเหตุใดเจ้าคะ” คำถามของสาวรับใช้ทำให้นางตื่นจากภวังค์ของตนเอง
ด้านเสี่ยวหวานั้นเต็มไปด้วยความสงสัย แม้จะรู้ว่าคุณชายหยวนไม่มีใจให้นายของตน แต่ว่าในวันสำคัญเช่นนี้ย่อมสมควรทำให้เสร็จสิ้นพิธีการ กล่าวคือ ควรไว้หน้าตระกูลช่ายบ้าง
“เพราะเหตุใดเจ้าก็น่าจะรู้ คนที่เขามีใจให้มิใช่ข้า อีกอย่างแม้ว่าเขาจะทำเช่นนี้ ตระกูลช่ายก็ไม่ว่าอันใดเขามากหรอก”
เพราะว่านางมิใช่บุตรสาวที่แท้จริงของพวกเขาอย่างไรล่ะ
นางเป็นเพียงบุตรสาวบุญธรรมที่ท่านปู่ฝากฝังให้ผู้นำตระกูลช่ายหรือช่ายหมิงจื้อ ท่านพ่อที่นางเรียกขานในยามนี้ให้รับเลี้ยงนางเอาไว้เมื่อครั้งที่นางอายุเพียงสิบหนาว ยามนั้นก่อนที่ท่านปู่จะจากไปด้วยโรคชรา ได้ฝากฝังนางกับบุรุษที่มีความเก่าความหลังกันที่มาจากเมืองหลวงให้รับนางไปเลี้ยงในฐานะบุตรสาวบุญธรรม
เมื่ออีกฝ่ายตกลงนับจากวันนั้นนางก็เป็นบุตรสาวของตระกูลช่ายได้ราวเจ็ดปีแล้ว
กลายเป็นคุณหนูรองของจวนตระกูลช่าย
หนึ่งในตระกูลที่มีชื่อของเมืองหลวง
หากคนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางคงรู้สึกอิจฉา ที่เด็กน้อยกำพร้าจากแดนเหนือจู่ ๆ ก็ได้กลายมาเป็นบุตรสาวของขุนนางตระกูลใหญ่เช่นนี้
แต่แท้จริงกลับมิได้เป็นเช่นนั้น
บิดาที่คล้ายจะดีด้วย กลับสนใจเพียงแค่ตนเองเป็นหลัก มารดาเลี้ยงที่แสดงความจงเกลียดจงรักตั้งแต่วันแรกที่นางก้าวขาเข้าจวน
พี่สาวที่งดงาม สุขุม แต่ทว่าซ่อนเร้นความร้ายกาจเอาไว้มากมาย
ไหนจะน้องชายฝาแฝดสองคน ที่แม้ยามนี้จะอยู่ที่สำนักศึกษาเป็นหลัก อย่าง ช่ายหลิวซิ่ง และ ช่ายหลิวซ่าน วัยสิบหนาว แต่ก่อนหน้าที่พวกเขายังอยู่ที่จวน นางถูกกลั่นแกล้งมาตั้งเท่าไร คนในจวนตระกูลช่ายรู้ดี โดยเฉพาะบิดาผู้นั้น แต่เขาเพียงบอกกับนางว่า น้องชายเพียงแค่ซุกซนและอยากสนิทสนมกับนางก็เท่านั้น
สนิทสนมอันใดกัน
แผลที่ขาของนางยามที่สองแฝดนั่นฟาดไม้ลงมายามที่นางไม่ทันตั้งตัวยังอยู่อย่างชัดเจน แม้จะใช้สมุนไพรที่ท่านปู่มอบไว้ให้ก็ตาม ที่จริงนางเพิ่งมารู้ภายหลังว่า สมุนไพรนั้นดีมาก ๆ อยู่แล้ว แต่เพราะมันถูก….เพิ่มเติมบางอย่าง จึงทำให้ประสิทธิภาพมันลดลง หรืออาจจะไม่เหลือ
ชีวิตในตระกูลช่ายนั้นไม่ง่าย
และนางพยายามที่จะหาทางออกจากที่นั่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หากแต่เป็นเพราะความโง่เขลาของตนเองในหลายด้าน ทั้งยังอยากจะเห็นหน้าเขานานขึ้นอีกหน่อย สุดท้ายจึงได้ตกมาอยู่สภาพนี้
ที่จริงแล้วนางนั้นคงโง่เขลาอยู่มาก
เพราะทุกวันนี้แม้จะหวาดกลัวแต่นางก็ยังอยากเห็นหน้าเขาอยู่เช่นเดิมและถึงแม้ว่าเขาจะเกลียดชังนางไปแล้วก็ตาม
“คุณหนูบ่าวแกะเครื่องประดับเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เสียงของเสี่ยวหวา เรียกสติของช่ายจือซิ่วให้กลับมา
ใบหน้างามไร้ผ้าคลุมยามนี้หากผู้ใดได้พบเห็นคงจะแทบลืมหายใจกันแน่นอน หากแต่ผู้ที่ควรจะเห็นกลับไม่มาเสียนี่
“เสี่ยวหวา เจ้ากินข้าวเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่”
เสี่ยวหวาบ่าวตัวน้อยรู้สึกสงสารผู้เป็นนายจับใจ วันสำคัญเช่นนี้กลับต้องพบกับความทรงจำที่เรียกว่าเลวร้าย อย่างไรเรื่องนี้พรุ่งนี้ต้องถูกกระจายออกไปเป็นแน่ ยามนั้นผู้คนจะพูดถึงผู้เป็นนายว่าอย่างไร คิดแล้วพานให้ปวดใจยิ่งนัก
สุดท้ายก็ต้องนั่งเคียงข้างกันกินข้าวข้างอีกฝ่ายไปอย่างเงียบเชียบ พลางคิด ภายในใบหน้าที่เรียบนิ่ง คุณหนูของตนจะเจ็บปวดเพียงใดหนอ
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“ฮูหยินน้อย….”
“อย่าเรียกนางว่าฮูหยิน นางมิใช่ฮูหยินของข้า!” น้ำเสียงดุดันเอ่ยขึ้นทันทีหลังได้ยินถ้อยคำที่ไม่รื่นหู
“ขะ ขอรับ คุณหนูช่ายนางกินอาหารจากนั้นก็ชำระกายเข้านอนแล้วขอรับ”
“นางไม่รอข้า?”
“เอ่อ ขอรับ”
“หึ อวดดีนัก!”
หยวนมู่เหยียนแววตาเข้มขึ้นพลางนึกถึงสตรีที่เขาไม่เต็มใจที่จะแต่งด้วยความไม่ชอบใจ
เขาหวังว่าจะเห็นนางเฝ้ารอและทุกข์ใจที่เหตุใดเขาไม่เข้าหอเสียที
แต่ผู้ใดจะคาดคิด นางทั้งไม่รอ ไม่ทุกข์ร้อน กลับกินอิ่มนอนหลับได้อย่างสบายใจ คิดแล้วก็ได้แต่สะบัดแขนเสื้อเข้าเรือนรับรองของตระกูลหยวนด้วยความหงุดหงิด
อวดดีนักก็ให้มันเป็นไปตลอด เขาจะคอยดูว่าจะทำไปได้สักกี่น้ำ!
การทิ้งเจ้าสาวให้อยู่ในเรือนหอเป็นเรื่องที่ไม่สมควร
หากแต่สตรีมากแผนการเช่นนั้นมีอันใดต้องให้เขาเห็นใจ ชายหนุ่มคิดเข้าข้างตนเอง
ช่ายจือซิ่วตื่นตั้งแต่เช้าเพราะวันนี้นางต้องไปยกน้ำชาให้แม่สามีแม้จะไม่อยากไปเพราะปฏิกิริยาของหยวนฮูหยินที่แสดงออกเมื่อวานก็ทำให้รู้ได้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ชื่นชอบตนไม่ต่างจากกับบุตรชายของนาง
หลังจากจัดการธุระในยามเช้าของตนเองเสร็จ สองนายบ่าวก็ก้าวเท้าไปยังเรือนใหญ่ด้วยฝีเท้าไม่ช้าไม่เร็ว
แม้ภายนอกจะดูเรียบนิ่งแต่ในใจนั้นตื่นเต้นไม่น้อย นางมีความหวังอยู่ในใจ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะทำให้แม่สามีเปิดใจให้นาง แม้เพียงนิดก็ยังดี
แต่ทว่าช่ายจือซิ่วก็ต้องฝันสลายเมื่อในยามที่รับน้ำชามาจากคนสนิทของแม่สามีแล้วยื่นส่งต่อให้สตรีวัยกลางคนที่อยู่เบื้องหน้านั้น อีกฝ่ายกลับไม่ยื่นมือมารับ ทั้งยังชมนกชมไม้ราวกับมองไม่เห็นลูกสะใภ้ที่มือค้างถือถ้วยน้ำชาอยู่เช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย…..