ตอนที่ 2 : จุดเริ่มต้น 1/2
ตอนที่
[1]
จุดเริ่มต้น
“เจ้าได้นัดพบกันกับคุณชายหยวนหรือไม่ซูเออร์” ช่ายหมิงจื้อหันไปถามบุตรสาวคนโต
“ข้าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเจ้าค่ะ”
เมื่อหญิงสาวกล่าวจบหยวนมู่เหยียนก็รีบหันไปมองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกผิด เขาหลงกลคนชั่วเสียแล้ว
ไม่นานก่อนจะโพล่งขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่ข้าไม่เคยคิดที่จะทำเช่นนั้นกับคุณหนูรองเลยแม้แต่นิด ข้าไม่ได้รักคุณหนูรอง ไม่เคยรัก!”
เสียงของเขาดังมากจนคนที่อยู่ที่นั่นได้ยินโดยทั่วกัน ช่ายจือซิ่วรู้สึกเจ็บปวดในอก นางรู้ดีว่าเขารู้สึกอย่างไรกับนาง แต่เมื่อได้มาฟังตรง ๆ จากปากเขาเช่นนี้ก็อดที่จะเจ็บปวดใจไม่ได้
ด้านช่ายฮูหยินก็หันไปมองที่บุตรสาวคนรองก่อนจะยิ้มเยาะเล็กน้อย ส่วนช่ายหลิวซูมีประกายแวววับพัดผ่านครู่หนึ่งก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“ถึงจะไม่เคยคิด แต่เรื่องก็ดำเนินมาถึงขั้นนี้ พร้อมกับสายตาคนพบเห็นมากมายคงยากที่จะปกปิดแล้ว” แม้ตำแหน่งของช่ายหมิงจื้อจะด้อยกว่าบิดาของหยวนมู่เหยียนที่เป็นถึงเสนาบดีฝ่ายซ้าย ขุนนางใหญ่ของราชสำนัก แต่ยามนี้ฝั่งเขาเป็นฝ่ายเสียหาย จึงไม่อาจที่จะอ่อนน้อมให้อีกฝ่ายได้
“ข้า……” หยวนมู่เหยียน แทบจะกล่าวอันใดไม่ออก หากว่าสตรีผู้นั้นคือช่ายหลิวซู สตรีที่เขามีใจ เขาคงรีบกล่าวไปตั้งแต่แรก ว่าเขาพร้อมจะรับผิดชอบ แต่เมื่อเป็นสตรีอีกคนที่เขาไม่มีใจ ยามนี้เขาจึงได้ทำคล้ายจะกล่าวแต่ไม่กล่าว ทำราวกับเป็นบุรุษไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้
คุณหนูใหญ่ยังมิทันตอบตกลงปลงใจคบหากับเขาและช่วงนี้เขาก็กำลังทำคะแนนอยู่เพราะรู้ว่านางมีหลายคนที่คอยหมายปอง แต่ยามนี้คล้ายว่าทุกอย่างจะพังทลายไปเสียแล้ว
“ซิ่วเออร์ แล้วเจ้าเล่ามีอันใดจะอธิบายหรือไม่” เสียงของช่ายหมิงจื้อทำลายความคิดของหยวนมู่เหยียนลง
ช่ายจือซิ่วที่เงียบมาครู่ใหญ่ เมื่อถูกบิดาถามจึงหันไปมองหยวนมู่เหยียนครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปตอบบิดา
“ท่านพ่อ….” เพียงแค่คำแรกที่ถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากบาง ก็ทำให้หยวนมู่เหยียนชะงักไปทันที เสียงของนางใสราวกับสกุณาน้อยสีสวยในป่าที่เขาได้ยินได้เมื่อครั้งเคยเข้าร่วมในเทศกาลล่าสัตว์ เขาไม่เคยได้พูดคุยกับช่ายจือซิ่วสักครั้งเลยไม่รู้ว่านางมีแก้วเสียงที่ไพเราะเช่นนี้ นอกจากนั้นยามที่ได้ยินเสียงนี้ก็ก่อให้เกิดความคุ้นเคยบางอย่างเกิดขึ้นในจิตใจด้วย
หากช่ายจือซิ่วรู้ว่าอีกฝ่ายเปรียบเทียบตนว่าสกุณา หญิงสาวคงไม่ปฏิเสธเพราะมีหลายคนที่กล่าวกับนางเช่นนี้ แต่ทว่านอกจากน้ำเสียงที่คล้ายกับสกุณาแล้ว ชีวิตของนางก็คล้ายกับสกุณาน้อยที่ทั้งถูกขังและขังตนเอง ไว้ในกรงที่เรียกว่า ตระกูลช่ายแห่งนี้…..
หยวนมู่เหยียนเมื่อได้รับรู้ถึงสายตาร้อนแรงที่อยู่อีกด้านเป็นคุณหนูใหญ่ที่กำลังมองเขา จึงได้รู้ตนเอง ว่าเผลอจดจ้องช่ายจือซิ่วมากเกินไป เขาจึงรีบเก็บสายตาของตน แล้วทำราวไม่สนใจในตัวช่ายจือซิ่วมากนัก
“วันนี้ข้านอนป่วยอยู่ในเรือนยังไม่หายดี จู่ ๆ เสี่ยวหวาก็มารายงานว่าพบคนต้องสงสัย…. กำลังพาคุณชายหยวนเข้าไปในเรือนหลันฮวา ข้าเลยรีบออกไปดู ระหว่างนั้น…..ก็ให้เสี่ยวหวาไปตามคนมาช่วยอีกแรงเจ้าค่ะ” หญิงสาวกล่าวราวกับเสียงจะขาดห้วงไปทุกชั่วขณะ
แม้ในยามนี้ร่างกายแทบจะหมดแรงทั้งอาการเจ็บป่วยและเหตุการณ์ในเรือนหลันฮวาที่ผ่านมา ร่างกายของนางแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ แต่ก็ต้องพยายามรวบรวมพลังออกไป
ยามนี้นางรู้แล้วว่าเขาไม่ได้ป่วยธรรมดา แต่เป็นเพราะเขาถูกวางยา
ยาปลุกกำหนัดชนิดร้ายแรง
“น่าแปลกหากซิ่วเออร์ให้เสี่ยวหวาตามคนไปช่วยจริง เหตุใดจึงได้ไปนานจนปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นได้” ท่ามกลางความเงียบจู่ ๆ หลิงอีม่านก็กล่าวขึ้น
เสี่ยวหวาบ่าวรับใช้ของช่ายจือซิ่วรู้สึกว่าตนและผู้เป็นนายกำลังจะไม่ได้รับความยุติธรรมจึงพยายามรีบชี้แจงในข้อเท็จจริง
“บ่าว….”
“เป็นคนของน้องรองไม่จริงจังกระมัง”
แต่ยังไม่ทันได้กล่าวก็ถูกคุณหนูใหญ่ของจวนกล่าวตัดหน้าเสียก่อน
ที่หากผู้ใดได้ฟังก็คงคิดคงได้แล้วว่าเรื่องนี้น่าสงสัย และผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยคงไม่พ้นสองนายบ่าว ช่ายจือซิ่วและเสี่ยวหวา
“ท่านแม่และพี่ใหญ่คิดว่าข้าเป็นคนวางแผนครั้งนี้หรือเจ้าคะ” ช่ายจือซิ่วกล่าวขึ้นด้วยความเจ็บปวด
“มารดาและพี่สาวคงไม่ได้คิดเช่นนั้น เจ้าอย่าได้คิดมากซิ่วเออร์ อีกทั้งเรื่องนี้ข้าก็ยังไม่ได้สรุปว่าเจ้าผิด ดังนั้นอย่าเพิ่งคิดไปไกล” ช่ายหมิงจื้อกล่าวขึ้นคล้ายว่าเข้าใจและวางตัวเป็นกลาง แต่ประโยคถัดมากลับทำให้ช่ายจือซิ่วรู้สึกเจ็บปวดอีกครา
“แต่ซิ่วเออร์ หากว่าเป็นฝีมือของเจ้าจริง ก็จงยอมรับเสียแต่ตอนนี้ จะได้ไม่ต้องไปสืบความให้มากความ”
ฟังมาแล้ว ดูก็รู้ว่าบุตรสาวผู้นี้มีใจให้กับหยวนมู่เหยียน มิเช่นนั้นเพียงแค่ได้ยินข่าว ทั้งที่ตนก็กำลังเจ็บป่วย เหตุใดต้องรีบฝืนตนเองไปช่วยเหลือเขาด้วยความรีบร้อนถึงเพียงนั้น
“ท่านพ่อ….”
“นั่นสิ ไม่แน่บ่าวรับใช้ผู้นั้น เจ้าอาจจะเป็นผู้จัดเตรียมไว้ เพื่อให้ทำตามแผนการ อาศัยทุกคนอยู่กันที่เรือนหลักกันหมดแล้วอาศัยจังหวะนี้ลงมือ” ช่ายฮูหยินกอดอกกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้ามิได้ทำ ข้า…...”
“คุณหนู!!”
ช่ายจือซิ่วพยายามรวบรวมแรงเพื่อจะโต้แย้ง แต่นางฝืนร่างกายของตนเองไม่ได้อีกแล้ว จึงได้ล้มลงไปเช่นนั้น
ในกลุ่มคนมีเพียงเสี่ยวหวาที่เข้ามาโอบประคองนายของตนไว้ นัยน์ตาแดงก่ำ
“ถึงเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ ไม่ทราบว่าคุณชายหยวนจะจัดการอย่างไร” ช่ายหมิงจื้อปรายตามองบุตรสาวคนรองที่สลบไปก่อนจะหันมากล่าวกับชายหนุ่มที่หัวคิ้วกำลังขมวดเป็นปม
“ข้ามีใจให้ผู้ใดทุกท่านในที่นี้น่าจะรู้”
หยวนมู่เหยียนตัดสินใจกล่าวอย่างหนักแน่น นัยน์ตาคมสบกับช่ายหมิงจื้อก่อนจะหันไปมองช่ายหลิวซูอย่างมั่นคง
“จะมีใจให้ผู้ใดไม่สำคัญ เพราะยามนี้ผู้ที่มีความสัมพันธ์กับท่านคือ ช่ายจือซิ่ว บุตรสาวคนรองของข้า อย่างไรเรื่องนี้คงปล่อยไปไม่ได้”
หากฟังผิวเผินคล้ายเป็นการปกป้องเกียรติของบุตรสาวที่เสียไป แต่ช่ายจือซิ่วบุตรสาวที่สลบไปหากได้ฟังแล้วย่อมรู้ดีว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น
“ข้า…...” หยวนมู่เหยียนยามนี้แทบอยากจะทึ้งศีรษะตนเอง นี่มันเกิดอันใดขึ้นกับเขา เมื่อคิดอันใดไม่ออกก็ได้แต่ส่งสายตาขอร้องปนเห็นใจไปยังสตรีที่ตนเทียวไล้เทียวขื่อมาหลายเดือน แต่นางก็ทำราวไม่เห็นสายตาของเขา
ช่างน่าปวดใจนัก
คิดแล้วจึงได้ตวัดสายตาไปมองสตรีต้นเหตุที่นอนล้มพับไป หากมิใช่เพราะนาง เขาคงมิต้องพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้
ช่ายจือซิ่ว
ตัวน่ารังเกียจผู้นี้!
“คุณชายหยวนส่งแม่สื่อมาสู่ขอบุตรสาวของข้าภายในสามวันเถิด” เสียงของช่ายหมิงจื้อกล่าวสรุป
“ไม่! ข้าไม่อยากแต่งกับนาง!”